ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 5 คนตระกูลจาง พากันชลมุลแล้ว

บทที่ 5 คนตระกูลจาง พากันชลมุลแล้ว

บทที่ 5 คนตระกูลจาง พากันชลมุลแล้ว

เมืองชิงหยูนโรงพยาบาลอันดับหนึ่งของเมือง

หลินอิ่ง เดินมาถึงห้องผู้ป่วย 608

“หลินอิ่ง ที่บ้านเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ แกไม่สนใจไม่ถามเลยนะ แล้วไปไหนมา?” ลู่หย่าฮุ่ย ลุกขึ้นยืน และอยากสั่งสอนจนทนไม่ไหวแล้ว

“แกดูสิ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับที่บ้านล้วนเป็นเพราะแกคนเดียวเลย!” ลู่หย่าฮุ่ย ด่าทอขึ้นด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจ

หลินอิ่ง ไม่พูดไม่จา เอาแต่มองพ่อตา จางซิ่วเฟิง ที่อยู่บนเตียงผู้ป่วยที่มีใบหน้ารอยเขียวช้ำ และบนแขนก็พันด้วยผ้าพันแผลด้วย

ข้างเตียงผู้ป่วยมี จางฉีโม่ นั่งอยู่ด้วยสีหน้ากังวล และมีท่าทางเหน็ดเหนื่อย

“พ่อตา ฉีโม่ พวกคุณบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?” หลินอิ่ง ซักถามขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

“แค่บาดแผลภายนอก ไม่สาหัสอะไรหรอก” จางซิ่วเฟิง พูดขึ้น

จางฉีโม่ พูดว่า “ฉันไม่เป็นอะไร พ่อกับ พนักงานดื้อดัง เลยถูกทำร้าย ตอนตรวจร่างกายเมื่อกี้ โชคดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บถึงกระดูก แค่บาดเจ็บภายนอกเท่านั้น”

ภายในใจของ หลินอิ่ง ขุ่นเคืองมาก แต่ซักถามด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งว่า “ตกลงวันนี้เกิดอะไรขึ้นครับ?”

จางฉีโม่ เหมือนไม่ค่อยอยากพูด จากนั้นถอนหายใจออกเบาๆ

“วันนี้พ่อของ ฉีโม่ ไปจัดการธุระที่โรงงาน และไม่รู้ว่า จางเถียนไห่ สิทธิของเจ้าหนี้โรงงานทั้งหมดได้ยังไง แถมกลายเป็นเจ้าหนี้ด้วย จางเถียนไห่ อ้างว่าจะยึดอุปกรณ์เครื่องมือในโรงงานทั้งหมดกับพนักงาน พ่อของ ฉีโม่ เลยคิดเข้าไปพูดเกลี้ยกล่อม แต่ถูกพนักงานสองคนทำร้าย” ลู่หย่าฮุ่ย ค่อยๆพูดว่า “ฉันกับ ฉีโม่ เลยไปซักถาม จางเถียนไห่ แต่เขากลับพูดประชดประชัน ตอนนี้อุปกรณ์เครื่องทั้งหมดในโรงงานถูกพวกเขายึดไปแล้ว”

“ตอนนี้โรงงานของพ่อ ฉีโม่ แย่หมดแล้ว แม้แต่บ้านก็ถูกยึดเหมือนกัน!” ยิ่งพูด ลู่หย่าฮุ่ย ก็ยิ่งอารมณ์ขึ้น “พวกเขาใจร้ายใจดำมาก! หลินอิ่ง เป็นเพราะเธอทำให้ครอบครัวของฉันพังหมดเลย!”

หลินอิ่ง เผยสายตาแหลมคมขึ้นมาทันทีอย่างเห็นได้ชัดเจน จางเถียนไห่ แทบไม่ทันเตรียมตัวก็ลงมืออย่างใจร้ายใจดำแล้ว ไม่เพียงทำลายโรงงานอัญมณีที่เป็นธุรกิจหลักของครอบครัว ฉีโม่ พังแล้ว ยังยึดบ้านที่อยู่ด้วย

ซึ่งครั้งนี้เหมือนอยากทำลายครอบครัวของ ฉีโม่ ตายทั้งเป็น

“สิทธิ์เจ้าหนี้ค่าค้ำประกันบ้าน โรงงาน ตอนนี้ล้วนอยู่ในมือของจางเถียนไห่ หมดแล้ว จางเถียนไห่ เอ่ยปากแล้วว่าต้องการให้แกหย่ากับ ฉีโม่ ซึ่งฉันรับปากแล้วด้วย หากแกยังพอมียางอาย ช่วยเซ็นเถอะ” ลู่หย่าฮุ่ย พูดขึ้น

“ช่างเถอะ!” จางซิ่วเฟิง ที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยพูดขึ้น “หย่าฮุ่ย ทุกอย่างนี้เป็นเพราะฉันไร้น้ำยาเองที่ไม่สามารถค้ำจุนครอบครัวนี้ อย่าไปโทษคนอื่นเลย”

“ลูกชายของพี่สามเป็นคนเด็ดขาด เขาต้องการพังครอบครัวของเรา” จางซิ่วเฟิง พูดต่อว่า “ครั้งนี้ฟังตามคำพูดของลูกสาวล่ะกัน งั้นพวกเราก็ไม่ต้องเอาบ้านและโรงงานอัญมณีแล้ว แล้วเราไปจากเมืองชิงหยูนกันเถอะ ไม่ต้องให้พวกเราสมน้ำหน้าพวกเราหรอก”

จากนั้น ลู่หย่าฮุ่ย ก็นิ่งเงียบไป

“โธ่ อยู่กันทั้งครอบครัวเลยนะ หลินอิ่ง ในที่สุดแกก็โผล่หัวออกมาสักที!”

ทันใดนั้น นอกห้องก็มีเสียงร้องตะโกนดังขึ้น

จางเถียนไห่ สวมแว่นตากันแดด พร้อมกับสวมชุดสูท และยังมีบอดี้การ์ดตามหลังด้วยสองคน

“ข้อเสนอก่อนหน้านี้ของฉันได้พิจารณากันหรือยัง? อาสะใภ้ห้า คุณลุงห้า?” จางเถียนไห่ พูดขึ้น

“อันที่จริงที่ผมทำแบบนี้ก็เพื่อครอบครัวคุณ พวกคุณดูสิว่า หลินอิ่ง เป็นคนไร้ประโยชน์ยังไง โรงงานเกิดเรื่องใหญ่โตขึ้นขนาดนี้เพิ่งโผล่หน้ามา” จางเถียนไห่ พูดต่อว่า “หากวันนี้ผมมาช่วยไม่ทันเวลา ผมคิดว่าพนักงานเหล่านั้นคงอาละวาดทำร้ายคุณลุงแน่”

“นายหุบปากเลย! ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เป็นเพราะฝีมือนายหรอ หยุดเสแสร้งแกล้งทำเป็นคนใจดีได้แล้ว” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองขึ้น พร้อมเผยสีหน้ารังเกียจ

สีหน้าประชดประชันของ จางเถียนไห่ ไม่มีใครทนเห็นได้!

“ทำบุญบูชาโทษจริงๆ” จางเถียนไห่ ถอนหายใจออกมา “ฉันอุตส่าห์มีน้ำใจช่วยเหลือเอาสิทธิ์เจ้าหนี้ทั้งหมดมาเก็บไว้ในมือ ไม่ใช่เพราะต้องการปกป้องเขาหรอ? หากเป็นคนนอกมาจัดการหนี้สินล่ะก็ ผมเกรงว่าคุณลุงห้าคงถูกคนอื่นทำร้ายแน่!”

“ที่ผมทำแบบนี้ก็เพื่อคิดหาวิธีช่วยเหลือพวกคุณ” จางเถียนไห่ ค่อยๆพูดว่า “ฉีโม่ วางใจเถอะ ไม่ต้องกลัวว่าจะหาสามีคนใหม่ไม่ได้ ลูกชายคนที่สามของตระกูลหลี่ กับฉันมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน แถมเขายังรักเธออยู่อีกด้วยนะ หากเธอสนใจ ฉันสามารถจับคู่ให้เธอได้”

“นายรีบไสหัวออกไปจากฉันเดียวนี้!” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองขึ้น พร้อมเผยท่าทางอดกลั้นต่อการดูถูกเหยียดหยามนี้ไม่ได้

“ออกไปหรอ?” จางเถียนไห่ ยิ้มและพูดว่า “คุณลุงห้า อย่าหาว่าผมไม่ให้โอกาสครอบครัวคุณนะครับ พวกคุณต้องรู้จักหวงแหนเอง พรุ่งนี้ผมจะปล่อยสิทธิเจ้าหนี้ ถึงตอนนั้นครอบครัวของพวกคุณไม่เพียงไม่เหลืออะไร ยังต้องถูกเจ้าหนี้ตามราวีด้วย!”

“นี่นายกำลังพูดจาไร้สาระอะไรอยู่ หากโรงงานอัญมณีและบ้านของพ่อฉันถูกยึดก็ถือว่าหมดเรื่องแล้วสิ แล้วจะยังมีหนี้สิ้นที่ต้องชำระอะไรอีก?” จางฉีโม่ ซักถามขึ้น

“เธอคิดง่ายดายมากเกินไปแล้ว” จางเถียนไห่ เผยรอยยิ้มสะใจขึ้น “โรงงานอัญมณีเก่าๆนั้น อุปกรณ์เครื่องมือพังหมดแล้ว จนแทบขายไม่ได้สักบาทเลย แค่ชดใช้หนี้หรอ? คงยังไม่พอหรอก! อีกอย่างยังติดหนี้ค่าเช่าที่ด้วย หากจัดการไม่ดีล่ะก็ ไม่แน่คุณลุงห้าอาจจะเกี่ยวกับคดีหลอกลวง จนต้องเข้าคุกก็ได้”

“นายนี่!” จางฉีโม่ กัดริมฝีปากอย่างแน่นด้วยสีหน้าอาฆาต

นี่เป็นวิธีการที่เห็นบ่อยในวงการธุรกิจ ครอบครัวของ จางเถียนไห่ มีเงินทองและอำนาจ หากคิดอยากจัดการโรงงานอัญมณีที่ใกล้ล้มละลายอย่างพวกเขา คงไม่ใช่เรื่องยากเท่าไหร่…..

“คิดให้ดีๆ คิดอยากขอร้องผมหรือยัง” จางเถียนไห่ รู้สึกสะใจมากที่เห็นฉากนี้

“พูดจบหรือยัง? ถ้าพูดจบแล้วไสหัวไป!”

หลินอิ่ง จ้องมอง จางเถียนไห่ ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“ไอ้คนไร้ประโยชน์ แกกล้าไล่ฉันออกไปหรอ?” จางเถียนไห่ เปลี่ยนสีหน้า พร้อมจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าเย็นชา

นับตั้งแต่ หลินอิ่ง อยู่ตระกูลจาง ก็ถูกสั่งสอนมาโดยตลอด แต่คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะกล้าแสดงความเกรียวกราดต่อหน้าเขา

“แกนี่ใจกล้ามากเลยนะ!” จู่ๆ จางเถียนไห่ ก็ระเบิดอารมณ์ขึ้น พร้อมฟาดมือตบใส่ใบหน้าของ หลินอิ่ง

แครก!

หลินอิ่ง ยกมือจับข้อมือของ จางเถียนไห่ ไว้อย่างแน่น วินาทีต่อมาก็ได้ยินเสียงกระดูกหักดังขึ้น

“แครก! อ่า!”

จางเถียนไห่ ส่งเสียงร้องอนาถเหมือนหมูโดนเชือดดังขึ้น ขณะเดียวกันก็จ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ ทั้งที่หน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ

เขาคุกเข่าอยู่หน้า หลินอิ่ง พร้อมกับตัวสั่นเทาอย่างรุนแรงเหมือนได้รับความเจ็บปวดอย่างสาหัส

หลินอิ่ง หัวเราะประชดหนึ่งที แล้วปล่อยมือออก

ตึง

จู่ๆ จางเถียนไห่ ก็ปล่อยตัวล้มลงฟุบบนพื้น ขณะเดียวกันก็รู้สึกเป็นตะคิวไปทั่วทั้งแขนอย่างเจ็บปวด จนเขาตัวสั่นไม่หยุด

“แก! หลินอิ่ง แกกล้าทำร้ายฉันหรอ” จางเถียนไห่ จ้องมอง หลินอิ่ง อย่างไม่ละสายตา “ฉันจะทำให้แกรู้สึกเสียใจภายหลังที่เกิดมาบนโลกนี้เลย!”

“ครอบครัวของแกพังแน่! ใครก็ช่วยไม่ได้ คอยดู!”

จางเถียนไห่ ลุกขึ้น พร้อมพูดขึ้น

“กูให้โอกาสพวกแกแล้ว แต่พวกแกไม่รู้จักหวงแหนเอง คอยดูครอบครัวของพวกแกพังได้เลย!”

หลังจากที่ จางเถียนไห่ ข่มขู่เสร็จ ก็เดินจากไปด้วยท่าทางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

“หลินอิ่ง แกนี่ทำเรื่องเล็กให้ยิ่งกลายเป็นเรื่องใหญ่นะ แถมยังกล้าทำร้าย จางเถียนไห่ อีกหรอ!” ลู่หย่าฮุ่ย บ่นพึมพำขึ้น “แล้วที่นี้จะทำยังไงต่อล่ะ! ฉันต้องถูกแกทำชีวิตฉันพังแน่!”

“นายวู่วามเกินไปแล้ว การใช้กำลังไม่สามารถแก้ปัญหาได้นะ” จางฉีโม่ พูดขึ้น

“เรื่องนี้เดียวผมจะจัดการเอง พวกคุณไม่ต้องกังวลหรอก” หลินอิ่ง พูดต่อว่า “ยังไง จางเถียนไห่ ก็ทำไม่สำเร็จหรอก”

“เห่อ แกจะทำอะไรได้หรอ?” ลู่หย่าฮุ่ย พูดประชดขึ้น “แกมีความสามารถอะไรหรอ….”

หลินอิ่ง เหลือบมอง ลู่หย่าฮุ่ย แวบหนึ่งด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

เธอเป็นคนไวต่อความรู้สึก จู่ๆเธอสัมผัสได้ว่า หลินอิ่ง ในวันนี้แปลกกว่าปกติ เพราะเขามีสายตาแหลมคมขึ้น ดังนั้นคำพูดที่คิดจะสั่งสอนที่เตรียมไว้เลยหยุดชะงักลง

หลินอิ่ง เผยสายตาอ่อนโยนขึ้น พร้อมจ้องมอง จางฉีโม่

“วางใจเถอะ มีผมอยู่”

ไม่รู้ว่า จางฉีโม่ เกิดอะไรขึ้น จู่ๆในใจก็รู้สึกอบอุ่นขึ้น วันนี้ หลินอิ่ง มอบความรู้สึกสามารถพึ่งพาได้ให้กับเธอ ทั้งที่เธอไม่เคยได้รับเลย

“อืม” เธอพยักหน้าอย่างนิ่งเงียบ

……

ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่ง

ตึกอาคารบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ

ชั้นที่ยี่สิบกว่าของตึกอาคารใหญ่ ทุกชั้นมีคนเดินสัญจรตลอด และพนักงานทุกคนก็ต่างรีบร้อนด้วย เหมือนกับเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น

ชั้นที่ยี่สิบสาม ห้องประชุม

ประธานจาง เรียกพนักงานมาประชุมอย่างรีบร้อน

โต๊ะทำงานที่กว้างยาวมีพนักงานนั่งอยู่ยี่สิบกว่าคน

บุคคลที่มีอำนาจและมีเงินทองของตระกูลจาง ในเมืองชิงหยูนต่างอยู่กันพร้อมเพรียง

“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมจู่ๆบริษัทถึงชุลมุนวุ่นวายแบบนี้?”

“พี่ใหญ่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น? เมื่อกี้ตอนที่ผมตีกอล์ฟนั้น พอได้รับโทรศัพท์ก็รีบมาประชุมเลยทันที ทำไมลูกค้าคนสำคัญทุกคนถึงต้องการยกเลิกสัญญากับบริษัทเราด้วย!”

“บริษัทประสบปัญหาใหญ่แบบนี้ เพราะมีปัญหากับใครหรือเปล่า? ไม่เช่นนั้นคงไม่เกิดเหตุวุ่นวายแบบนี้อย่างกะทันหันแน่!”

ภายในห้องประชุมเริ่มมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้น หุ้นส่วนทุกคนต่างมีสีหน้ากังวล เห็นได้ชัดเจนว่ารีบร้อน

“เห่อเห่อ”

พี่ใหญ่ตระกูลจาง ประธานผู้ดูแลรับผิดชอบจางซื่อกรุ๊ป จางหงจูน กระแอมสองที

“ทุกท่าน ช่วยอยู่ในความสงบก่อนครับ เรามาพูดเรื่องสำคัญกันก่อน ทุกปัญหาย่อมมีทางแก้ไขเสมอ”

จางหงจูน มีสีหน้าเคร่งเครียดมาก ตั้งแต่ดูแลบริหารจางซื่อกรุ๊ปมาราบรื่นมาโดยตลอด ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่ประสบปัญหาแบบนี้

ทันใดนั้นภายในห้องประชุมก็เงียบสงบลง ทุกคนต่างหันหน้ามอง จางหงจูน ด้วยสีหน้ากังวล และรอเขาเอ่ยปากพูดต่อ

“ประธาน สถิติข้อมูลที่คุณต้องการจัดการแล้วนะครับ”

ทันใดนั้น เลขาสาวสวมแว่นตาคนหนึ่งก็หยิบเอกสารสำคัญหลายฉบับเดินเข้ามา

“วันนี้บริษัทสูญเสียลูกค้าคนสำคัญหลายคนจริงๆ แถมลูกค้าเก่ายังยกเลิกสัญญาด้วย” จางหงจูน พูดด้วยน้ำเสียงจนปัญญาพร้อมเผยสีหน้ากังวล เพราะบริษัทขาดทุนมาก เขาเลยไม่ค่อยมั่นใจ

เลขาสาวหยิบเอกสาร และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ประธานค่ะ สถิติข้อมูลของวันนี้ หุ้นส่วนจางซื่อกรุ๊ปของเราตกต่ำลงสามสิบเปอร์เซ็นต์….ถือว่าแย่มากๆ ซึ่งทำให้หุ้นส่วนเล็กๆรู้สึกหวาดกลัว เลยต่างพากันยกเลิก”

“อีกอย่าง ช่องทางจำหน่ายอัญมณีสิบสถานที่ของพวกเราวันนี้ขาดแล้ว ขณะเดียวกันก็ถูกบังคับให้ยกเลิกด้วย”

“ธุรกิจอัญมณีเมืองตุงไห่ของบริษัทที่มีชื่อเสียงสิบกว่าแห่ง รวมทั้งสมาคมธุรกิจอัญมณีเมืองตุงไห่และนายกเมืองตุงไห่ล้วนร่วมลงนามประกาศว่า จะไม่ทำงานร่วมกับบริษัทเครื่องประดับจางซื่ออีก…..”

“บริษัทของพวกเรากำลังประสบวิกฤตความน่าเชื่อถือครั้งยิ่งใหญ่……”

เมื่อเลขาสาวพูดถึงตรงนี้ก็พูดไม่ถูก เพราะไม่สามารถพูดตรงๆว่า บริษัทแย่แล้ว…

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท