ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 15 งานเลี้ยง

บทที่ 15 งานเลี้ยง

บทที่ 15 งานเลี้ยง

ในช่วงบ่าย จางฉีโม่ยังคงอยู่ในห้องทำงานของผู้อำนวยการ กำลังตั้งใจจัดการเอกสารของโครงการ World King อย่างจริงจัง

หลินอิ่งได้รับข้อความ เขาก็ทักทาย ฉีโม่ และลงจากลิฟต์

เมื่อมาถึงทางเข้าอาคารเป่าติ่ง มีรถเบนท์ลีย์สีดำคันหนึ่งได้จอดรอเขาที่ฝั่งตรงข้ามของถนน

…………………….

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป

โรงแรมชิงหยูน ชั้นที่26

ภายใต้การนำทางของพ่อบ้านคนเก่า หลินอิ่ง เดินเข้าไปในห้องทำงานขนาดใหญ่

ฉีเหอถูนั่งเอนหลังพิงเก้าอี้ตัวใหญ่อยู่คนเดียว โดยไม่แสดงสีหน้าอะไรเลย บนใบหน้าของเขามีศักดิ์ศรีและสง่างามของผู้ที่เหนือกว่าอยู่ตลอดเวลา

หลินอิ่งดึงเก้าอี้ออก แล้วนั่งลงและพูดเบา ๆ ว่า “มั่นใจมากไม่ใช่เหรอว่าฉันจะมาขอร้องนาย? ทำไมเริ่มตามหาฉันก่อนล่ะ รอไม่ไหวแล้วเหรอ?”

ฉีเหอถูดูสงบและพูดว่า “ดูเหมือนว่า ไม่ว่ายังไงนายก็จะไม่เต็มใจที่จะกลับมาตระกูลฉีแล้ว”

“ ฉันพูดไปตั้งแต่ฉันอายุ8ขวบแล้ว ว่าต่อไปนี้ตระกูลฉีจะไม่เกี่ยวข้องกับฉันอีก” หลินอิ่งกล่าวเบา ๆ

“นายไม่อยากกลับมาที่ตระกูลฉี ฉันจะไม่บังคับนาย ก็เหมือนกับตอน8ขวบที่นายจะออกจากบ้าน ฉันไม่ได้บังคับให้นายอยู่” ฉีเหอถูพูดอย่างใจเย็น “การหย่ากับแม่ของนาย เป็นหนึ่งในความผิดไม่กี่อย่างในชีวิตที่ฉันทำ และเป็น1เรื่องในไม่กี่สิ่งที่ฉันเจ็บปวดและหมดหนทางที่สุด แต่ฉันจะไม่มีวันยอมรับความผิดพลาดของด้วยปากของตัวเอง”

“หึ” หลินอิ่งหัวเราะเยาะเย้ย “แล้ววันนี้คุณเรียกฉันมา อยากพูดอะไร?”

“ที่ฉันให้นายมาในวันนี้ เพราะฉันอยากจะบอกนายว่า ฉันจะกลับไปที่ ตี้จิง” ฉีเหอถูกล่าว

“ฉันซื้อคฤหาสน์ในพื้นที่มีระดับดีที่สุดของคฤหาสน์ในวิลล่าหิมะมังกร ที่เมืองชิงหยูนมา1ชุด และเก็บรถสปอร์ตสิบคันไว้ในโรงรถใต้ดิน นอกจากนี้ ในบัญชีธนาคารของสวิสนี้มีเงิน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ” ฉีเหอถูกล่าวช้าๆ “ นายเอาไปหมดเถอะ แม้ว่านายจะไม่ยอมรับพ่อคนนี้ แต่ลูกของฉีเหอถูถูกรังแกและมีชีวิตที่ไร้ประโยชน์แบบนี้ไม่ได้!”

“ ผมไม่ต้องการ” หลินอิ่งพูดเบา ๆ

“นายจะคิดว่าฉันสงสารนายหรือคิดว่ามันเป็นความรู้สึกผิดของฉันก็แล้วแต่เธอ สิ่งที่ฉันฉีเหอถูเคยให้ไป ฉันไม่เคยเอากลับมา” ฉีเหอถูกล่าวอย่างองอาจ

“และฉันจะไม่ยุ่งกับชีวิตนายอีกต่อไป ฉันซื้อโรงแรมชิงหยูนนี้แล้วทั้งตึก ของทั้งหมดที่ให้นายจะถูกเก็บไว้ในตู้เซฟของห้องประชุมชั้นนี้ รหัสผ่านคือวันเกิดของนาย” ฉีเหอถูพูดช้าๆ

“นายจำเป็นต้องใช้ของเหล่านี้เมื่อไหร่ นายก็มาเอาไปเองได้ ถ้านายรู้สึกโกรธนายก็ทุบมันทิ้งทั้งหมดก็ได้ หรือนายเลือกที่จะเพิกเฉยต่อของพวกนี้ก็ได้ อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างขึ้นอยู่กับนาย”

หลินอิ่งส่ายหน้าและหัวเราะเยาะเย้ย

สไตล์การทำตัวของฉีเหอถู ยังคงเป็นเหมือนในทรงจำ ความหยิ่งผยอง และคิดว่าตัวเองสามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างของคนอื่นได้

“แต่ว่า ในใจของนาย มันจะดูถูกฉันฉีเหอถูมากเกินไป” ใบหน้าของฉีเหอถูแสดงความมั่นใจในตัวเองอย่างมาก “นายคิดว่าฉันต้องพึ่งพาลูกชาย เพื่อตั้งหลักในตระกูลฉีใน ตี้จิงงั้นเหรอ?”

“หึ”

ฉีเหอถูตะคอกอย่างเย็นชา แล้วเปลี่ยนการสนทนาทันทีและพูดว่า: “ฉันจะบอกให้ คราวนี้นายจะไม่กลับไปตระกูลฉี กับฉัน ถ้าอย่างงั้น ก็รอสามเดือนผ่านไป ฉันจะแจ้งข่าวให้นายทราบ ถึงตอนนั้นนายค่อยกลับไปหาคุณปู่ของนาย อย่าไปที่ตี้จิงโดยไม่ได้รับอนุญาต”

“ ถ้าสามเดือนผ่านไป ฉันไม่ได้แจ้งข่าวอะไรให้นายฟัง … จำให้ดีนะว่า ตลอดชีวิตของนายต่อไปนี้ อย่าบอกภูมิหลังของนายให้กับใคร และห้ามก้าวเข้าไปที่ตี้จิงเด็ดขาด และลืมทุกอย่างในอดีตให้หมด เข้าใจไหม ?”

หลินอิ่งกล่าวว่า “แค่นี้เหรอ?”

ฉีเหอถูกล่าวว่า: “นายจำไว้อย่าลืม”

หลินอิ่งลุกขึ้นและจากไป พอเดินไปถึงครึ่งทาง เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขารู้สึกว่าวันนี้ฉีเหอถู ผิดปกติไปเล็กน้อย

ดูเหมือนว่า เรื่องของตระกูลฉีที่ตี้จิงจะซับซ้อนกว่าที่คิด …

หลินอิ่งลังเลเล็กน้อย และมองย้อนกลับไป

บังเอิญไปสบตากับฉีเหอถู

“นายมีเรื่องอะไรอีกหรือ?” ฉีเหอถูถามด้วยสีหน้าปกติ

ดวงตาของหลินอิ่งขยับเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไร จากนั้นก็หันกลับไปและออกจากโรงแรมชิงหยูนไป

ไม่มีเสียงใด ๆ ในห้องประชุม ฉีเหอถูมองไปที่ประตูที่ หลินอิ่งเดินออกไป เขาเงียบเป็นเวลานานและถอนหายใจออกมายาวๆ

“ นายท่าน ท่าน……. ” พ่อบ้านที่ยืนอยู่ข้างๆก็เงียบลง

“ตอนแรกฉันคิดว่าสายอื่น ๆ ของตระกูลฉีของเรา ต้องการเดินไปในทางที่ถูกต้อง ก็เลยเอากฎของตระกูลและยึดอำนาจของสายของเราไป และชิงนั่งตำแหน่งหัวหน้าครอบครัวอย่างมีสมเหตุสมผลนั่นคือเหตุผลที่ฉันต้องการจะพาอิ่งเอ๋อกลับไป กลับไปอุดปากพวกมัน” ฉีเหอถูพูดช้าๆ

“ไม่คาดคิดว่า พวกเขาไม่มีกฎแล้ว และยังยืมอำนาจจากภายนอกมา โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของคนในตระกูล นี่พวกเขากำลังเตรียมที่จะต่อสู้เอาให้เลือดออกเลยหรือ … พาคนธรรมดาอย่างอิ่งเอ๋อกลับไป ก็เหมือนเอาแพะไปเข้าปากเสือ…”

“ นายท่าน ท่านไม่ต้องมองตี้จิงในแง่ร้ายเกินไป เราไม่ใช่ไม่มีโอกาสชนะเลย แม้ว่าอำนาจของนายท่านสามจะพังทลายอย่างสิ้นสุดเมื่อสองวันก่อน แต่ก็ยังมีตระกูลที่ซ่อนอยู่ใต้ท่าน สามหรือสี่ตระกูลที่ท่านสามารถระดมพลได้ กองกำลังลับๆยังคงรักษาได้สมบูรณ์เช่นกัน และยังมีความแข็งแกร่งในการสู้รบอยู่ ” พ่อบ้านกล่าว

“หึ ตอนนี้น้องชายคนที่สามตายไปแล้ว พวกเขาต้องการรวบตระกูลฉีไปทั้งหมด เว้นแต่จะข้ามศพของฉันไป ….. เหล่าลี่นายรออยู่ที่ เมืองตุงไห่และรอข่าวจากฉัน”

…………….

หลินอิ่งออกจากโรงแรมชิงหยูนไป มุ่งตรงไปที่ อาคารเป่าติ่ง และหยุดนึกถึงเรื่องของตระกูลฉี

พอตกเย็น

จางฉีโม่และหลินอิ่ง ได้เลิกงานจาก บริษัท พอลงจากลิฟต์และมาถึงหน้าอาคารเป่าติ่ง

อู่เจิ้งเอารถมาจอดรอข้างทางแล้ว

“ หลินอิ่ง” จางฉีโม่สีหน้าลังเล เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็หยุด

“ มีอะไรหรือ?” หลินอิ่งถาม

“คืนนี้ฉันมีงานเลี้ยงเพื่อนร่วมชั้น นาย นายไปกับฉันได้ไหม?” จางฉีโม่ถาม

“งานเลี้ยงคืนสู่เหย้า?”

หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย ช่วงสองปีตั้งแต่เข้ามาอยู่ครอบครัวจางตัวเขายังไม่เคยได้รู้จักกับกลุ่มเพื่อนของ ฉีโม่เลย

“มีแมลงวันสองสามตัวอยู่ในวงเพื่อน น่ารำคาญมาก” จางฉีโม่มองความสงสัยของหลินอิ่งออก และรีบอธิบายทันที

“ งั้นไปสิ” หลินอิ่งพยักหน้า

ทั้งสองขึ้นรถไปด้วยกัน อู่เจิ้งสตาร์ทรถและตรงไปที่ย่านใจกลางเมืองที่รุ่งเรืองที่สุด

สิบนาทีต่อมา

รถขับไปถึงถนนสายอาหารที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูน ข้างถนนเต็มไปด้วยร้านอาหารขนาดใหญ่ร้านหม้อไฟ ร้านขายขนม และสถานบันเทิงต่างๆ ผู้คนมากมายเดินไปมา ทั้งถนนดูแสงสีเต็มไปหมด

จื่อจินKTV ห้องพิเศษหมายเลข 888 เป็นสถานที่นัดพบของพวกเขา

ทันทีที่ จางฉีโม่เข้ามา ก็มีสายตาจ้องมองมามากมาย

“ฉีโม่ นานแล้วที่ไม่ได้เจอ! ฉันได้ยินมาว่าเธอเพิ่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบของ จางซื่อกรุ๊ปขอแสดงความยินดีด้วยนะ!”

“ใช่สิ สมัยที่เราเรียนมหาลัยฉีโม่ก็เคยได้รับรางวัลการออกแบบเครื่องประดับเพชรพลอยมาแล้ว เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้เลยแหละ!”

มีสาวสวยหลายคนยืนขึ้นทักทาย ต่างก็ยิ้มพร้อมพูดว่า

“ฉีโม่ คนนี้ที่อยู่ข้างๆเธอคือใครเหรอ?” ชายในชุดสูทสีม่วงเข้ม ถามอย่างสงสัยพลางมองไปที่ หลินอิ่งด้วยท่าทีที่ไร้ความปรานีเล็กน้อย

“เขาคือ …” จางฉีโม่กำลังจะพูด

“เขาเป็นผู้ช่วยของผู้อำนวยการฉีโม่ ผู้ช่วยหลิน” หญิงสาวมัดผมหางม้าและสวมชุดที่มีสไตล์ยิ้มและช่วย จางฉีโม่ตอบคำถามไป

หลินอิ่งยิ้มเบา ๆ โดยไม่ได้พูดอะไร

เขารู้จักหญิงสาวที่มัดผมหางม้าคนนี้ เธอเป็นเพื่อนสนิทของฉีโม่ ชื่อ หลี่เสวี่ยนเอ๋อ

“โอ้? ผู้ช่วยหลินสวัสดีครับ” ชายในชุดสูทยิ้ม และยื่นนามบัตรไป “ผมเป็นผู้จัดการใหญ่ของ บริษัทก่อสร้างซู่หยาง ชื่อหลี่ฮุยครับ”

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย “สวัสดีค่ะ”

“ฉีโม่ เก่งจริงๆนะเนี่ย บริษัทหาผู้ช่วยให้ด้วย!” หญิงสาวที่มีเสน่ห์และสวมชุดสีดำ กล่าวด้วยความอิจฉา

“ ผู้ช่วยแค่นี้เอง เธอไม่รู้หรอว่า ฉีโม่ของเราถอยรถ BMW ซีรีส์ 5 ด้วยนะ บริษัท ยังให้คนขับรถประจำตำแหน่งมาด้วย” สีหน้าของหลี่เสวี่ยนเอ๋อ ภูมิใจอย่างมาก พูดเหมือนกำลังอวดตัวเอง

“สุดยอดจริงๆ! ประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังสาวเลยนะเนี่ย!”

“ฉีโม่ เธอกลายเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งไปแล้ว”

สาว ๆ ทุกคนต่างแสดงสีหน้าที่อิจฉาออกมา

“พอแล้ว เสวี่ยนเอ๋อถ่อมตัวหน่อย ทุกคนก็เก่งไม่แพ้ฉันหรอก” จางฉีโม่ กล่าวด้วยรอยยิ้มและให้ความพึงพอใจกับตัวเองหน่อย ถึงยังไงหลายปีที่ผ่านนี้ เธอไม่เคยได้รู้สึกถึงความรู้สึกที่ถูกทุกคนให้ความสำคัญมาก่อน

ทุกคนพูดคุยกัน หลินอิ่งและจางฉีโม่นั่งลงบนโซฟา

ขณะนั้น หลี่เสวี่ยนเอ๋อก็โน้มตัวไปหาหลินอิ่ง สีหน้าของเธอไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่

“หลินอิ่งวันนี้ ฉีโม่อุตส่าห์ได้ออกหน้าออกตาสักครั้ง นายอย่าไปทำให้เธอเสียหน้านะหลี่เสวี่ยนเอ๋อเตือนเขา “นายอย่าบอกพวกเขานะว่านายเป็นสามีของฉีโม่ เข้าใจไหม?”

หลินอิ่งยิ้ม แต่ไม่ได้พูดอะไร

“ฉีโม่ เธอก็เหมือนกัน พาหลินอิ่งมาทำอะไร เธอก็รู้ว่าฉันอวยเธอไว้เยอะ เธอแทบจะกลายเป็นไอดอลของเพื่อนร่วมชั้นไปแล้ว” หลี่เสวี่ยนเอ๋อนั่งอยู่ข้างๆ จางฉีโม่ พูดเกลี้ยกล่อมอย่างพยายาม “ อย่าให้หลินอิ่งมาทำลายภาพลักษณ์ไอดอลของเธอนะ”

หลี่เสวี่ยนเอ๋อพยายามยุยงจางฉีโม่และไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่นั่งข้างๆเลย

“พอแล้ว เสวี่ยนเอ๋อ วันนี้เป็นงานคืนสู่เหย้าของพวกเรา เราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้ว” จางฉีโม่ กล่าวอย่างเคร่งเครียด

ในเวลาเดียวกัน มีผู้หญิงคนหนึ่งแนะนำว่า: “งานคืนสู่เหย้าของเราในวันนี้ ก็ถือเป็นการเฉลิมฉลอง ให้กับฉีโม่เหมือนกัน มา ทุกคนมาดื่มด้วยกันเถอะ”

“ชนแก้ว!”

“มีความสุข!”

คนทั้งกลุ่มต่างก็ลุกขึ้นดื่มเบียร์ไป1แก้ว

หลังจากที่ทุกคนนั่งลง จู่ๆ หลี่ฮุย ก็หยิบกล่องของขวัญขนาดเล็กที่สวยงามออกมาจากกระเป๋า เปิดกล่องของขวัญออกมา ข้างในนั้นเป็นสร้อยคอหยกแวววาวและมีคุณภาพระดับเฟิร์สคลาส

“ฉีโม่ ขอแสดงความยินดีกับการเลื่อนตำแหน่งของเธอนะ นี่เป็นของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ จากผม ผมหวังว่าคุณจะรับมันไว้” หลี่ฮุย เดินไปหน้า จางฉีโม่ และยื่นกล่องของขวัญไปให้เธอ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท