ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 16 อุปสรรค

บทที่ 16 อุปสรรค

บทที่ 16 อุปสรรค

“ว้าว! นี่ยังนับเป็นของขวัญชิ้นเล็ก ๆ เหรอ? ฉันเห็นสร้อยคอหยกเส้นเล็กกว่านี้จากร้านขายเครื่องประดับเมื่อไม่กี่วันก่อน มีมูลค่าหลายหมื่นหยวน เส้นนี้ดูคุณภาพดีกว่าอีก” ผู้หญิงคนหนึ่งมองไปที่สร้อยหยกด้วยแววตาที่แวววาว

“ ใจปล้ำนะเนี่ย พี่ฮุยสร้อยหยกนี้น่าจะมีราคาเริ่มที่ 100,000 หยวนใช่ไหม!” ชายคนหนึ่งอุทานออกมา

“จิ๊ๆ พี่ฮุยดูเหมือนว่านายกำลังขอฉีโม่แต่งงานเลย?”สาวสวยอีกคนพูดแหย่เล่น

เมื่อเผชิญกับความทำดีด้วยของหลี่ฮุย สีหน้าของจางฉีโม่ดูไม่ค่อยดีเล็กน้อย

“ฉีโม่ นี่เป็นเพียงของขวัญเล็กๆของฉัน ไม่ได้มีความหมายอื่นใด” หลี่ฮุย กล่าวด้วยท่าทางที่สง่ามาก พูดพร้อมยิ้ม

“ฉีโม่ เธอดูสิว่าสามีแห่งชาติอย่างหลี่ฮุย พูดขนาดนี้แล้ว เธอก็รับของขวัญไว้เถอะ”

“ใช่ ฉันอิจฉาเธอมาก สามีแห่งชาติหลี่ฮุย ทำไมนายไม่ให้สร้อยคอฉันบ้างล่ะ?”

“ใช่ ฉันนึกออกแล้ว ตอนมัธยมปลายพี่ฮุยเคยตามจีบฉีโม่อย่างหนักนิ?”

ผู้หญิงทั้งหลายเริ่มยุกันแล้ว

รอยยิ้มแบบผู้ชนะก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของ หลี่ฮุย นี่คือผลที่เขาอยากได้

“หลี่ฮุย ขอบคุณสำหรับของขวัญของนายนะ แต่ฉันจะไม่รับของขวัญของนาย” จางฉีโม่กล่าวอย่างเคร่งขรึม

“อย่างเกรงใจกันเลย ฉีโม่ ผมใส่ให้คุณเอง อย่างน้อยก็ลองดูก็ได้ คุณเป็นนักออกแบบเครื่องประดับ น่าจะชอบสร้อยเส้นนี้ใช่ไหม?” หลี่ฮุย ยิ้มและพูดว่า แล้วค่อยๆหยิบสร้อยคอขึ้นมา เดินไปหาจางฉีโม่

เขามองไปที่ผิวกายของเธอ และมีสายตาที่โลภมากออกมา

ตั้งแต่ช่วงมัธยมปลาย เขากระตือรือร้นที่จะได้ร่างกายของสาวสวยประจำโรงเรียนจางฉีโม่แล้ว

เขาจีบมาอยู่นานแต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ

ตราบใดที่ยังมีโอกาสเพียงเล็กน้อยที่จะจีบจางฉีโม่ เขาก็จะไม่ปล่อยมันไป

สีหน้าของจางฉีโม่เริ่มแย่ลง แต่เพราะคนที่อยู่ในงานมีแต่เพื่อนสมัยมัธยม มันก็ไม่ดีถ้าเธอจะโกรธขึ้นมา

หลี่ฮุยเริ่มจะเข้าข่ายบังคับเธอแล้ว

“ฉีโม่ บอกว่าเธอไม่เอาของขวัญของนาย นายไม่เข้าใจเหรอ?”

หลินอิ่งยืนขึ้น แล้วยื่นมือไปขวางหลี่ฮุยไว้ และมองไปที่ หลี่ฮุยด้วยสีหน้าที่เฉยชา

“ ผู้ช่วยหลินนี่นายหมายความว่าอย่างไร” หลี่ฮุยขมวดคิ้วเล็กน้อยและมองไปที่หลินอิ่งอย่างเย็นชา

“ฉันให้ของขวัญกับผู้อำนวยการของนาย แค่ผู้ช่วยตัวน้อยๆก็กล้าห้ามฉันหรือ?” หลี่ฮุยพูดอย่างหยิ่งผยอง เปลี่ยนหน้าทันทีทันใด “นายเป็นตัวอะไรกัน แค่ยอมให้นายเข้ามาดื่มในห้องนี้ ก็ถือว่าให้หน้าคุณแล้ว ผมเป็นเพื่อนร่วมชั้นสมัยม. ปลายของฉีโม่แล้วนายสถานะอะไร ยังกล้ามาตัดสินใจแทนฉีโม่อีก?”

เขาเป็นผู้จัดการใหญ่ของบริษัทก่อสร้างซู่หยางมีบริษัท ที่มีทรัพย์สินหลายสิบล้านอยู่ในมือ พูดได้ว่าเป็นบุคคลที่มีตัวตน

ไม่ต้องพูดถึงพ่อของเขาเลยด้วยซ้ำ พ่อของเขาก็เป็นคนใหญ่คนโตในแวดวงอุตสาหกรรมการเมืองชิงหยูนเป็นลูกคนรวยของแท้

เขาคิดไปเองว่า เขาร่ำรวยและหล่อเหลา คู่ควรกับลูกสาวของตระกูลจางในเมืองชิงหยูนอย่างแน่นอน

ขนาดตำแหน่งผู้อำนวยการของจางซื่อกรุ๊ป อย่างจางฉีโม่ เขายังไม่เห็นหัวเลย

เป็นแค่ผู้ช่วยผู้อำนวยการไม่รู้ต่ำรู้สูงจริงๆ กล้ามาหักหน้าตัวเองได้ยังไง

“ฉันเป็นสามีของฉีโม่” หลินอิ่งพูดเบา ๆ “สร้อยคอของก็อปอันนี้คุณไว้ใช้เองเถอะ”

“อะไรนะ! นายเป็นสามีของฉีโม่หรือ?”

“ฉันได้ยินมาว่า ตอนนั้นครอบครัวของฉีโม่ หาลูกเขย ที่แท้ก็เป็นเขานี่เอง ไม่น่าแปลกใจที่มาเป็นผู้ช่วยของฉีโม่เพื่อหาเงินกินข้าว ไม่น่าล่ะเขาถึงว่ากันว่าเป็นคนไม่เอาถ่าน

“จิ๊ๆ ที่แท้เขาก็เป็นลูกเขยไม่เอาไหนที่มีชื่อเสียงของตระกูลจางนี่เอง ทำไมยังมีหน้ามาเป็นผู้ช่วยให้ฉีโม่อีกล่ะ”

ทันใดนั้น ทุกคนในห้องต่างก็พูดซุกซิกนินทา หลินอิ่งขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเคยได้ยินเรื่องที่หลินอิ่ง ที่ย้ายเข้าตระกูลจางกันแล้ว

ถึงยังไงแล้ว หลี่ฮุย เรียกได้ว่าเป็นคนที่ใช้ชีวิตได้ดีที่สุดในแวดวงเพื่อนร่วมชั้นมัธยมปลายแล้ว สำหรับพวกเขาแล้ว เขาเป็นวัยรุ่นอายุน้อยที่ประสบความสำเร็จ ถ้าได้ประจบ ก็คงได้ชื่อเสียงมาด้วยไม่น้อย

หลินอิ่งส่ายหัวและกล่าวว่า“สร้อยคอหยกนี้ของนายมีคราบเคมีที่ด้านนอก ที่อยู่ในคราบนั้นก็เป็นหยกเทียม อย่างมากก็มีมูลค่าแค่สองถึงสามพันหยวน แต่นายกลับบอกว่าซื้อมันมาในราคาหลายแสน น่าตลกสิ้นดี”

ทันทีที่หลี่ฮุยเปิดกล่องของขวัญออกมา เขาก็ดูออกแล้วว่าสร้อยคอหยกนี้เป็นของเทียมที่ด้อยคุณภาพ ซึ่งเคลือบอย่างพิถีพิถันปกปิดไว้ด้านนอก ดูแล้วเหมือนเป็นหยกแก้วชั้นยอด แท้จริงแล้วก็เป็นสินค้าทั่วๆไปที่เจอได้ในท้องตลาด

เดิมทีเขาไม่อยากจะเปิดโปงเขา แต่คนอย่างหลี่ฮุย ไร้ยางอายได้ถึงขั้นนี้

จีบฉีโม่ต่อหน้าตัวเองไม่ว่า เพราะยังไงก็ตามตัวฉันเองก็คงไม่ได้แย่ขนาดนั้น แต่หลี่ฮุยคิดอย่างจะแตะต้องตัวฉีโม่และยังถือของเทียมมาโชว์แถวนี้อีก เยาะเย้ยมาถึงหัวของตนแล้ว

“ไอ้คนไม่เอาไหน นายกำลังพูดถึงอะไร? นายบอกว่าสร้อยคอของฉันเป็นของเทียม” สายตาของหลี่ฮุยตื่นตระหนกไปสักครู่ จากนั้นสีหน้าของเขาก็โกรธเกรี้ยวขึ้นมา และตอกว่าหลินอิ่งขึ้นมา

“จิตใจของนายนี่มันดำจริงๆ ฉันซื้อสร้อยคอหยกนี้ด้วยเงินทอง 130,000 หยวน นายไม่มีตังซื้อเอง แล้วนายก็เลยใส่ร้ายฉัน”หลี่ฮุยพูดอย่างโกรธเกรี้ยว แล้วมองไปที่จางฉีโม่ด้วยสีหน้าที่เสียดาย “ฉีโม่เธอแต่งงานกับคนไม่เอาไหนที่เลวทรามแบบนี้ น่าเสียดายจริงๆ คนแบบนี้จะทำให้เธอขายหน้า และทำให้เธอต้องลำบากไปทั้งชีวิต”

“ใช่สิ! พวกเธอฟังสิ่งที่หลินอิ่งพูดสิ หัวใจของคนนี้มันดำจริงๆ ตัวเองไม่มีเงินสู้พี่ฮุยก็ใส่ร้ายพี่ฮุยแทน”

“ ค่าตัวพี่ฮุยมูลค่าหลายล้าน เป็นได้หรือที่เขาจะเป็นคนที่ไม่มีเงินซื้อสร้อยหยกระดับสูง ? ไอ้หลินอิ่งคนนี้ เดิมทีฉันคิดว่าเขาแค่ไม่เอาไหน ไม่คาดคิดว่าจะร้ายกาจขนาดนี้ มันน่ารังเกียจจริงๆ”

ผู้ชายทั้งสองกล่าวพร้อมชี้ไปที่หลินอิ่งพวกเขาดูเหมือนจะเป็นหมารักที่ซื่อสัตย์ของหลี่ฮุย

“ หลินอิ่งอย่าทำให้ ฉีโม่ต้องเสียหน้าอีกเลย ก็บอกนายไปแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าอย่าพูดมาก ตัวเองไม่มีความสามารถ แล้วยังทำตัวโง่ ๆอีก !” หลี่เสวี่ยนเอ๋อพูดด้วยสีหน้าโกรธเคืองและกล่าวหาหลินอิ่งขึ้นมา

หลินอิ่ง มองไปที่ หลี่เสวี่ยนเอ๋อ ด้วยสายตาที่เย็นชา

เหมือนว่าหลี่เสวี่ยนเอ๋อต้องการสั่งสอนอะไรบางอย่างเพิ่มเติม แต่พอเธอสบตาอันเฉียบคมของหลินอิ่งไป ก็ปิดปาก และรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยในใจ

หลินอิ่งในวันนี้ไม่ค่อยเหมือนปกติ …

พลั่ก!

ทันใดนั้นประตูของห้องก็ถูกเตะออก

ชายหนุ่มดูดุร้ายที่มีรอยสักที่แขนเป็นดอกไม้อุ้มผู้ชายตัวผอมมา แล้วเดินเข้าไปอย่างโหดเหี้ยม

“นี่เพื่อนของใครกัน? แม่งเอ้ย เมาจนไม่รู้ว่าตัวเองนามสกุลอะไร กล้าเอาเหล้ามาสาดหน้ากูได้ไง” ชายที่มีใบหน้าโกรธเกรี้ยวพูดอย่างโหดเหี้ยม “ใครพาเขามาที่นี่ ออกมาเดี๋ยวนี้เลย

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท