ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 12 เสิ่นซานของเมืองหนานเฉิง

บทที่ 12 เสิ่นซานของเมืองหนานเฉิง

บทที่ 12 เสิ่นซานของเมืองหนานเฉิง

“พวกนายมาที่นี่เพื่อตามหาตัวฉันหรือ?” หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ นายเดาถูกละ”

ชายร่างโตยิ้มอย่างเย็นชา ทันใดนั้นเขาก็ยกมือขึ้นแล้วเหวี่ยงกำปั้นไปที่ใบหน้าของหลินอิ่ง

หลินอิ่งสะบัดร่างกาย เขาก็หลบหมัดนั้นไปได้

สองคนนี้ต่อยหมัดได้อย่างรวดเร็ว แสดงว่าเป็นมือชกที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างมืออาชีพ

“ ปฏิกิริยาตอบสนองเร็วดีนะ” ชายร่างใหญ่ชกไม่โดนเขา สีหน้าของเขาประหลาดใจเล็กน้อย

“ งั้นกูจะหักขามึงทิ้งเอง!”

สีหน้าของชายร่างแกร่งทั้งสองดูดุร้าย เขาสองคนลงมือพร้อมกัน พวกเขาก็เตะไปที่หัวเข่าของหลินอิ่งพร้อมกันสุดแรง

หลินอิ่งหันข้างไป เตะขาออกไปอย่างแรง และเสียงลมดังขึ้น เตะไปโดนเอวของชายทั้งสองเน้นๆ

ตุบ! ตุบ!

ชายร่างแกร่งทั้งสองถูกเตะออกไปไกลหลายเมตร และล้มลงกับพื้นอย่างแรง ทั้งคู่กระอักเลือด พวกเขามองไปที่หลินอิ่งด้วยสายตาตื่นตระหนก

พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหลินอิ่งแค่เตะไปสองทีก็เกือบจะทำให้เขาสองคนตายได้!

ฝีมือที่โหดเหี้ยมเช่นนี้ จะเป็นไอคนไม่ได้เรื่องอย่างที่เขาลือได้อย่างไร?

พวกเขาสองคนคร่ำครวญในใจ ก่อนที่พวกเขาจะมา พวกเขายังคิดว่าสามารถจัดการเขาได้อย่างสบายๆ แต่พวกเขาดูถูกหลินอิ่งเกินไป

“ใครสั่งให้พวกนายมาหาถึงที่นี่กันแน่ พูดมาเดี๋ยวนี้!”

สีหน้าของหลินอิ่งเปลี่ยนไปอย่างเย็นชา ในดวงตาของเขามีแววตาที่เยือกเย็น

เมื่อทั้งสองได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยความน่ากลัวนี้ พวกเขาก็ตัวสั่นขึ้นมา

หลินอิ่งเกิดอยากจะสังหารพวกเขาขึ้นมา

เขาเกิดเป็นทายาทของแก๊งมังกร เขาเองก็รู้ดีว่ามีคนตามหาเขาเยอะ แต่สำหรับการที่คนอื่นมาสืบที่พักอาศัยของเขานั้น เป็นสิ่งที่เขาถือมาก

โดยเฉพาะที่นี่ที่เป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัวฉีโม่ด้วย นี่เป็นฟางเส้นสุดท้ายของเขา

“ผม…พวกผมแค่ทำตามที่เบื้องบนสั่งมาครับ” ชายแกร่งคนหนึ่งตอบอย่างกล้าๆกลัวๆ

“เบื้องบนของเราคือท่านสาม นายอย่าทำอะไรมั่วๆนะ ไม่อย่างงั้นท่านสามไม่ปล่อยนายไว้แน่ ” ชายแกร่งอีกคนหนึ่งพูดออกมาด้วยความเกร็งกลัว

หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย ครุ่นคิดไปสักพัก

“เสิ่นซานของเมืองหนานเฉิง?”

“ใช่! พวกเราเป็นลูกน้องของท่านเสิ่นซานของเมืองหนานเฉิง ถ้านายเคยได้ยินชื่อเสียงของท่านสาม นายก็คิดเอาดีๆนะ ” ชายแกร่งเห็นว่าหลินอิ่งเหมือนจะเคยได้ยินชื่อเสียงของท่านเสิ่นซาน น้ำเสียงของเขาก็ดูแข็งขึ้นมา

หลินอิ่งหัวเราะเยาะเย้ย

เสิ่นซานเป็นหัวโจ้กของโซนเมืองหนานเฉิง ในมือมีธุรกิจสีเทาไม่น้อย มีเงินมีชื่อเสียง ในเมืองชิงหยูนก็ถือว่าเป็นคนใหญ่คนโต มีชื่อเสียง

“เสิ่นซานเรียกพวกนายมาทำอะไร?” หลินอิ่งถามด้วยน้ำเสียงโทนต่ำ

ทั้งคู่เหมือนจะไม่ค่อยอยากจะพูด เขาสองคนไม่ยอมพูดอะไรเลย

เพี๊ยะ!เพี๊ยะ!

หลินอิ่งตบไปที่หน้าสองที ตบจนทั้งคู่หน้าเป็นรอยช้ำ กล้ามเนื้อที่หน้าเต้นไม่หยุด

“อย่ามาเล่นกับความอดทนของฉัน”

ทั้งคู่เห็นสายตาอันแหลมคมของหลินอิ่งแล้ว พวกเขาไม่กล้าสบตา

ชายแกร่งคนหนึ่งกลัวแล้ว พูดพร้อมก้มหน้าว่า “ท่านสามสั่งพวกผมมาว่า ให้พวกผมคอยจับตาดูอยู่ที่ชุมชนเจียงฉือ ถ้าเห็นมีคนของครอบครัวจางฉีโม่เดินออกมา ก็ให้จับตัวไปทันที แต่จะจับไปทำอะไร พวกผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ”

เมื่อได้ยินเช่นนี้หัวใจของ หลินอิ่งก็โกรธขึ้นมา โชคดีที่ครั้งนี้คนที่ออกมาคือตัวเอง ถ้าคนที่ออกมาเปลี่ยนเป็น ฉีโม่หรือพ่อแม่ของเธอ ก็โดนพวกเขาเล่นงานน่ะสิ?

พลั่ก!

หลินอิ่งก้าวไปเหยียบบนใบหน้าของชายแกร่งที่กำลังพูด เขากัดฟันไว้ด้วยความเจ็บปวดหน้าผากของเขามีเลือดไหลและร่างกายของเขาสั่นสะท้านทั้งตัว

“พาฉันไปเจอเสิ่นซาน” หลินอิ่งพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ดูเหมือนว่าต่อไปนี้ คงต้องหาทางให้ครอบครัวฉีโม่ย้ายไปอยู่ในที่ที่ดีกว่านี้แล้ว ขนาดหมู่บ้านเจียงฉือยังมีคนจ้องจะมาทำร้ายเลย

ศิลปะการต่อสู้ของผู้ชายทั้งสองนี้ไม่ได้เก่งมาก พวกเขาถือได้ว่าเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกฝนที่สามารถต่อสู้ได้ดีกว่าคนธรรมดา แต่พวกเขาไม่นับว่าเป็นปรมาจารย์

ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่คนในวงการศิลปะการต่อสู้โบราณที่มาหาตัวเขา

อย่างไรก็ตาม หลินอิ่งตัดสินใจที่จะไปพบ เสิ่นซานเพื่อดูว่าใครอยู่เบื้องหลังกันแน่!

เมื่อเห็นความเก่งกราดของหลินอิ่ง ชายแกร่งทั้งสองก็ไม่กล้าขัดขืนอีกต่อไป ขับรถไปอย่างเชื่อฟัง

………………………….

20นาทีผ่านไป

รถโตโยต้าคันนี้ขับไปจอดที่ซิงกวางหุ้ย ไนท์คลับที่ใหญ่ที่สุดในเขตเมืองหนานเฉิง

ชายแกร่งสองคนนำทางไป หลินอิ่งขึ้นไปที่ชั้นสามของซิงกวางหุ้ย

การตกแต่งของห้องโถงที่นี่หรูหราและอลังการมาก และมีสาวสวยในเครื่องแบบคอยต้อนรับอยู่ทุกที่ เต็มไปด้วยความมึนเมา

หลังจากนั้นไม่นาน หลินอิ่งก็มาถึงห้องใหญ่ห้องหนึ่ง

มีแสงสีวิบวับเต็มไปทั่วห้อง และมีโต๊ะประชุมอยู่ตรงกลาง ล้อมรอบไปด้วยคนหลายสิบคน แต่ละคนดูโหดร้ายและมีรอยสักน่ากลัวที่แขน

ตรงกลาง มีชายวัยกลางคนรูปร่างผอม บุคลิคลึกลับดูร้ายกาจ สวมเสื้อเชิ้ตลายดอกและถือกำไลลูกประคำในมือ

“ช่างกล้านัก หาเรื่องคนของเสิ่นซานและยังกล้ามาหาถึงที่อีก” เสิ่นซานพูดพร้อมซิการ์ที่คาบในปาก ดูเหมือนว่าหลินอิ่งไม่อยู่ในสายตาเขาเลย

“ คุณคือเสิ่นซานใช่ไหม? ใครสั่งให้คุณมาจัดการผม?” หลินอิ่งถามอย่างใจเย็น

“หึ” เสิ่นซานทำสีหน้าเหยียดหยาม “กูอยู่แถวเมืองชิงหยูน มาหลายปี ยังไม่เคยเห็นคนไร้สมองแบบนายมาก่อน บุกเข้ามาถึงถิ่น และยังทำตัวไม่กลัวใคร นายคิดว่านายเป็นใคร?”

“มีทางไปสวรรค์นายไม่ไป ดันมาบุกที่ทางไปนรก” เสิ่นซานดีดนิ้ว3ที “จัดการมันซะ!”

“ครับ! ท่านสาม!”

ชายร่างใหญ่สิบกว่าคนในชุดสูทข้างโต๊ะประชุมจ้องมองหลินอิ่งด้วยสายตาเย็นชา

พรึ่บ!

ทันใดนั้น ลูกน้องสิบกว่าคนของเสิ่นซานก็ดึงท่อนเหล็กยาวกว่าหนึ่งเมตรออกมาจากใต้โต๊ะ และพุ่งเข้าไปหาหลินอิ่ง

ลีลาของแต่ละคนดูดุร้ายและรวดเร็ว สะบัดท่อนเหล็กไปมาอย่างว่องไวและชำนาญ และพวกเขาทั้งหมดก็ตีลงไปที่หัวหลินอิ่ง จะเอาถึงตายเลย!

ใบหน้าของหลินอิ่งไร้ความรู้สึก เขายกมือขึ้นจับท่อนเหล็กได้ท่อนนึง สะบัดข้อมือเล็กน้อย ท่อนเหล็กหักเป็นสองท่อนทันที แล้วก็จัดการชายร่างแกร่งในชุดสูทไป1คน

จากนั้น เขาเคลื่อนไหวแล้วพุ่งเข้าไปทันที จนทำให้เกิดลมกระโชกแรง มันเร็วมากจนแทบจะเหลือเพียงภาพลางๆ

ปัง ปัง ปัง

หลินอิ่งหยิบท่อนเหล็กมา1แท่ง ตีโดนเนื้อทุกครั้งที่ฟาดลง ตีจนคนพวกนี้ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะต่อสู้กลับ

ในช่วงเวลานี้ พวกเขาไม่ได้สัมผัสแม้แต่ร่างของหลินอิ่งเลย มีแต่ถูกทุบตี

“ อ๊ะ! อื้อ!”

ภายในเวลาไม่ถึงสามนาที ชายร่างใหญ่ในชุดสูทมากกว่าสิบคนนอนอยู่บนพื้น ใบหน้าของพวกเขาเป็นบวมช้ำไปหมด พวกเขากรีดร้องอย่างเจ็บปวด

“พูด!” หลินอิ่งมองไปที่เสิ่นซานอย่างเย็นชา “ใครเป็นคนสั่งนาย”

“นี่!”

เสิ่นซานตกตะลึงอย่างมาก เขายังไม่ทันได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และดวงตาของเขาก็ปรากฏความไม่อยากจะเชื่อออกมา

ให้ตายเถอะ ไหนเขาว่ากันว่าหลินอิ่งเป็นลูกเขยที่ไม่ได้เรื่องไง? ทำไมแกร่งขนาดนี้!

ลูกน้องพวกนี้ของตัวเองนับว่าเป็นคนโหดร้ายที่เลียเลือดปลายมีดด้วยปากมาแล้ว พวกเขาติดตามเขามาหลายปีและชิงถิ่นคนอื่นมาได้นับไม่ถ้วน แต่ทำไมพวกเขาถึงถูกหลินอิ่งล้มลงไปได้ง่ายๆ?

เสิ่นซานรู้สึกเหมือนไปแตะของร้อน

“นายคิดว่านายต่อยเป็นนิดหน่อย นายทำตัวตามใจตัวเองต่อหน้าฉันได้งั้นหรือ?” เสิ่นซานโยนซิการ์ในมือไป “มาหาเรื่องในถิ่นของกู อยากตายใช่ไหม!”

อย่างไรก็ตามเขาถือว่าเป็นเจ้าเหนือหัวของเมืองหนานเฉิง ภาพฉากนองเลือดแบบนี้เขาเห็นมาเยอะแล้ว แม้ว่า หลินอิ่งจะต่อสู้เก่ง แต่ก็ยังไม่สามารถหยุดเขาได้

“คุกเข่าลงเดี๋ยวนี้! ไม่อย่างงั้นฉันยิงนายแน่!”

ทันใดนั้นเสิ่นซานก็หยิบปืนพกออกมาจากใต้โต๊ะ และปลายกระบอกปืนที่เย็นเฉียบก็ชี้ตรงไปที่หลินอิ่ง

“ไม่คุกเข่าหรือ? นายอยากตายใช่ไหม?” เสิ่นซานกล่าวอย่างเย็นชา

“นายคิดว่าฉันไม่กล้ายิงหรือไง?”

หลินอิ่งไม่แยแส “ นายลองดูก็ได้”

สีหน้าของเสิ่นซานก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาอยู่ในวงการมาหลายปี มีไม่กี่คนที่ยังคงเสียงแข็งได้เมื่อเจอกับปืน

“ ถ้าอย่างนั้นฉันจะทำให้นายสมหวัง!” ทันใดนั้นสีหน้าของเสิ่นซานก็เปลี่ยนเป็นคนป่าเถื่อนไป เขากัดฟันและลั่นไกปืน

ปัง!

อากาศสั่นไปหมด กระสุนพุ่งออกมา เปลวไฟตรงปากกระบอกปืนกระจายไปทั่ว!

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท