ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 28 เรื่องสำคัญที่สุดไว้ท้ายสุด

บทที่ 28 เรื่องสำคัญที่สุดไว้ท้ายสุด

บทที่ 28 เรื่องสำคัญที่สุดไว้ท้ายสุด

“คนไร้ประโยชน์อย่างหลินอิ่งคนนี้จะกล้ามาทำชั่วๆใส่พวกเรา ไม่สอนบทเรียนให้เขาสักหน่อย ยังควรจะพูดจาสาดโคลนใส่กูไหม” ซูนเหิงพูดจารุนแรง โมโหจนเส้นเลือดขึ้นที่หน้าผาก

รุ่นใหญ่รุ่นเล็กของตระกูลซูนที่สง่าผ่าเผยของเขา หนุ่มที่โดดเด่นที่สุดในเมืองชิงหยูน อยู่ในแวดวงคนรวยในเมืองชิงหยูนใครๆก็เห็นแล้วว่าตนเองไม่ใช่คนสุภาพ

แต่ไอ้ลูกเขยเศษสวะอย่างหลินอิ่ง นึกไม่ถึงว่าจะกล้าอาศัยตำแหน่งผู้อำนวยการเล็กๆของจางฉีโม่ ก็เอามาใช้แสดงท่าทางต่อหน้าตน แม่งรนหาที่ตาย!

“จางเถียนไห่จะทำอย่างไร? ถึงกับถูกหลินอิ่งตามKing of the worldกลับมาได้จริงๆเชียวหรอ?” จางจี้หนิงขมวดคิ้วเล็กน้อย หน้าเขียว เศษสวะหลินอิ่งคนนี้ยังกล้าทำให้เธอเสียหน้า จริงๆยิ่งคิดยิ่งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ!

พูดจบ จางจี้หนิงต่อสายโทรไป หาจางเถียนไห่

สวัสดีค่ะ เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้……

“จางเถียนไห่ไอ้ไร้ประโยชน์ เวลาเข้าตาจนก็หายหัว ไม่เห็นมาเข้าร่วมงานนิทรรศการเลย” จางจี้หนิงพูดอย่างโมโห

“ช่างเถอะ ถึงแม้จะให้พวกเขาตามKing of the worldกลับมาได้แล้วยังไงล่ะ?” ซูนเหิงพูดจาไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย “ฉันต้องการให้ไอ้เศษสวะนั่นกับจางฉีโม่อับอายขายหน้า มีวิธีมากมาย!”

เขามีเงินและมีอำนาจ ใช้เดิมพันก็ดี ใช้เส้นใช้สายก็ดี คิดจะจัดการหลินอิ่งกับจางฉีโม่ นั่นมันง่ายเหมือนกับเหยียบมดให้ตายจริงๆเลย

“ใช่ ตามกลับมาได้อย่างไร รอก่อนฉันจะทำให้เธอขายหน้าบ้าง” จางจี้หนิงพูดอย่างขึงขัง “ฉันยังไม่เชื่อ ก็เครื่องประดับอัญมณีที่เธอออกแบบมามาตรฐานขยะขนาดนั้นจะสามารถมาเทียบกับแสงนิรันดร์ได้อย่างไร?”

“ครั้งนี้ ฉันต้องการออกแบบอัญมณีที่สง่างามเพื่อย่ำยีฐานะอันสูงส่งของเธอ ทำให้เธอออกจากจางซื่อกรุ๊ปไปอย่างทรมาน” จางจี้หนิงกล่าวอย่างเต็มไปด้วยความมั่นใจ

……

อีกด้านหนึ่ง หลินอิ่งกับจางฉีโม่ก็เข้าไปถึงภายในงานแล้ว หาที่นั่งVIP แล้วนั่งลง

ด้านหน้าที่นั่งVIPนี้ มีเวทีจัดนิทรรศการที่สูงมากอันหนึ่ง ทุกชนิดจัดวางด้วยการตกแต่งที่วิจิตรงดงาม และยังมีแขวนป้ายแบนเนอร์ไว้เป็นแถวๆ

บริเวณใกล้เคียงมีเจ้าหน้าที่เดินไปมามากมาย ผู้สื่อข่าวจากหลายสำนักเริ่มถ่ายภาพและสัมภาษณ์

“หลินอิ่ง เมื่อกี้นี้ถึงแม้ว่าคุณจะพูดระบายความโกรธมาก ออกมาอย่างเหม็นเน่า แต่ว่าอาจจะใจร้อนไปหน่อยไหม อาจจะพูดจารุนแรงเกินไป” จางฉีโม่พูดอย่างกังวล “แต่ว่ารุ่นใหญ่รุ่นเล็กของตระกูลซูนของซูนเหิง ยังเป็นรองผู้อำนวยการบริหารบริษัท คุณทำให้เขาไม่พอใจอย่างนี้แล้ว จะมีปัญหาใหญ่ตามมาในอนาคต……”

“กังวลอะไรขนาดนั้น คุณเป็นหัวหน้าออกแบบเครื่องประดับอัญมณีของกลุ่ม ประธานอูให้อำนาจคุณรับผิดชอบ ฝ่ายออกแบบอัญมณีนี้คนอื่นไม่มีสิทธิ์เข้าไปก้าวก่าย” หลินอิ่งพูดเรียบๆ

จางฉีโม่ไม่พูดอะไร เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลินอิ่งกำลังคิดอะไรอยู่ เหมือนกับคนดื้อรั้น

คำกล่าวสวยงามแบบนั้น ไม่สามารถหักล้างความแค้นของคู่สามีภรรยาจางจี้หนิงได้ แต่ว่าทำไมความคิดของคุณก็แข็งแกร่งขนาดนี้?

อาศัยชื่อเสียงของตำแหน่งผู้อำนวยการของตนคนเดียวจะสามารถไปสู้คู่สามีภรรยาจางจี้หนิงได้อย่างไร?

เบื้องหลังของจางจี้หนิงคือจางหงจูน เป็นหนึ่งในคนที่คุมอำนาจของตระกูลจาง ซูนเหิงเป็นทายาทของตระกูลที่ร่ำรวยอันดับหนึ่งของเมืองชิงหยูน ยังมีตำแหน่งเป็นกรรมการบริษัทของกลุ่มและเป็นรองผู้บริหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุตสาหกรรมของตระกูลซูนเหิงเองเดิมทีไม่มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ

อิทธิพลของตระกูลซูนในเมืองชิงหยูนนั้นเหนือจินตนาการ เมื่อซูนเหิงใช้อิทธิพลของตระกูลซูน ตระกูลของตนจะไปตีเสมอได้อย่างไร?

“ใช่แล้ว ในกล่องเป็นKing of the worldจริงๆหรอ? คุณไม่ได้โกหกพวกเขาใช่ป๊ะ?” จางฉีโม่นึกอะไรขึ้นมา ถามด้วยความคาดหวังเล็กน้อยในสายตา

หลินอิ่งยิ้ม เปิดกล่องคริสตัลวาววับ ให้จางฉีโม่ดู

“นี่!” จางฉีโม่มองไปที่เพชรที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี สีหน้าดีใจและประหลาดใจ ดวงตาสดใสเปล่งประกายขึ้นมา

ดีอกดีใจที่ได้กลับคืนมา ยากที่จะบรรยายเป็นคำพูดจริงๆเลย

ประเดี๋ยวเดียวความรู้สึกก็เป็นปกติ ถามอย่างสงสัยว่า : “คุณไปตามกลับมาได้อย่างไร?”

“ความที่จริงก็เป็นเรื่องบังเอิญ โชคดีที่ตามกลับมาได้ ภายหลังงานนิทรรศการอัญมณี ฉันจะบอกรายละเอียดกับคุณอีกที”หลินอิ่งกล่าว

จางฉีโม่สีหน้าสงสัย จ้องมองหลินอิ่ง

หลินอิ่งพูดว่า : “อย่าไปคิดเรื่องอื่นเลย วันนี้คุณเป็นคนสำคัญในงานนิทรรศการ”

“อืม……” จางฉีโม่พยักหน้า

นี่เธอก็ไม่อยากไปคิดกังวลเกี่ยวกับวิธีของหลินอิ่งอีก ถึงอย่างไรตามของกลับมาได้ก็ดีแล้ว

สิ่งสำคัญ คือวันนี้ทำอย่างไรก็ได้ให้สิ่งที่ตนตั้งใจทำเป็นที่ยอมรับของทุกคน

เมื่อทั้งสองคนพูดจบ เวลานี้แขกผู้มีเกียรติที่ถูกเชิญเข้าร่วมงานนิทรรศการก็ทยอยกันขึ้นบนเวที

หลินอิ่งลุกขึ้นจากที่นั่ง เดินไปหลังเวที เดินไปหาหญิงเจ้าภาพงานนิทรรศการครั้งนี้ ส่งมอบกล่องคริสตัลให้

เมื่อเขากลับมานั่งที่นั่ง บนที่นั่งVIP ทุกที่นั่งเต็มหมดแล้ว

“ยินดีต้อนรับแขกผู้มีเกียรติทุกท่านที่มาเข้าร่วมงานนิทรรศการเครื่องประดับอัญมณีระหว่างประเทศ ตอนนี้ใกล้จะเริ่มงานนิทรรศการเครื่องประดับอัญมณีระดับไฮเอนด์แล้ว”

เวลานี้ เสียงใสๆจากไมโครโฟนทอดออกมา

พิธีกรสวมชุดสีแดง สุภาพสตรีสุดสวยมือถือไมโครโฟน เดินขึ้นบนเวที หันหน้าไปทางแขกด้านล่างเวทีด้วยรอยยิ้ม

“ฉันเป็นเจ้าภาพของงานนิทรรศการนี้ เจียงซวง” เจียงซวงใบหน้ายิ้มแย้มสวยสดงดงาม พูดด้วยหน้าตาสุขุม “แขกผู้มีเกียรติทุกท่านน่าจะเคยเห็นผลงานคุณภาพปานกลางของกลุ่มเราแล้ว ลำดับต่อมา เราจะมุ่งเน้นไปที่การเปิดตัวเครื่องประดับอัญมณีที่มีมูลค่าถึงหนึ่งล้าน รวมทั้งหมด 10 ชิ้น เป็นผลงานสร้างสรรค์เฉพาะของจางซื่อกรุ๊ป”

พูดจบ เจียงซวงยกมือขึ้น หญิงสาวที่สวยงามที่อยู่ด้านหลังก็เดินออกมา ยืนหันหน้าเข้าหาแขกผู้มีเกียรติ พวกเธอสวมชุดกี่เพ้าโบราณ ในมือถือตู้กระจกสวยงาม ด้านในบรรจุเครื่องประดับอัญมณีหนึ่งชิ้น

เครื่องประดับที่แตกต่างกันในตู้กระจกเล็ก แต่มีราคาที่แพงมาก วัตถุดิบจากหินหยก และหยกขาว หยกเขียวจักรพรรดิ์ เพชร……

เวลานี้ ของล้ำค่าเจิดจ้าอยู่ภายใน แวววาวตระการตา

ในเวลาเดียวกัน จอบนเวทีสูงก็แบ่งฉากออกเป็นภาพเล็กๆสิบภาพ รูปลักษณ์โดยละเอียดของเครื่องประดับอัญมณีทุกๆชิ้นถูกนำเสนอด้วยเลนส์ใกล้จุดที่แม่นยำ

ไฮไลท์กำลังจะมา ผู้อาวุโสหลายคนที่นั่งบนเก้าอี้เป็นผู้เชี่ยวชาญญ ล้วนหยิบแว่นสายตายาวขึ้นมาสวม สังเกตุการณ์อย่างละเอียดด้วยสีหน้าท่าทางเคร่งขรึมขึ้นมา

และผู้สื่อข่าวเหล่านั้น ก็หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายไม่หยุด

“คู่ควรที่จะเป็นบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ ในเวลาหลายสิบปี เครื่องประดับอัญมณีที่ทำออกมาต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน” ผู้เชี่ยวชาญญที่สวมแว่นสายตายาวท่านหนึ่ง กล่าวอย่างชื่นชม

หลังจากแขกผู้มีเกียรติปรบมือกันอย่างตื่นเต้น

เจียงซวงใบหน้ายิ้มตอบ กล่าวว่า : “งานสองชิ้นนี้เป็นหัวใจสำคัญของกลุ่มเราในครั้งนี้ แบรนด์เรือธง ทั้งหมดเป็นเครื่องประดับอัญมณีที่มีมูลค่าราคามากกว่าสิบล้าน แยกกันเป็นแสงนิรันดร์และKing of the world”

“แสงนิรันดร์และKing of the worldล้วนเป็นจี้เพชร ต่างก็มีความสง่างาม เรียนเชิญแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน นักวิชาการ ทำการรับชม และลงคะแนน เพื่อตรวจสอบเครื่องประดับที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในงานนิทรรศการอัญมณีนี้

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท