ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – ตอนที่ 2

ตอนที่ 2

บทที่ 2 ฉันเชื่อคุณ

ที่นั่งที่ หลินอิ่ง อยู่นั้นล้วนเป็นบรรดาลูกเขยทั้งหมดของตระกูลจาง

เพียงแต่บรรดาลูกเขยเหล่านี้ล้วนเป็นคนมีเงินและอำนาจ จนเขาแทบไม่สามารถเปรียบเทียบได้เลย

ดังนั้นเลยไม่มีคนทักทายกับเขา ต่างพากันพูดคุยและจิบไวน์ต่อกัน แถมแลกนามบัตรกันด้วย โดยไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่ด้วยกันเลย

“ทุกท่านล้วนมากันหมดแล้วใช่ไหม? มา มาดื่มเหล้าด้วยกัน”

“พี่ไห่ ทำแบบนี้ได้ยังไง ต้องให้พวกเราชนแก้วกับพี่มากกว่า”

จางเถียนไห่ เทเหล้าลงแก้วแล้วเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเบิกบาน ส่วนเหล่าบรรดาลูกเขยของตระกูลจาง ก็รีบลุกขึ้นยืนทันที พร้อมยกแก้วเหล้าขึ้น และเผยสีหน้ายินดี

จางเถียนไห่ เป็นลูกชายของน้องคนที่สามของตระกูลจาง ที่มีชื่อว่า จางหงจูน และยังเป็นผู้สืบทอดมรดกคนที่สามด้วย

ลุง จางหงจูน ยังเป็นบุคคลที่มีอำนาจที่แท้จริงของตระกูลจาง เพราะหุ้นส่วนของบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ เขามีหุ้นส่วนมากพอเท่ากับของพี่ใหญ่ จางหงจูน เลยทีเดียว

ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สมบัติ อำนาจ ตำแหน่งจางเถียนไห่ ล้วนมีมากกว่าเหล่าบรรดาลูกเขยทุกคน

“ทำไม? หลินอิ่ง แกดูถูกดูแคลนฉันนักหรอ ทำไมแกถึงไม่ดื่มเหล้าแสดงความยินดีเลยสักแก้ว?” จางเถียนไห่จ้องมอง หลินอิ่ง พร้อมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ในงานมีเพียง หลินอิ่ง เพียงคนเดียวที่ไม่ลุกขึ้นดื่มเหล้าแสดงความยินดี เขาลังเลอยู่หนึ่งวินาที

ปัง!

ซึ่งหนึ่งวินาทีนี้ จางเถียนไห่ ก็สาดเหล้าขาวที่อยู่ในแก้วใส่บนใบหน้า หลินอิ่ง

“ไอ้คนไร้ค่า! แกนี่มันหน้าไม่อายจริงๆ ที่กูให้แกดื่มเหล้า เพราะกูให้เกียรติ แต่แกกลับไม่ดื่มหรอ?” จางเถียนไห่ เผยสีหน้าดูถูก พร้อมกับด่าทออย่างไม่ไว้หน้า

เหล้าขาวสาดกระทบลงบนใบหน้า และกลิ่นแสบจมูกของเหล้าก็เปียกชื้นเต็มเสื้อ แถม หลินอิ่ง ยังรู้สึกแสบร้อนบนใบหน้าด้วย

ในงานไม่มีใครช่วย หลินอิ่ง พูดแก้ตัวเลย ทุกคนต่างเผยสีหน้าประชดประชันออกมา

สายตาของ หลินอิ่ง เริ่มเปลี่ยนเป็นแหลมคมขึ้น แต่เมื่อนึกถึง จางฉีโม่ ที่พยายามช่วยพ่อของเธออย่างยากลำบาก เขาก็รู้ตัวว่าไม่ควรสร้างปัญหาให้กับเธอ ดังนั้นเขาเลยอดทนไว้

“ได้ครับ เดียวผมดื่มร่วมแสดงความยินดีกับคุณ” หลินอิ่ง ปาดเหล้าบนใบหน้าออก แล้วค่อยๆลุกขึ้น

จางเถียนไห่ คิดไม่ถึงว่า หลินอิ่ง จะอดทนได้ถึงขนาดนี้ เลยยิ้มมุมปากอย่างประชดขึ้น พร้อมแอบหัวเราะในใจเบาๆ แกคิดว่าอดทนแล้วทุกอย่างจะจบหรอ?

วินาทีที่ หลินอิ่ง ลุกขึ้นยืนนั้น จู่ๆ จางเถียนไห่ ก็เดินถอยหลัง พร้อมแกล้งทำเป็นหกล้ม ขณะเดียวกันก็เอามือกวาดแก้วเหล้าแดงที่วางบนโต๊ะด้านข้าง รวมทั้งของขวัญจากแขกผู้มีเกียรติตกลงบนพื้น!

ปัง! ตึง!

โต๊ะพลิกค่ำทำให้เหล้าแดงสำหรับแขกผู้เกียรติสิบใบกว่า เครื่องประดับหยก และกำไลข้อมือมรกตล้วนแตกกระจายบนพื้น จนเกิดเสียงดังสนั่นทั่วในงาน ขณะเดียวกันทุกคนก็พากันกวาดสายตาหันมามอง

“หลินอิ่ง ไอ้คนไร้ค่า นี่แกกล้าลงไม้ลงมือกับฉันหรอ!” จางเถียนไห่ กลัวจะไม่มีคนได้ยิน เลยแหกปากร้องตะโกนดังสนั่น

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

จางจี้หนิง เดินเข้ามาพร้อมกับ จางฉีโม่ ที่เดินตามอยู่ด้านข้าง ซึ่งเจ้าบ่าวซูนเหิง เองก็เดินเข้ามาดูสถานการณ์ด้วยสีหน้าตึงเครียดเหมือนกัน

แขกทุกคนในงานต่างพากันเดินเข้ามาล้อมสถานที่เกิดเหตุ

“พี่หนิง ซูนเหิง วันนี้เป็นวันแต่งงานของพี่ทั้งสองคน ผมคิดไม่ถึงจริงๆว่า หลินอิ่ง ไอ้คนไร้ค่าคนนี้จะกล้าลงไม้ลงมือผมในงานแต่งงานของพี่ทั้งสองคน พวกพี่ไม่คิดว่า เขาทำแบบนี้เหมือนต้องการพังงานแต่งงานของพวกพี่เลย?” จางเถียนไห่ เผยสีหน้าโมโห พร้อมตะโกนร้องขึ้น ขณะเดียวกันก็จ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาอาฆาต ราวกับเป็นเจ้ากรรมนายเวรต่อกัน

“หลินอิ่ง ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ซูนเหิง พยายามอดกลั้นความโมโหไว้ โดยที่สีหน้าไม่สามารถปกปิดได้ และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น

“จางเถียนไห่ เขาหกล้มเอง ผมยังไม่ทันทำอะไรเขาเลย” หลินอิ่ง พูดตามความจริง

“หกล้มเองหรอ? แล้วทำไม เถียนไห่ ถึงบอกว่าแกเป็นคนทำล่ะ?” ซูนเหิง ซักถามขึ้น

หลินอิ่ง พูดขึ้นว่า “ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้เห็นกันหมด ถ้าไม่เชื่อก็ถามคนเหล่านี้เลย”

“พี่เขย หลินอิ่ง มันปลิ้นปล้อนหลอกลวง เมื่อกี้ผมเดินเข้ามาชนแก้วกับทุกคน แต่จู่ๆเขาก็เดินเข้ามาทำร้ายผมอย่างกะทันหัน ทุกคนเป็นพยานได้” จางเถียนไห่ พูดขึ้นด้วยสีหน้าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “พูดตามความจริงนะครับ ซูนเหิง หากไม่ใช่เพราะผมเห็นแก่พี่ วันนี้ผมเอามันตายแน่!”

“ทุกท่าน ตกลงเมื่อกี้ทุกท่านเห็นเหตุการณ์ยังไงกันแน่ครับ?” ซูนเหิง หันหน้ามองเหล่าบรรดาลูกเขยตระกูลจาง พร้อมพูดขึ้น

“คือเป็นอย่างที่พี่ไห่ พูดมาเลยครับ ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า หลินอิ่ง ดื่มเหล้ามากไปหรือเปล่า”

“ใช่ครับ หลินอิ่ง ดื่มเหล้าเมาอาละวาด แถมยังดื่มเหล้าจนทำให้ตัวเองเปียกไปทั้งตัวด้วย ตอนแรกพี่ไห่ เดินเข้ามาดื่มเหล้ากับพวกผม แต่จู่ๆเขาก็เข้ามาทำร้ายครับ”

“ใช่ครับ พวกเราก็เห็นเป็นแบบนี้เหมือนกันครับ”

เหล่าบรรดาลูกเขยของตระกูลจาง ต่างพากันพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

หลินอิ่ง จ้องมองพวกเขาเหล่านี้ด้วยสายตาตกใจ

จากนั้นเขาก็ยิ้มประชดตัวเองเล็กน้อย จางเถียนไห่ เป็นถึงผู้สืบทอดมรดกคนที่สาม เป็นหัวแก้วหัวแหวนของตระกูลจาง แล้วแบบนี้ลูกเขยคนไหนจะกล้าช่วยเหลือเขาเพื่อมีปัญหากับ จางเถียนไห่ บ้าง?

ดังนั้นเลยต่างพากันเลือกมองอยู่เฉยๆ และพูดความเท็จ

หลินอิ่ง ไม่พูดอธิบายอีก เพราะล้วนเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ คนอ่อนแอย่อมไม่มีเหตุผล

ในตระกูลจาง เขามีตำแหน่งที่ต่ำที่สุด ต่อให้ไม่ได้ทำอะไรผิด แต่คนอื่นบอกว่าเขาผิดก็ต้องผิด!

“ช่างน่าอับอายนัก ดื่มเหล้าเพียงไม่กี่แก้วก็ลืมไปแล้วว่าตัวเองมีแซ่อะไร!”

“ในตอนนั้นคุณท่านตระกูลจาง คงสายตาพร่ามัวจริงๆ ถึงเอาไอ้คนไร้ค่าอย่างแกมาเป็นลูกเขย!”

แขกที่ยืนล้อมรอบต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งยังเผยสีหน้าประชดประชันอีกด้วย

“หลินอิ่ง แกมันคนไร้ประโยชน์! ทำอะไรก็ไม่เคยสำเร็จ ทำแต่เรื่องน่าอับอาย!” จางฉีโม่ เดินเข้ามาด้านข้าง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าโมโห จนทำให้ หลินอิ่ง รู้สึกขายขี้หน้ามาก

เธอเพิ่งจะเอ่ยปากพูดถึงเรื่องโรงงานของพ่อเขากับ พี่หนิง และ พี่เขย แต่ หลินอิ่ง กลับสร้างปัญหาขึ้นมาแล้ว แล้วแบบนี้เธอจะกล้าเอ่ยปากข้อร้องให้ พี่หนิง ช่วยเหลือได้ยังไงกัน?

“นาย! ยังไม่รีบขอโทษ พี่หนิง กับ พี่เขย อีกหรอ!” จางฉีโม่ เผยท่าทางโกรธเคืองขึ้น เพราะเรื่องที่ หลินอิ่ง ก่อทำให้เธอรู้สึกขายขี้หน้ามาก!

หลินอิ่ง จ้องมองน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของฉีโม่ขึ้น เขาพยายามกัดฟันและพูดขึ้นว่า “พี่หนิง พี่เขย ขอโทษด้วยครับ วันนี้ผมทำผิดเอง จนสร้างความวุ่นวายในงานแต่งงานของพวกคุณ ผมขอโทษครับ”

จางเถียนไห่ ที่อยู่ด้านข้างอยากหัวเราะจนเป็นบ้า แต่ทำได้เพียงเผยสีหน้าสะใจอย่างเงียบๆ และพูดในใจว่า ต่อให้ฉันทำร้ายแก ทำให้แกอับอาย ก็ไม่มีใครกล้าช่วยแกพูดต่างหรอก!

“หลินอิ่ง นายเป็นถึงผู้ใหญ่แล้ว ทำผิดจะให้ปล่อยผ่านได้ยังไงกัน ดูไม่ค่อยจริงใจเลย แถมยังทำร้ายน้อง เถียนไห่ ของฉันอีก ซึ่งฉันเกลียดพฤติกรรมของคนประเภทนี้ที่สุด!” จางจี้หนิง เผยสีหน้าโมโหพูดขึ้น

ซูนเหิง ยิ่งเผยสีหน้าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ งานแต่งงานยิ่งใหญ่ของเขาเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ทำให้เขารู้สึกอับอายขายขี้หน้ามาก เพราะแขกที่เข้าร่วมล้วนเป็นบุคคลมีหน้ามีตากันหมด!

“หลินอิ่ง ฉันไม่รับคำขอโทษของนาย! วันนี้เป็นวันดีฉันไม่อยากทำร้ายนาย และเครื่องประดับหยกที่แตกกระจาย นายไม่ต้องชดใช้ด้วย แต่นายรีบไสหัวออกไปจากที่นี้ซะ! และต่อไปอย่าได้มาปรากฏตัวต่อหน้าฉันอีก!” ซูนเหิงพูดขึ้น

หลินอิ่ง ถอนหายใจยาวๆหนึ่งที จากนั้นก็หันหลังเดินจากห้องโถงไป โดยไม่สนใจสายตาของแขกที่อยู่ในงาน

ขณะที่เขาหันหลังนั้น จู่ๆ จางจี้หนิง ก็เอ่ยปากพูดขึ้นว่า

“ฉีโม่ ไม่ใช่ว่าเธออยากให้ฉันช่วยพ่อของเธอผ่านวิกฤตหรอกหรอ? ได้ แต่ฉันไม่อยากเห็นหน้า หลินอิ่งคนนี้อีกแล้ว หากเธอรีบกลับไปหย่ากับ หลินอิ่ง ไอ้คนไร้ประโยชน์นี้ และอย่าให้เขากลับมาบ้านตระกูลจาง อีก! ฉันรับปากว่าจะช่วยเรื่องโรงงานพ่อของเธอ!”

หลินอิ่ง หยุดฝีเท้าลง โดยไม่หันหน้ากลับ จากนั้นก็เดินออกจากห้องโถงไป

หลังจากออกจาก รีสอร์ทหลินหลาง หลินอิ่ง ก็จุดไฟสูบบุหรี่ม้วนหนึ่ง ขณะเดียวกันก็ครุ่นคิดว่า ฉีโม่ จะเลือกยังไง?

“ไป พวกเรากลับบ้าน”

จู่ๆก็มีน้ำเสียงคุ้นเคยดังขึ้น จนทำให้ หลินอิ่ง สะดุ้งตกใจ เมื่อหันหลังมองก็เห็น จางฉีโม่ ภรรยาของเขา ซึ่งดวงตาของเธอยังมีคราบน้ำตาอยู่

หลินอิ่ง พูดขึ้นว่า “กลับบ้านหรอ แล้วเรื่องพ่อของคุณล่ะ คุณจะทำยังไง?”

จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองว่า “ฉันเคยพูดแล้วว่า ยังไงพวกเราก็ต้องหย่ากันสักวัน แต่นั้นต้องเป็นฉันที่เลือกเอง ไม่ใช่ถูกคนอื่นบีบบังคับให้ไปหย่า!”

“เรื่องของพ่อค่อยคิดหาทางออกเถอะ ไม่ว่ายังไงพวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน พวกเขากลั่นแกล้งนายก็เหมือนดูถูกฉัน แล้วฉันจะคุยอะไรกับพวกเขาอีก!”

หลินอิ่ง พูดอย่างเหม่อลอยว่า “ครอบครัวเดียวกัน….”

ทั้งสองคนเดินอย่างนิ่งเงียบสักพัก

“หลินอิ่ง ขอโทษนะ ฉันขอเก็บคำพูดที่พูดในงานเมื่อกี้กับนาย” จางฉีโม่ เช็ดคราบน้ำตาตรงหางตา “ในตอนนั้นฉันโมโหมาก แต่พอสงบสติอารมณ์ก็คิดได้ว่า นายจะทำร้าย จางเถียนไห่ ได้ยังไง อีกอย่างนายก็ไม่ดื่มเหล้าด้วย”

หลินอิ่ง พูดขึ้นว่า “คุณเชื่อผมหรอ?”

จางฉีโม่ พูดขึ้นว่า “ฉันเชื่อนาย”

“ขอบคุณสำหรับความเชื่อใจของคุณ”

หลินอิ่ง จ้องมอง จางฉีโม่ อย่างเงียบๆ และพูดในใจว่า เขาจะไม่มีวันทำให้คนที่เชื่อใจเขาผิดหวังอย่างแน่นอน!

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท