ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 10 หัวหน้าออกแบบ

บทที่ 10 หัวหน้าออกแบบ

บทที่ 10 หัวหน้าออกแบบ

“พี่หนิง … พี่กำลังบอกว่า แบบร่างออกแบบเมื่อก่อนของฉันถูกพี่ปฏิเสธหรอ?” จางฉีโม่ เผยท่าทางขุ่นเคืองออกมา

ซิ่งที่ จางจี้หนิง พูดมาช่างเกินไปแล้ว

“ตอนนี้แทบไม่ได้ดูแบบร่างออกแบบของฉันเลย ก็ไล่ฉันจากไปแล้วหรอ?” จางฉีโม่ ซักถามขึ้น

“ใช่ ฉันปฏิเสธเอง! ทำไม? ระดับความสามารถของเธอแล้ว ฉันแทบไม่ต้องดูด้วยซ้ำ แต่ทิ้งลงถังขยะได้เลย” จางจี้หนิง พูดอย่างไม่ไว้หน้าขึ้น

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากเล็กน้อย พร้อมเผยสีหน้าเคืองโกรธขึ้น

หลายปีที่ผ่านมาแบบร่างออกแบบของเธอถูกละเลยมาโดยตลอดหรอ ที่แท้เป็น จางจี้หนิง นี่เองที่ปฏิเสธ โดยแทบไม่ได้ดูแม้แต่แวบเดียว

ความพยายามข้ามวันข้ามคืนของตัวเองกลับถูกทิ้งลงในถังขยะตามอำเภอใจแบบนี้ได้ยังไงกัน?

นี่ถือเป็นการเหยียดหยามความสามารถเป็นอย่างมาก!

“ทำไม? เธอไม่ยอมรับหรอ?” จางจี้หนิง พูดประชดประชันขึ้น พร้อมเผยสีหน้าโอ้อวด “นี่เธอกำลังสงสัยในความสามารถของฉันหรอ? ฉันเป็นถึงนักออกแบบอัญมณีสิบอันดับต้นของเมืองชิงหยูนแล้วเธอล่ะ แม้แต่ผลงานเป็นรูปเป็นร่างสักชิ้นยังไม่มีเลย ฉันบอกว่าเธอเป็นขยะ เธอก็ต้องเป็นขยะ”

“เอาล่ะ เธอสามารถไปจากที่นี้ได้แล้ว ที่นี้เป็นสถานที่ทำงานของพนักงานชั้นระดับสูง เธอไม่มีสิทธิ์เดินเข้ามา” เมื่อ จางจี้หนิง พูดจนรู้สึกพอใจก็ขับไล่พวกเขาออกไป

“จางฉีโม่ ฉันพูดตรงๆเลยนะว่า หากเธอยังมียางอายอยู่ ช่วยพาสามีที่ไร้ประโยชน์ของเธออกไปด้วย อย่ามาอยู่ขัดหูขัดตาคนอื่น” ซูนเหิง พูดขึ้นอย่างไม่สนใจใยดี

“พวกคุณกำลังเอะอะเสียงดังอะไรกัน?”

ทันใดนั้นก็มีเสียงคมเข้มหนึ่งดังขึ้น

พนักงานระดับสูงทั้งหมดต่างเก็บสีหน้า จากนั้นบรรยากาศก็เงียบสงบทันที

อูหยาง เดินออกมาจากห้องทำงาน พร้อมกวาดสายตามอง จางจี้หนิง และ ซูนเหิง

สองสามีภรรยาเผยสายตากังวลทันทีกับการเผชิญหน้ากับ อูหยาง ที่เดินเข้ามา และพวกเขาสองคนก็ไม่กล้ากำเริบอีกด้วย

อันที่จริง พฤติกรรมที่เด็ดเดี่ยวของ อูหยาง ทั้งสองคนเคยเห็นมากับตาแล้ว พ่อของพวกเขาผ่านวิกฤตอย่างยากลำบาก อีกอย่างน้องสาม จางหงจูน ของตระกูลจาง จนถึงตอนนี้ยังตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดอยู่

“ประธานอู ไม่มีอะไรค่ะ เป็นแค่เรื่องเล็กๆ มีใครบางคนไม่เข้าใจกฎระเบียบของบริษัท ฉันเลยสั่งสอนพวกเขาอยู่ค่ะ” ซูนเหิง พูดขึ้น

“อ่อหรอ?” อูหยาง หันหน้ามอง ซูนเหิง และซักถามขึ้นว่า “ใครคนไหนไม่เข้าใจกฎของบริษัทหรอ?”

ซูนเหิง พูดว่า “พนักงานแผนกการตลาดคนหนึ่งค่ะชื่อ จางฉีโม่ เธอมาที่ชั้นทำงานของผู้บริหาร โดยไม่ได้รับการอนุญาตค่ะ ฉันเลยตำหนิเธออยู่ค่ะ”

“ฉันเป็นคนเรียกเธอมาหาเอง ทำไม เธอไม่พอใจหรอ?” อูหยาง พูดขึ้น

“อีกอย่าง ฉันขอเตือนตรงนี้เลยว่า ที่นี้เป็นสถานที่ทำงาน เธอเป็นถึงพนักงานระดับสูงกลับพฤติกรรมเอะอะโวยวายเสียงดัง เหมือนตัวอะไรก็ไม่รู้ แบบนี้เหมาะสมหรอ?”

เมื่อถูกตำหนิจาก อูหยาง ซูนเหิง ก็เผยสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย

“ฉันไม่ชอบให้มีพฤติกรรมเอะอะเสียงดังในห้องทำงาน หากเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก พวกเธอสองคนก็สามารถย้ายออกจากบริษัทได้เลย” อูหยาง พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น

พูดจบ อูหยาง ก็ยิ้มแย้มและหันหน้ามอง จางฉีโม่

“คุณ จางฉีโม่ ใช่ไหมครับ? ผมดูแบบร่างออกแบบอัญมณีของคุณเมื่อวานแล้ว สวยงดงามมากเลยครับ” อูหยาง พูดขึ้น “เข้ามาในห้องก่อนครับ มาคุยเรื่องรายละเอียดออกแบบกัน”

“ค่ะ ขอบคุณประธานอู มากค่ะ” จางฉีโม่ พูดด้วยสีหน้าจริงจังขึ้น

อูหยาง ไม่สนใจ ซูนเหิง คนเหล่านั้นแล้ว แต่หันหลังเดินกลับไปห้องทำงาน ส่วน จางฉีโม่ และ หลินอิ่ง ก็เดินตามเข้าห้องทำงานเหมือนกัน

“หึม” จางจี้หนิง จ้องมองร่างเงาของ จางฉีโม่ และ หลินอิ่ง ด้วยท่าทางขุ่นเคือง

“รนหาที่ตายชัดๆ ด้วยความสามารถขยะอย่างเธอ ประธานอู จะสนใจอัญมณีที่ออกแบบ?”

“เห่อ คนแซ่อู ได้เกิดมาในครอบครัวที่เชี่ยวชาญเรื่องอัญมณีสักหน่อย แล้วจะไปเข้าใจเรื่องออกแบบอัญมณีได้ยังไง เห็นขยะเป็นของมีค่าซะงั้น ช่างน่าขำจริงๆ” ซูนเหิง พูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายขึ้น

ทั้งสองคนคิดไม่ถึงว่า ประธานอู จะช่วย จางฉีโม่ จนทำให้พวกเขาสองคนเสียหน้า

เมื่อกี้ยังเหยียดหยาม จางฉีโม่ ว่ามีความสามารถขยะ ชั่วพริบตาเธอกลับได้รับการยินยอมจากประธานอู ไปแล้ว นี่ถือเรื่องที่น่าอับอายขายขี้หน้าต่อพนักงานระดับสูงชั้นนี้มาก

“พี่หนิง ระดับความสามารถอย่าง จางฉีโม่ ประธานอู ให้ตำแหน่งทดลองงานนักออกแบบอัญมณีก็ถือว่าไม่เลวแล้ว” พนักงานระดับสูงตระกูลจาง คนหนึ่งพูดหยอกเล่นขึ้น จากนั้นก็พูดประจบสอพลอว่า “ไม่ว่ายังไง จางฉีโม่ ก็ต้องตกเป็นพนักงานฟังคำสั่งของเธออยู่ดี”

“จริง พี่หนิง พี่เป็นถึงนักออกแบบอัญมณีที่สำคัญของบริษัท หากถึงตอนนั้นพี่ก็สั่งสอน จางฉีโม่ ได้เลยว่า นักออกแบบอัญมณีที่แท้จริงเป็นแบบไหน” ซุปเปอร์ไวเซอร์แผนกออกแบบคนหนึ่งพูดขึ้น

“เห่อ คิดอยากมีอนาคตนักออกแบบอัญมณีที่บริษัทหรอ ฝันไปเถอะ รอให้เธอมาอยู่แผนกออกแบบก่อน ฉันจะค่อยๆสั่งสอนเธอเอง” จางจี้หนิง ยิ้มประชดและพูดขึ้น

เธอเป็นถึงรองหัวหน้าแผนกออกแบบของบริษัท เป็นนะออกแบบอัญมณีคนสำคัญ และเป็นคนที่มีอำนาจด้านการออกแบบอัญมณีในบริษัทด้วย

คิดอยากพึ่งความสามารถออกแบบอัญมณีเพื่อสร้างอนาคตในบริษัทหรอ เห่อเห่อ ช่างน่าขำจริงๆ

……

ณ ห้องทำงานประธาน

อูหยาง เสริฟกาแฟให้กับ จางฉีโม่ และ หลินอิ่ง ด้วยตัวเอง

ซึ่งนี่ทำให้ จางฉีโม่ รู้สึกตกใจเล็กน้อย ในใจคิดอยู่ว่า งานออกแบบอัญมณีของตัวเองได้รับการยอมรับจากประธานอู มากขนาดนี้เลยหรอ

“ไม่ต้องเกรงใจครับ เชิญนั่งคามสบายเลยครับ” อูหยาง เดินกลับมานั่งตรงที่นั่ง และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “งานออกแบบราชาแห่งโลกของคุณ ผมค่อนข้างพึงพอใจมาก นี่ถือเป็นงานออกแบบระดับสูงที่สุดที่ผมเคยรับมาเลย”

“ขอบคุณ ประธานอู มากค่ะ” จางฉีโม่ พูดขึ้น แล้วพูดแนะนำ หลินอิ่ง ขึ้นว่า “ราชาแห่งโลกเป็นงานออกแบบที่ฉันกับ หลินอิ่ง คิดร่วมกัน เขาคือคนที่นั่งด้านข้างของฉันค่ะ”

“อืม?” อูหยาง ซักถามขึ้นว่า “คุณที่อยู่ด้านข้างคุณคือสามีของคุณหรอ?”

“ค่ะ” จางฉีโม่ ลังเลเล็กน้อย ก่อนพยักหน้า

อูหยาง ยิ้มและพูดว่า “ที่เชิญคุณมาครั้งนี้ ผมอยากบอกคุณว่า งานออกแบบของคุณได้รับการยอมรับจากคณะกรรมการแล้ว บริษัทจะดำเนินการจัดสร้างแล้ว ในตอนนี้ผมหวังอยากให้คุณมาเป็นผู้รับผิดชอบสร้างมันขึ้นครับ โดยทุกอย่างคุณเป็นคนรับผิดชอบ”

“ให้ฉันเป็นคนรับผิดชอบด้วยตัวเองหรอค่ะ?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงตกใจขึ้น จากนั้นก็รู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะการเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการสร้างอัญมณีที่มีค่าถือเป็นเรื่องที่เธอไม่กล้าคิดฝัน

ถ้าหากสร้างยึดตามการออกแบบของเธอที่เคร่งครัด ค่าสร้างของราชาแห่งโลกก็จะสูงส่งอย่างคาดไม่ถึงเลย!

เธอไม่เคยรับผิดชอบโครงการที่สำคัญแบบนี้มาก่อนเลย

“แต่ฉันเป็นแค่พนักงานแผนกการตลาดเองนะค่ะ และไม่เคยมีประสบการณ์ทำงานด้านนี้ด้วย….” จางฉีโม่ พูดด้วยสีหน้าถอดใจเล็กน้อยขึ้น

“เรื่องนี้คุณไม่ต้องเป็นกังวล” อูหยาง พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น “ผมสามารถใช้ฐานะตัวแทนคณะกรรมการบริษัทเครื่องประดับจางซื่อประกาศอย่างเป็นทางการต่อคุณว่า คุณ จางฉีโม่ งานออกแบบของคุณถือว่าผ่านมาตรฐานทดสอบของผม และผมขอมอบตำแหน่งหัวหน้าแผนกออกแบบของบริษัท และเป็นนักออกแบบอัญมณีหลักด้วย”

“สัญญาผมได้แบบร่างเรียบร้อยแล้ว ขอเพียงคุณยินยอม ผมจะใช้ฐานะคณะกรรมบริหารประกาศทันที” อูหยาง พูดต่อว่า “วันนี้คุณสามารถย้ายเข้าห้องทำงานหัวหน้าได้เลย”

“ประธานอู คุณกำลังบอกว่าอยากให้ฉันรับตำแหน่งหัวหน้าออกแบบหรอค่ะ?” จางฉีโม่ กัดริมฝีปากอวบอิ่มเล็กน้อย ด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ และรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังฝันไป

คิดไม่ถึงว่าประธานอู จะให้เธอรับตำแหน่งหัวหน้าแผนกออกแบบ นี่ถือเป็นตำแหน่งที่สำคัญด้านการออกแบบอัญมณีของบริษัทเลยเชียวนะ!

ก่อนมา นี่ถือเป็นเรื่องที่เธอไม่กล้าคาดฝัน และสิ่งที่เธอคาดหวังมากที่สุดคือ ประธานอู รับเธอเข้าทำงานตำแหน่งนักออกแบบอัญมณี เพียงแค่นี้เธอก็รู้สึกพึงพอใจแล้ว

คิดไม่ถึงจะสามารถกลายเป็นพนักงานระดับสูงของบริษัท

“ใช่ครับ แต่ตอนนี้ตำแหน่งของคุณคือตัวแทน แต่หากคุณสามารถทำโครงการราชาแห่งโลกสำเร็จอย่างราบรื่นก็จะสามารถรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการทันที” อูหยาง พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น

“แน่นอนว่าสิทธิ์ของตำแหน่งยังคงเหมือนเดิม หากโครงการราชาแห่งโลกสำเร็จราบรื่นคงสร้างผลประโยชน์ต่อบริษัทมหาศาลแน่ ร่วมถึงผลตอบรับของแบรนสินค้าด้วย ซึ่งผมค่อนข้างเฝ้ารอผลลัพธ์นี้มาก ตอนนี้บริษัทต้องการสินค้าเครื่องประดับอัญมณีขั้นสูงที่เป็นเอกลักษณ์เพื่อยกระดับมาตรฐานวงการอัญมณีในเมืองตุงไห่

” อีกอย่างความสามารถของเธอ ผมคิดว่าเหมาะสมกับตำแหน่งนี้” อูหยาง ค่อยๆพูดขึ้น “กล้าหาญที่จะทำเถอะครับ ผมจะตอบแทนคุณอย่างดีเลย”

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมรู้สึกยังไม่อยากจะเชื่อ!

เมื่อปรับอารมณ์สงบลง เธอก็เผยสีหน้านิ่ง “ประธานอู ขอบคุณคุณมากสำหรับโอกาสครั้งนี้ ฉันต้องทำโครงการนี้ให้สำเร็จอย่างแน่นอนค่ะ”

“คุณไม่ต้องขอบคุณผมหรอกครับ” อูหยาง ยิ้มแย้ม แล้วเหลือบมอง หลินอิ่ง แวบหนึ่ง

“อีกอย่าง สามีของคุณสามารถร่วมออกไอเดียสร้างราชาแห่งโลกกับคุณได้ แสดงว่าเขาคงมีความสามารถไม่ธรรมดาแน่ ไม่ทราบว่าสนใจเข้าร่วมทีมออกแบบอัญมณีของบริษัทหรือเปล่าครับ?”

จางฉีโม่ หันหน้ามอง หลินอิ่ง แล้วกระพริบตาเล็กน้อย “นายคิดยังไง?”

หลินอิ่ง ยิ้มและพูดว่า “ให้ผมเป็นนักออกแบบอัญมณี ผมคิดว่าคงมีความสามารถไม่เพียงพอหรอกครับ แต่ถ้าให้ผมเป็นผู้ช่วยของคุณ ผมยินดีครับ”

จางฉีโม่ พยักหน้าเล็กน้อย แล้วหันหน้า อูหยาง “ประธานอู ค่ะ หลินอิ่ง สามารถเป็นผู้ช่วยของฉันไหมค่ะ?”

“เรื่องนี้คุณไม่ต้องถามผมหรอก” อูหยาง พูดต่อว่า “ในเมื่อผมเชิญคุณรับตำแหน่งหัวหน้าแผนกออกแบบของบริษัทแล้ว งั้นคุณต้องเป็นคนรับผิดชอบทีมออกแบบอัญมณีของบริษัท เรื่องคัดเลือกพนักงาน คุณสามารถคัดเลือกได้ด้วยตัวเองเลย”

สองนาทีต่อมา

หลังจากที่พูดคุยกันเสร็จ อูหยาง และ จางฉีโม่ ก็เดินออกจากห้องทำงานทันที

ทุกคนบนชั้นพนักงานระดับสูงต่างเผยสายตาตกใจขึ้น

“เอาล่ะ ทุกคนหยุดทำงานกันก่อน” อูหยาง กวาดตามองพนักงานทุกคน และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น

ทุกคนในชั้นพนักงานระดับสูงล้วนลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วหันหน้ามอง อูหยาง สามคนนั้น อูหยาง พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ผมขอประกาศอย่างเป็นทางการตอนนี้ว่า

ทีมออกแบบอัญมณีของบริษัท ต่อไปจะเป็น จางฉีโม่ มารับตำแหน่งตัวแทนหัวหน้าแผนกการออกแบบ ทุกคนมารู้จักหน่อยครับ”

เมื่อได้ยินแบบนี้ พนักงานระดับสูงต่างก็พากันตกใจ และจ้องมอง จางฉีโม่ อย่างไม่อยากจะเชื่อ

“อะไรนะ? หัวหน้าออกแบบหรอ? เธอมีความสามารถอะไร?” เมื่อได้ยินแบบนั้น จางจี้หนิง ก็สะดุ้งตกใจ และเผยสีหน้าช็อกทันที พร้อมเอ่ยปากซักถามขึ้น

ข่าวคราวนี้เหมือนสายฟ้าแลบที่มาระเบิดในหัวของเธอ

หลายปีมานี้ ถึงแม้เธอจะเป็นรองหัวหน้าออกแบบ แต่เป็นผู้มีอำนาจในทีมออกแบบอัญมณีของบริษัทมาตลอดเลย! แต่ตอนนี้เธอกลับต้องตกอยู่ในอำนาจของ จางฉีโม่ และต้องเห็นหน้า จางฉีโม่ ทำงานในบริษัทอีกหรอ?

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท