ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่19 จัดการได้ดีมาก

บทที่19 จัดการได้ดีมาก

บทที่19 จัดการได้ดีมาก

“ท่านสาม!นายคนนี้ครับ เขากล้ามาหาเรื่องถึงถิ่นของท่าน ขนาดผมพูดชื่อของท่านสามออกมา เขายังกล้าตบหน้าผมเลยครับ ! เขาไม่เห็นท่านในสายตาเลย “ งูดำโวยวายเสียงดังขึ้นมา กลัวว่าท่านเสิ่นซานจะไม่เห็นตัวเอง

ท่านเสิ่นซานไม่ได้ไปสนใจ งูดำ ภายในใจเขาเหมือนรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างที่ไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้น

หลินอิ่งค่อยๆหันหลังกลับมา แล้วมองไปท่านเสิ่นซานด้วยสายตาที่เฉยชา ไม่ได้พูดอะไรออกมา

“ท่านหลิน!” พอเห็นสายตาของหลินอิ่ง ท่านเสิ่นซานรีบก้มหัวลงทันที แล้วเรียกด้วยเสียงที่เคารพ

“อะไรนะ!”

“ฉันฟังผิดไปรึป่าว?”

งูดำและลูกน้องของเขา ต่างก็ตกใจอย่ามาก แสดงสีหน้าออกมาอย่าตกใจ

“ท่านหลิน ไม่คิดว่าท่านก็อยู่ในจื่อจินKTV แต่ว่ามีเรื่องอะไรเหรอครับ?” เสิ่นซานเช็ดเหงื่อที่ออกตรงหน้าผากออก ถามด้วยความเคารพ

หลินอิ่งพูดอย่าช้าๆ “นายลองถามลูกน้องของนายดูสิ”

“งูดำ นายหาเรื่องท่านหลินเหรอ?” เสิ่นซานถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาทั้งๆที่เขารู้อยู่แล้ว

เขาได้ข่าวนี้ตั้งแต่ในโทรศัพท์แล้ว ว่ามีคนมาหาเรื่องที่จื่อจินKTV มาตีงูดำลูกน้องคนโปรดของเขาด้วย ขนาดงูดำพูดชื่อของท่านเสิ่นซานออกมา คนฝั่งนู้นยังไม่ไว้หน้าเลย

เดิมทีเขาพาคนมาที่นี่ด้วยความโกรธและพร้อมที่จะหาเรื่อง แต่ไม่คาดคิดว่า คนคนนั้นคือหลินอิ่ง!

“ท่านสาม ผมก็แค่ล้อเล่นกับจางฉีโม่ไปสองสามคำ หลินอิ่งก็เข้ามาหาเรื่องผม เรื่องนี้ท่านต้องเอาคืนให้ผมนะครับ” งูดำพูดอย่างไม่พอใจ

“เสิ่นซาน นายพาคนมา จะมาเอาคืนให้เขาเหรอ?” หลินอิ่งถามอย่างใจเย็น

“ไม่ครับ! ท่านหลิน ผมจะกล้าได้ยังไงครับ !” เสิ่นซานเหงื่อแตกเต็มหน้าผาก พูดด้วยความเคารพแล้วหวาดกลัว

หลินอิ่งพูดอย่างใจเย็น “นี่เป็นคนของนาย นายจัดการเองเถอะ”

“ท่านสาม ทำไมท่านต้องเกรงใจเขาด้วยครับ หลินอิ่งมันเป็นแค่ลูกเขยไม่เอาไหนของตระกูลจาง!” งูดำยังไม่ค่อยรู้เรื่องซะเท่าไหร่ เขาพูดด้วยความไม่เข้าใจ

“ถึงแม้ว่าหัวหน้าตระกูลจาง จางหงซวนมา ต่อหน้าท่านเขาก็ไม่ได้มีอิทธิพลอะไรมาก” งูดำพูดพร้อมทำสีหน้าสงสัยเล็กน้อย

ไม่ใช่ว่าเขาไม่ฉลาด แต่เขาไม่ได้คิดเรื่องนั้นเลย เขาจะไปรู้ได้ไงว่า หลินอิ่งลูกเขยไม่เอาถ่านที่ชื่อเสียงโด่งดังคนนี้จะทำให้หัวหน้าประจำเมืองหนานเฉิงก้มหน้าให้เขาได้?

เสิ่นซานมองไปที่งูดำ ในสายเต็มเต็มไปด้วยความอาฆาต เขาอยากจะเอามีดแทงไอโง่คนนี้ให้ตายไปซะเลย แค่การพูดคุยแบบผิวเผิน เขาก็เดาออกแล้วว่าเรื่องราวมันเป็นมายังไง นิสัยของงูดำเขาก็รู้ดี สงสัยต้องคิดไม่ดีไม่ร้ายกับจางฉีโม่ภรรยาของหลินอิ่งแน่ๆเลย

ผู้หญิงของหลินอิ่งนายยังกล้าคิดไม่ดีด้วย อยากตายจริงๆใช่ไหม!

“ไอ้โง่ ยังไม่หุบปากอีก!”

ท่านเสิ่นซานเตะไปที่หน้าของงูดำอย่างแรง แล้วก็ใช้ส้นเท้ากดหน้าของงูดำ ไว้กับพื้นอย่างรุนแรง

“ท่านสาม…..ผม!” แววตาของงูดำรู้สึกกล้ำกลืนเล็กน้อย เขาไม่เข้าใจเลยว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่

“ถ้านายกล้าออกเสียงอีกแม้แต่น้อย คืนนี้ฉันจะโยนนายลงแม่น้ำชิงหยูนให้ปลากิน!” เสิ่นซานพูดอย่างแรง สีหน้าเต็มไปด้วยความโมโห

“เอาแท่งเหล็กมา ฉันจะลงโทษด้วยกฏประจำบ้านเอง” เสิ่นซานพูดด้วยน้ำเสียงโทนต่ำ แล้วรับแท่งเหล็กมาจากบอดิการ์ดมา

“คืนนี้พวกนายหาเรื่องท่านหลิน ตอนนี้คุกเข่าลงให้หมด กราบท่านหลินเดี๋ยวนี้ ! “ เสิ่นซานถือแท่งเหล็กไว้ แล้วชี้ไปที่งูดำและลูกน้องของเขา พูดด้วยความเคร่งเครียด

ลูกน้องหลายคนของงูดำคุกเข่าลงทันทีแทบจะไม่มีการลังเลใดๆเลย หลังจากนั้นก็กราบหลินอิ่งอย่างเร็ว เสียงหัวที่โขกกับพื้นดังตุบ ตุบ ตุบ

ภาพนี้ทำให้พวกเขาตกใจเป็นอย่างมาก ในเมืองหนานเฉิง สำหรับนักเลงอย่างพวกเขาแล้ว การเป็นอยู่ของท่านเสิ่นซานก็เหมือนเจ้าพ่อ

หลี่ฮุยที่คุกเข่าอยู่ตั้งแต่แรกอยู่แล้วก็อึ้งเหมือนกัน เขาตกใจจนเอ๋อไปแล้ว เขาเองก็ขอร้องให้ท่านหลินให้อภัย ภายใต้การจ้องมองด้วยสายตาที่เย็นชาของท่านเสิ่นซาน

”ท่านหลิน ท่านปล่อยผมไปเถอะนะครับ! ผมผิดไปแล้ว ผมตาบอดเองผมไม่ควรหาเรื่องคุยตั้งแต่แรก !”หลี่ฮุยกรีดร้องขึ้นมาอย่างน่าสงสาร ตอนแรกก็ใจกากอยู่แล้ว พอนึกถึงตอนที่เยาะเย้ยหลินอิ่ง วิญาณก็แทบจะหลุดออกจากร่าง

ตอนแรกเขายังคิดอยู่ว่า กลับไปจะไปใช้อำนาจของพ่อมาเอาคืนหลินอิ่ง

แต่ตอนนี้ขณะนี้ความโกรธแค้นทั้งหมดของเขาได้หายไปอย่างสาบสูญ เขาเพิ่งจะเข้าใจว่า ระหว่างเขาและหลินอิ่งมันต่างกันแค่ไหน!

5นาทีผ่านไป

หลินอิ่ง กลับไปที่ห้อง888 หลี่ฮุยเดินตามหลังมาอย่างเชื่อฟังพร้อมแขนที่หักไป1ข้าง

“หลินอิ่ง เป็นยังไงบ้าง? เสิ่นซานคนนั้นมารึยัง?” จางฉีโม่ถาม เธอเป็นห่วงมาก

หลินอิ่งยิ้มออกมาเบาๆ พูดต่อว่า “ไม่เป็นไร ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ฉีโม่เรากลับบ้านกันเถอะ”

“ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว?”จางฉีโม่สฃสัยเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมาก แค่พยักหน้า หลินอิ่งก็ขี้เกียจสนใจพวกคนในห้องนั้น เดินออกมาพร้อมจางฉีโม่เลย

“พี่ฮุย แขนข้างนี้ของนายเป็นอะไรเหรอ? “ ในห้องนั้น มีผู้ชายคนหนึ่งถามด้วยความสงสัย เขาสังเกตเห็นว่าแขนของหลี่ฮุยผิดปกติไปมาก

หลี่ฮุยพยายามฝืนยิ้ม พูดว่า :”เมื่อกี้ไม่ทันได้ระวัง ฉันทำแขนแพลงเอง “

“พี่ฮุย ไอ้หลินอิ่งนี่มันทำตัวใหญ่เกินไปรึเปล่า วันนี้เขาต่อยนาย แล้วก็ออกไปอย่างไม่ทักทายเลย นายไม่คิดหาวิธีจัดการมันหน่อยเหรอ? ต่อไปยังต้องตามจีบจางฉีโม่อีกนิ?” มีผู้หญิงคนหนึ่งถามด้วยความสงสัย

“เธอกำลังพูดอะไร? สั่งสอนอะไร? ตามจีบจางฉีโม่งั้นเหรอ? ต่อไปถ้าใครกล้าพูดเรื่องนี้อีกมีปัญหากับฉันแน่!”หลี่ฮุยพูดด้วยน้ำเสียงโทนต่ำ

“งั้นพี่ฮุย เมื่อกี้ท่านเสิ่นซานมาไหม? ข้างนอกนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

ผู้ชายและผู้หญิงในห้องนั้นถามด้วยความสงสัย

“เรื่องนี้พวกเธอก็อย่าถามเยอะเลย ฉันก็ไม่รู้ “หลี่ฮุยมองดูแผ่นหลังของหลินอิ่งที่เดินจากไป สีหน้าของเขาคงสับสนเล็กน้อย

เขาเองก็อยากจะพูด แต่ปัญหาคือเขาไม่กล้าพูด ไม่น่าเชื่อว่าคนใหญ่คนโตอย่างเสิ่นซานจะเรียกหลินอิ่งว่าท่าน นี่แม่งเรื่องอะไรกันวะ……

อีกฝั่งหนึ่ง หลินอิ่งกับจางฉีโม่เดินออกจากจื่อจินKTVไป เขาสองคนขึ้นรถไป อู่เจิ้งกำลังสตาร์ทรถ และจีพีเอสนำทางพวกเขามุ่งไปที่ชุมชนเจียงฉือ

ที่เบาะหลังรถ จางฉีโม่ถามอย่างจริงจังว่า “หลินอิ่ง สุดท้ายนายจัดการกับงูดำยังไง? อย่าบอกฉันนะว่านายใช้หมัดนายทำให้เขายอมนาย”

หลินอิ่งยิ้มเล็กน้อยกล่าวต่อว่า “ก็ใช้หมัดทำให้เขายอมจริงๆ”

“หึ! ไม่ยอมบอกก็ไม่เป็นไร “จางฉีโม่ทำเสียง”หึ” แล้วหันหัวกลับไป

ถึงแม้ว่าเธอจะสงสัยมาก แต่ก็ไม่อยากถามอีกแล้ว เพราะถึงยังไง เธอก็ยังไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นภรรยาของหลินอิ่งจริงๆ…….

หลายวันหลังจากนั้นมา จางฉีโม่ก็เก็บตัวอยู่ในห้องทำงาน มุ่งมั่นทำโครงการKing of the world

หลินอิ่งก็อยู่ทำงานเป็นเพื่อนของจางฉีโม่ปกติเหมือนที่ผ่านมา พวกเขาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องรายละเอียดต่างๆของเพชรพลอยหายากชิ้นนี้ งานชิ้นนี้ก็เดินได้เร็วมากขึ้นทุกวัน

เวลาก็ผ่านไปแบบนี้3วัน

เหลือเวลาอีก1วัน ก็จะเป็นวันงานนิทรรศการแล้ว สถานที่จัดงานอยู่ที่ลานตึกที่กว้างที่สุดของเมืองชิงหยูน ที่พาณิชย์พลาซ่าชิงหยูน งานกิจกรรมทางธุรกิจนี้สำคัญมาก จางซื่อกรุ๊ปก็เชิญตัวแทนของบริษัทเพชรพลอยขนาดใหญ่มาร่วม รวมไปถึงมืออาชีพทางด้านนี้ด้วย

วันนี้ หลินอิ่งไม่ได้อยู่ที่บริษัท เขาไปที่บริษัทโอเชี่ยนอสังหาริมทรัพย์ของเมืองชิงหยูนตั้งแต่เช้า

หลินอิ่งตัดสินใจเลือกบ้านหลังใหม่ที่เหมาะสม แล้วรอเวลาที่เหมาะสม เพื่อย้ายเข้าไปอยู่พร้อมครอบครัวจางฉีโม่

ฝั่งเหนือของเมือง เขตกลางที่รุ่งเรือง มีแหล่งน้ำและดอกไม้ที่สวยงาม

หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่ข้างแม่น้ำชิงหยูน สถานที่ตั้งโอเค วิวสวยดี สภาพแวดล้อมก็ดี

ถือว่าเป็นตึกที่ดีในระดับหนึ่งของเมืองชิงหยูน บ้านชุด1ราคาประมาณ 2ล้านหยวน

นี่เหมาะกับมาตรฐานในใจของหลินอิ่งมาก ไม่ดูโอ้อวดเกินไป แต่ก็อยู่สบายดี

ภายใต้การนำทางของพนักงานขายของบริษัท หลินอิ่งได้มาดูที่ห้องห้องชั้นที่12ข้องตึก1ตึก การตกแต่งสวยดี เป็นแนวโบราณใช้

หลินอิ่งแค่มองๆ ก็รู้สึกพึงพอใจมาก

“ท่านครับ บ้านชุดนี้ราคา2ล้าน3แสนหยวน ท่านต้องการไหมครับ?”พนักงานขายเริ่มแสดงสีหน้ารำคาญออกมา พูดอย่างไม่ใส่ใจ แม่แต่คำแนะนำขายก็ไม่มี เพราะเป็นงานเท่านั้น ถึงทำสีหน้าดีๆกับหลินอิ่ง

แต่เขามองว่า การแต่งกายของหลินอิ่ง ตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่มีชิ้นไหนที่ราคาเกิน300หยวน ขนาดมาดูบ้าน เขาก็เป็นคนขับรถJettaส่งเขามา รถก็ไม่มี

พนักงานชายส่ายหัวในใจ ไม่รู้ว่าคนคนนี้คิดยังไงกันแน่ จนขนาดนี้ยังอยากจะซื้อบ้านอีก

สงสัยแม้แต่เงินดาวน์ยังไม่มีจ่าย

ตู้ด!

ทันให้นั้น โทรศัพท์ของหลินอิ่งก็ดังขึ้น ทางโทรศัพท์มีเสียงจางฉีโม่ที่เร่งรีบดังขึ้นมา

“หลินอิ่ง นายรีบมาที่บริษัทเร็ว งานKing of the worldถูกขโมยไปแล้ว”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท