ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 23 เซควนเขตตะวันออก

บทที่ 23 เซควนเขตตะวันออก

บทที่ 23 เซควนเขตตะวันออก

ไม่ว่าใครได้ยินน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความคิดที่จะฆ่านี้ของหลินอิ่ง ต่างก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น

เสิ่นซานเหงื่อที่หน้าผากออกมาเป็นเม็ดๆ ได้ยินถึงรสชาติของคาวเลือดอันคละคลุ้งอย่างรุนแรง

“คุณนัดเซควนออกมาเจรจาตอนนี้เลย” หลินอิ่งกล่าวอย่างนิ่งๆ

เสิ่นซานสีหน้าตึงเครียด กล่าวอย่างลังเลใจว่า: “ท่านหลิน ถึงเซควนจะต้องการเจรจา ก็จะต้องยินยอมเพียงแค่ที่เขตตะวันออกอย่างแน่นอน ในนั้นคืออาณาบริเวณของเขา…… ”

ในสายตาหลินอิ่งเปล่งประกายไปด้วยความคิดที่จะฆ่า: “งั้นก็ไปที่เขตตะวันออก!”

“ท่านหลิน เซควนมีอิทธิพลอย่างมากในเขตตะวันออก ฉันเกรงว่าจะเป็นการเสียเปรียบ……” สีหน้าของเสิ่นซานเปลี่ยนเป็นกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างฉับพลัน

เขาและเซควนคบค้าสมาคมกันมาหลายต่อหลายปี ย่อมรู้ชัดถึงศักยภาพของเซควน

ท่านเสิ่นซานเขาเป็นใหญ่ในเมืองหนานเฉิง แต่เขาต้องการนำคนเข้าไปที่เขตตะวันออกไปสร้างความรบกวนให้เซควน เขาก็ไม่ได้รับผลดีนัก

ในที่สุดหลายปีมานี้ พวกเขาก็ต่างคนต่างอยู่………

“คุณไม่กล้า?” หลินอิ่งสีหน้าท่าทางไม่ใส่ใจ มองไปยังเสิ่นซาน

เสิ่นซานเผชิญหน้ากับสายตาที่เยือกเย็นของหลินอิ่ง แล้วก้มหน้าลงทันที ภายในใจต่อสู้กันเล็กน้อย

“จะจัดการตามท่านหลินอย่างระมัดระวัง!” เสิ่นซานกัดฟัน ใจหนักแน่น กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย ลุกขึ้นแล้วออกไป เสิ่นซานติดตามเคียงข้างไปด้วยความเคารพ

ในเวลานั้น เสิ่นซานก็โทรศัพท์ไปยังเซควน นัดเซควนออกมาเจรจา

หลายนาทีต่อมา

หลินอิ่งและเสิ่นซานก็เดินทางออกจากซิงกวางหุ้ย

ด้านล่างมีรถโตโยต้าสีดำนับสินคันมารวมตัวกันอย่างมีอำนาจ แต่ละคันล้วนมีชายสวมสูทสีดำท่าทีมีความสามารถหลายคนนั่งมาด้วย

เสิ่นซานก็ตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวมาก นำหัวกะทิตัวตั้งตัวตีข้างกาย ทั้งหมดต่างก็เคลื่อนไหวเข้ามา

หลินอิ่งพร้อมด้วยเสิ่นซานนั่งรถLand Roverคันนึงไป รถนับสิบคันต่างมุ่งตรงไปยังเขตตะวันออก

หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น………

เขตตะวันออก ทะเรือเฟยวูของเขตตะวันออก

นี่คือสถานที่เปลี่ยวห่างไกลความเจริญที่นึง อีกอย่างก็เป็นท่าเรือเก่าแก่รกร้างมาหลายปี โดยภาพรวมแล้วก็กลายเป็นพื้นที่กองขยะขนาดใหญ่ ซากรถเศษเหล็กล้วนทิ้งไว้ในนี้ ด้านแม่น้ำก็มีเพียงเศษซากปรักหักพังของเรือ

ด้านบนท่าเรือก็ยังมีตึกสูงโรงงานที่ทิ้งรกร้างไว้หลายหลัง โดยพื้นฐานปกติแล้วจะไม่มีคนเข้ามา

ขณะนี้ รถของเสิ่นซานพร้อมทั้งขบวนรถทั้งหมดต่างก็จอกทิ้งไว้ยังด้านนอกโรงงาน

บอดี้การ์ดสวมใส่ชุดสูทสี่ห้าสิบคน ต่างก็ลงจากรถ และเดินติดตามเสิ่นซานเข้าไปยังโรงงานร้าง

ประตูใหญ่หน้าตัวอาคารโรงงาน มีกลุ่มพวกชายสวมเสื้อสูทรูปร่างสูงใหญ่ ขวางเสิ่นซานและหลินอิ่งเอาไว้

“ท่านเสิ่นซาน คนของคุณ อยู่ได้แค่ด้านนอก” ชายรูปร่างสูงใหญ่ใส่แว่นตาดำกล่าวด้วยเสียงที่เคร่งขนขรึม

“นี่?” ท่านเสิ่นซานขมวดคิ้วเล็กน้อย และมองไปยังหลินอิ่ง

หลินอิ่งค่อยๆพยักหน้า “ไม่เป็นไร พวกเราเข้าไปสองคนก็พอแล้ว”

บอดี้การ์ของเสิ่นซานถูกขัดขวางไว้ด้านนอก หลินอิ่งและเสิ่นซานเข้าไปยังในโรงงานเพียงลำพังสองคน

ภายในตึกสูงของโรงงานร้าง แสงไฟสว่างจ้า

ภายในอาคารมีภาพเงาของคนหนาแน่น ซึ่งมากกว่าห้าหกสิบคน แต่ละคนดูนิสัยดุร้าย ทั้งหมดล้วนยืนเรียงกันเป็นแถว

ใจกลางตัวอาคารโรงงาน มีโต๊ะไม้ผืนสี่เหลี่ยมโต๊ะหนึ่งวางไว้ มีกาน้ำชาใบนึงตั้งไว้ มีถ้วยน้ำชาสองถ้วย ชายวัยกลางคนผมทรงลานบินสวมเสื้อหนังสีดำคนนึง กำลังรินน้ำชา

ชายผมทรงลานบินดูสงบเงียบมั่นคง แต่ทว่าในสายตาช่างเยือกเย็นอย่างยิ่ง

สีหน้าท่าทีที่เคร่งขรึมของเขามองมายังเสิ่นซานและหลินอิ่งที่เดินเข้ามา ยกมุมปากขึ้นอย่างยิ้มๆ

“ท่านเสิ่นซาน พวกเราไม่ได้พบหน้ากันมาตั้งหลายปีแล้ว คุณยังมีท่าทีเหมือนเดิมเลยนะ เสียงดังน่าเกรงขาม” เซควนกล่าวอย่างยิ้มๆ เหมือนเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมาหลายปี

“เซควน คุณไม่ต้องมามุขนี้กับฉัน” เสิ่นซานหมุนลูกประคำในมือ สีหน้าปกติ เปิดอกคุยกันอย่างตรงไปตรงมา “ฉันมาที่เขตตะวันออกวันนี้คือมาหาบุคคลสำคัญของคุณ”

“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เองหรอ? ท่านสามถึงกับต้องพาคนมาหาถึงที่ด้วยตนเองเลยหรอ?” เซควนยิ้มๆ พูดอย่างช้าว่า “เพียงแค่คนที่เป็นลูกน้องมีปัญหาขัดแย้งกันเล็กน้อย ท่านเสิ่นซานแจ้งล่วงหน้าก็แล้วกัน ฉันยังสามารถไม่ไว้ท่านสามอีกหรอ?”

เสียงหักข้อนิ้วของเซควน “ปล่อยคนของท่านสาม”

คนติดตามชุดดำข้างกายของเขา ทันทีก็นำชายชุดสูทหกคนออกมาจากในห้องเล็กๆของโรงงานทั้งหมดคือลูกน้องเสิ่นซาน ที่ก่อนหน้านี้ได้ส่งให้ไปจับกุมหนูที่เขตตะวันออก

“ท่านสาม คุณกับฉันต่างคนต่างอยู่มาโดยตลอด ครั้งนี้คือคุณยื่นมือข้ามเขตมา แต่ว่าฉันก็ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยมากเกินไป เพียงแค่ไม่มีครั้งต่อไปแล้ว!” เซควนดื่มชาถ้วยนึง กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “คุณพาคุณกลับไปเถอะ ถ้าคุณอยากดื่มชาสักถ้วย น้องชายของคุณหลายสิบคนที่รออยู่ข้างนอกไม่สบายใจ ฉันก็จะพาไปร้านอาหารตุงหยาง ให้ทุกคนได้กินดื่มสักมื้อ มีความสัมพันธ์ที่ดี ครั้งนึงไม่ใช่เพื่อประโยชน์อะไร ถ้าหากไม่ต้องการดื่มชาแก้วนี้ งั้นตอนนี้ ท่านสามก็เชิญคุณกลับไปเถอะ!”

เขาก็ไม่รู้ว่าเมืองหนานเฉิงเสิ่นซานจู่ๆเหวี่ยงอะไร จ้องมองไปยังหนูลูกน้องของตัวเอง ยังคิดที่จะฉวยหาประโยชน์ในมือของตนเอง

เพียงแต่ ไม่ถึงขนาดที่จะไปต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายกับเสิ่นซานในเรื่องนี้ ทำเรื่องเล็กนิดเดียว วันหน้าก็ได้พบกันอีก

“เซควน คนที่ฉันต้องการในครั้งนี้ คือหนู!” เสิ่นซานกล่าวแสดงออกอย่างเคร่งขรึม

เซควนหรี่ตาลงเล็กน้อย ในสายตาพรั่งพรูแสงแห่งความเยือกเย็นออกมา

เคล้ง!

เซควนโยนถ้วยชาในมือลงพื้นจนแตกละเอียด กล่าวอย่างเย็นชาว่า: “หนู ส่งแขก!”

ท่าทีแสดงออกอย่างชัดเจน

เวลานี้ ข้างกายเซควน ก็มีชายวัยกลางคนรูปร่างผอมๆเตี้ยๆคนนึงเดินออกมา

“ท่านสามไม่รู้ว่าที่คุณมาหาฉันด้วยเรื่องอะไร เพียงแต่ว่า เขตตะวันออกยังไม่ถึงตาที่คุณจะเข้ามายุ่งเกี่ยว เชิญกลับไปซะ” การแสดงออกของหนูไม่มีหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ยกมือขึ้นแล้วกล่าว

เส้นเลือดที่หน้าผากเสิ่นซานก็นูนออกมา สีหน้าท่าทางโกรธเล็กน้อย แต่ภายในใจเขาก็ชัดเจนแล้วว่า ขืนพูดต่อไปก็จะต้องผิดใจกันเป็นแน่……

“คุณคือหนูใช่ไหม? เรื่องKing of the worldของบริษัทเครื่องประดับจางซื่อนั้น คุณเป็นคนเอาไปใช่ไหม?”

หลินอิ่งยืนขึ้นมา มองไปยังหนู กล่าวด้วยสีหน้าที่ไม่แสดงออก

เสิ่นซานสามารถทำจุดๆนี้ได้ ตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่มากแล้ว เขาก็ไม่ได้คาดหวังว่าเสิ่นซานจะสามารถฆ่าเซควนในเขตเขตตะวันออก

“ คุณมายุ่งอะไรด้วย? นี่ถึงตาที่คุณจะพูดแล้วหรอ?” หนูกล่าวแล้วจ้องมองหลินอิ่ง อย่างโหดเหี้ยม

“นี่คือลูกน้องของคุณหรอ?” เซควนยิ้มอย่างเย็นชาแล้วมองไปยังเสิ่นซาน กล่าวซักถามด้วยน้ำเสียงตำหนิติเตียนว่า “คนที่คุณพามา ล้วนไม่เข้าใจกฎเกณฑ์พื้นฐานที่สุดเลยหรอ?”

“ท่านหลิน นี่คือเซควนและหนู ควรทำยังไงดี ทั้งหมดตามแต่คุณจะจัดการ” เสิ่นซานกล่าวด้วยสีหน้าเข้มงวด และหลังจากนั้นก็ถอยมาอยู่ด้านหลังของหลินอิ่ง

เห็นเสิ่นซานให้ความเคารพต่อหลินอิ่ง เซควนก็ขมวดคิ้วขึ้น กล่าวถามอย่างสงสัยว่า: “คุณเป็นใคร?”

“หลินอิ่ง” หลินอิ่งกล่าวอย่างไม่สนใจ มองไปยังเซควน “ฉันถามคุณ King of the world อยู่ในมือของคุณใช่ไหม?”

“King of the world? หลินอิ่ง?” เซควนสีหน้าท่าทางลังเลใจ ดูเหมือนว่าจะนึกอะไรขึ้นได้ แล้วก็ยิ้มขึ้นมาทันที

“คุณก็คือหลินอิ่งไอ่คนไร้ประโยชน์คนนั้นที่แต่งเข้าเป็นลูกเขยของตระกูลจางใช่ไหม? ฮ่า ฮ่า! ไอ่คนไร้ประโยชน์อย่างคุณนี้ สะเออะมาร่วมสนทนากับกู?” เซควนหัวเราะขึ้นมาอย่างเต็มที่

เขารู้แล้วว่า ชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้านี้ มาเพื่อเรื่องอัญมณีมูลค่ากว่าสิบล้านนั้น

ก่อนหน้านี้สองวัน จางเถียนไห่ลูกชายคนที่สามของตระกูลจางมาหาตนเอง แนะนำการซื้อขายที่ดี บอกว่าจางซื่อกรุ๊ปจะทำเครื่องประดับอัญมณีมูลค่ากว่าสิบล้านออกมา จางเถียนไห่รับปากที่จะช่วยเป็นไส้ศึกในการปล้น หลังจากเรื่องราวสิ้นสุดลงก็ส่งอัญมณีคืนตนเอง

เขาคิดๆดู นี่ไม่ใช่เรื่องดีที่มาส่งถึงประตูบ้านหรอ? แถมยังไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงอีก! ทันทีจึงจัดการให้หนูไปทำเรื่องนี้ เดิมทีหนูก็เป็นคนชำนาญการ บวกกับได้จางเถียนไห่ช่วยเหลือภายในบริษัทอีก ก็ยิ่งขโมยของออกมาได้อย่างสบายๆ

คิดไม่ถึงว่าเจ้าโง่หลินอิ่งคนนี้ จะกล้ามาที่เขตตะวันออกเพื่อหาสิ่งของกับตนเอง รนหาที่ตายจริงๆ

“เสิ่นซาน? ฉันคิดไม่ถึงจริงๆว่า คุณแม่งเป็นคนแรกที่มีตำแหน่งสูงสู่ในกลุ่มมาเฟียของหนานเฉิง ไม่นึกเลยว่าจะเรียกหลินอิ่งไอ่คนขี้ขลาดตาขาวไร้ความสามารถนี้ว่าท่านหลิน?” เซควนหัวเราะขึ้นมา สีหน้าเย่อหยิ่งอย่างมาก

“แล้วก็คนไร้ประโยชน์อย่างคุณอะ ทำของหายแล้วยังกล้ามาตามหากับเซควนอย่างฉันหรอ? คุณไม่อยากมีชีวิตอยู่ยาวๆหรือไง?”

พูดพลาง เซควนก็ควักปืนพกสีเงินออกมา เล็งไปยังบนหน้าผากของหลินอิ่ง!

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท