ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 32 มีชื่อเสียงในวงการจิวเวลรี่

บทที่ 32 มีชื่อเสียงในวงการจิวเวลรี่

บทที่ 32 มีชื่อเสียงในวงการจิวเวลรี่

ค้อนนี้ไม่เพียงทำลายแสงนิรันดร์ แต่ยังทำลายหน้าของซูนเหิงและภรรยาของเขาด้วย!

เห็นได้ชัดว่าการประมูลของ 9527 เพื่อแสงนิรันดร์คือการทุ่ม 50 ล้านใส่บนใบหน้าของจางจี้หนิงภรรยาของเขา จนใบหน้าบวมช้ำ

ในสถานที่มีเสียงถอนหายใจ เฮ้อ และเซอร์ไพรส์ในสถานที่จัดงานทั้งหมดยุ่งเหยิงไปหมด

ใบหน้าของซูนเหิงและจางจี้หนิงแดงระเรื่อจนเหมือนตับหมูพวกเขาโกรธและรำคาญมาก

นี่เป็นความอัปยศอดสูอย่างมาก!

ต่อหน้านักข่าวและสื่อมากมายเสียชื่อเสียงหมดแล้ว! ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ จะมีรายงานที่เกี่ยวข้องอีกนับไม่ถ้วน ซึ่งจะกลายเป็นข่าวพาดหัวของ เมืองชิงหยูน…

มันคือใคร! “ซูนเหิงกำหมัดแน่น ดวงตาของเขาแดงก่ำ เต็มไปด้วยความโกรธเขาใช้สายตาสแกนผู้คนที่อยู่ในงาน

เขามองไปที่จางฉีโม่และหลินอิ่งด้วยความสงสัย

คนที่น่าจะทำสิ่งนี้มากที่สุดคือหลินอิ่ง และจางฉีโม่

แต่ว่า เขาทั้งสองจะมีเงินมากมายขนาดนั้นได้ยังไง? อย่าว่าแต่หนึ่งร้อยห้าสิบล้านเลย หนึ่งล้านเขาทั้งสองก็ควักออกมาไม่ได้

เป็นไปไม่ได้!

ซูนเหิงปฏิเสธความคิดนี้ทันที

“คนที่ฉันไปมีปัญหาด้วยเหรอ?

เจ้าสี่ในบ้านเหรอ? คนของตระกูลโจเหรอ?” ซูนเหิงโกรธเกินกว่าจะคิดอย่างใจเย็น เขากำลังคาดเดาอย่างบ้าคลั่ง ก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดีว่าใครคือผู้ใช้ลึกลับ9527

“ช่างมันเถอะ! เรากลับไปก่อน! แล้วค่อยตรวจสอบอีกทีว่าเป็นใคร!”

จางจี้หนิงโกรธจนใบหน้าของเธอแสบร้อนราวกับโดนเข็มแทง และเธอดึงซูนเหิงออกจากห้องโถงนิทรรศการโดยไม่ต้องการอยู่นานกว่านี้

อยู่ที่นี่ทุกนาที สำหรับเธอแล้วมันเท่ากับยิ่งอับอายอีกหนึ่งนาที!

“ทุกคนการประมูลสิ้นสุดลงแล้ว ต่อไป ขอปรบมือต้อนรับการเปิดตัวครั้งยิ่งใหญ่ของนักออกแบบKing of the worldเครื่องประดับที่ดีที่สุด นักออกแบบ คุณจางฉีโม่! เป็นการเปิดตัวครั้งยิ่งใหญ่”เจียงซวงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

แปะแปะแปะแปะ!

แขกและผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องประดับทุกคนปรบมือจากใจ และมีเสียงปรบมือต้อนรับจากผู้ชม!

จากมุมมองของมืออาชีพมือระดับจางฉีโม่ควรค่าแก่การเป็นนักออกแบบเครื่องประดับที่ดีที่สุดของนิทรรศการนี้!

สายตาของจางฉีโม่ตื่นเต้นและซาบซึ้งมาก

เธอดูขั้นตอนการประมูลแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังนั่งอยู่บนรถไฟเหาะ

ตอนแรกดูเหมือนว่ากำลังถูกซูนเหิงกดราคา เมื่อสถานการณ์พลิกผัน เธอไม่มีเวลาคิดเรื่องใด ๆ ในใจเธอมีเพียงความคิดเดียว เธอทำสำเร็จแล้ว!

นี่คือฉากที่เธอใฝ่ฝันมาโดยตลอด ภายใต้สายตาของทุกคน ต่อหน้านักข่าวสื่อมวลชน ผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องประดับ เธอได้แนะนำผลงานที่น่าภาคภูมิใจของตัวเอง!

“คาดไม่ถึงว่าจะมีคนเสนอราคา 100ล้านเพื่อประมูลKing of the world”จางฉีโม่กล่าวอย่างตื่นเต้น

“King of the worldเป็นของล้ำค่าและไม่น่าแปลกใจที่เขาจะจ่ายเท่าไหร่”หลินอิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม “รีบขึ้นไปกล่าวสุนทรพจน์เถอะ”

“ค่ะ……” จางฉีโม่พยักหน้า

เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ปรับอารมณ์ของตัวเอง ใบหน้ายิ้มแย้ม แล้วเดินขึ้นบนเวที

“ทุกท่านครับ ท่านนี้ก็คือจางฉีโม่ ผู้อำนวยการจาง!” เจียงซวงแนะนำอย่างกระตือรือร้น “ลำดับต่อไป ขอเชิญผู้อำนวยการจางช่วยเล่าประสบการณ์การสร้างสรรค์ผลงานให้พวกเราได้ฟังหน่อยครับ!”

มีเสียงปรบมืออย่างกระตือรือร้นในสถานที่อีกครั้ง และผู้สื่อข่าวก็ลุมกันเก็บภาพอย่างรัวๆ

จางฉีโม่ยิ้ม ด้วยความมั่นใจ บนใบหน้าของเธอ ซึ่งทำให้ใบหน้าของเธอสดใสขึ้น และดวงตาของเธอก็เต็มไปด้วยความสุข

“นี่คือผู้สร้างผลงานKing of the world จางฉีโม่? ได้ยินมานานแล้วว่าตระกูลจางมีหญิงงามคนหนึ่ง ช่างสวยงามจริงๆ!”

“อัญมณีที่ออกแบบนั้นสวยงามมาก และคนก็สวยงามเช่นกัน มันหายากจริงๆ! ตระกูลจางมีผู้อัจฉริยะแล้ว!”

“ผลงานที่ออกแบบขายในราคาสูงเสียดฟ้าถึง 100 ล้าน ซึ่งจะสร้างความฮือฮาให้กับวงการจิวเวอรี่ในเมืองตุงไห่อย่างแน่นอน ผู้อำนวยการจางยังอายุน้อยและอนาคตของเขาก็ไร้ขีดจำกัด ! ”

เมื่อจางฉีโม่ขึ้นเวทีเธอก็ได้รับความสนใจเหมือนดารา แขกในงานและผู้เชี่ยวชาญต่างก็ชื่นชมเธอ

“ขอบคุณทุกคำชมค่ะ”จางฉีโม่กล่าวอย่างถ่อมตัว

“ผู้อำนวยการจาง ฉันเป็นนักข่าวจากหนังสือพิมพ์ชิงหยูน ฉันอยากถามคุณว่าคุณจะสร้างผลงานครั้งต่อไปเมื่อไหร่? ”

“ผู้อำนวยการจาง พวกเราบริษัทเครื่องประดับหลุงซานยินดีที่จะจองงานของคุณด้วยเงิน 20 ล้าน คุณพร้อมที่จะพูดคุยในรายละเอียดหรือไม่? ”

“ฉันเป็นตัวแทนจากบริษัทเครื่องประดับเทียนเหอ ผู้อำนวยการจางค่ะคุณจะตอบรับคำเชิญจากบริษัทของเรา ให้มาที่บริษัทของเราเพื่อกล่าวสุนทรพจน์ และสอนนักออกแบบเครื่องประดับของบริษัท เพื่อพัฒนาทักษะของพวกเขาหรือไม่? ”

ผู้คนในสถานที่ต่างกระตือรือร้นมาก จางฉีโม่ได้รับความสนใจอย่างอบอุ่น บริษัทเครื่องประดับต่างๆได้ส่งคำเชิญมาให้เธอ

หลินอิ่งมองไปที่จางฉีโม่ ที่อยู่บนเวทีด้วยรอยยิ้ม

ครั้งนี้ ฉีโม่จะบรรลุความปรารถนาของเธอ และมีชื่อเสียงในวงการอัญมณีอย่างแน่นอน

……

จางฉีโม่ขึ้นเวทีเพื่อกล่าวสุนทรพจน์ เธอแสดงออกอย่างใจเย็น กล่าวถึงเส้นทางสร้างสรรค์ผลงานของเธอเอง

ในตอนท้าย ได้รับเสียงปรบมืออย่างดัง แขกทุกคนต่างส่งการ์ดเชิญให้เธอ และสื่อมวลชนต่างถ่ายรูปเธอเพื่อเป็นที่ระลึก

นิทรรศการอัญมณีก็ได้จบลงอย่างสมบูรณ์แบบ……

ทั้งสองเดินลงไปชั้นล่างด้วยกัน จางฉีโม่ได้ให้คำปรึกษากับนักข่าวที่ชั้นล่างอาคาร และได้ให้สัมภาษณ์ความคิดของเขาเกี่ยวกับรางวัลที่ได้รับอย่างสุภาพ และยังได้พบปะพูดคุยกับโฆษกของสื่อหลักด้วย

นี่เป็นสิ่งที่จำเป็น วันพรุ่งนี้ หนังสือพิมพ์สื่อที่มีชื่อเสียงและนิตยสารที่มีอำนาจในอุตสาหกรรมเครื่องประดับในเมืองตุงไห่ จะรายงานข่าวในครั้งนี้ว่าผลงานของจางฉีโม่ King of the worldจะเป็นข่าวพาดหัวของสำนักพิมพ์!

หลินอิ่งพาอู่เจิ้งไปที่ลานจอดรถใต้ดิน ขับรถออกไป แล้วไปยืนพิงที่ข้างถนนเพื่อรอจางฉีโม่

“ประธานหลินครับ งานที่คุณสั่งเรียบร้อยแล้ว นี่คือสิ่งที่คุณต้องการให้ผมทำ ” อู่เจิ้งกล่าวอย่างจริงจัง และยื่นกล่องคริสตัลให้

หลินอิ่งพยักหน้าแล้วยิ้ม เขารับกล่องคริสตัลมา แล้วใส่เข้าไปในกระเป๋ากางเกง

King of the worldชิ้นนี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเขาและฉีโม่ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เขาจะสวมให้ฉีโม่ด้วยตัวเอง …

ตราบใดที่มันสามารถทำให้ฉีโม่ ยิ้มได้ เงินเท่าไหร่ก็เป็นเรื่องเล็กน้อย เงินทองสำหรับเขาแล้ว เป็นเพียงแค่สิ่งของที่มีสีขาวและสีเหลือง ไม่ใช่สิ่งที่เขาแสวงหา …

หลังจากกลายเป็นทายาทแก๊งมังกรอย่างเป็นทางการด้วยการรวมตัวจนแข็งแกร่งแล้ว ตนเองถึงได้ใช้สิ่งของที่อาจารย์ทิ้งไว้ บัญชีธนาคารสวิส ที่อาจารย์ทิ้งไว้มีเงินหนึ่งพันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ในฐานะผู้อาวุโสของตระกุลนิ่งแล้ว เขามีอำนาจมากจนไม่รู้ว่าจะระดมเงินทุนได้มากแค่ไหนในตระกุลนิ่ง …

“อู่เจิ้ง ทำได้ไม่เลวเลย” หลินอิ่งจุดบุหรี่ และยื่นให้อู่เจิ้งหนึ่งมวน “ครั้งนี้ฉันจะให้รางวัลนายหนึ่งแสนหยวน”

“ขอบคุณครับประธานหลิน” อู่เจิ้งรับบุหรี่มา และเริ่มสูบบุหรี่ เขาพูดอย่างเคร่งเครียด “ประธานหลินครับ ไม่มีรางวัลใด ๆ สำหรับงานในครั้งนี้ นี่คือสิ่งที่ผมควรทำภายในขอบเขตงานของผม ผมไม่สามารถรับรางวัลจากคุณได้ครับ ”

“ผมจะไม่เอาเปรียบต่อคนที่ทำงานแทนผม ” หลินอิ่งกล่าวอย่างเฉยเมยโดยได้โอนเงินหนึ่งแสนหยวนไปยังบัญชีของอู่เจิ้งเรียบร้อยแล้ว

“นี่คือ……” สายตาของอู่เจิ้งมีความลังเลเล็กน้อย แต่สายตาก็ปิดบังความตื่นเต้นไม่มิด เขาคิดในใจว่ารับใช้เจ้านายถูกคนแล้ว!

แค่ลงมือทำงานเล็กๆน้อยๆ ก็สามารถมีเงินเท่ากับเงินเดือนที่ต้องทนเหนื่อยทำงานทั้งปีแล้ว!

“ประธานหลิน เรื่องนี้คุณจะไม่ให้ผู้อำนวยการจางรับรู้เลย เป็นการถ่อมตัวมากไปแล้วครับ” อู่เจิ้งพูดอย่างจริงจัง

อู่เจิ้ง รู้ว่าประธานหลินมีเบื้องลึกเบื้องหลัง แม้แต่ประธานอูยังต้องปรึกษางานกับประธานหลิน แต่วันนี้ได้ประมูลเครื่องประดับราคา150ล้านกับมือ ถึงรู้สึกถึงความน่ากลัวและทรงอำนาจของประธานหลิน!

ยิ่งไปกว่านั้น เขาชื่นชมความกล้าหาญของประธานหลิน เพื่อการแก้แค้นให้ภรรยา 50ล้านเขาบอกว่าทุบทิ้งก็ทุบทิ้งเลยทันที อย่างไม่ลังเล เป็นแบบอย่างของผู้ชายที่ดี มีแนวโน้มเป็นที่โจษขานทั่วเมือง

ด้วยความสามารถของคุณ ไม่จำเป็นต้องเก็บเงียบแบบนี้นี่ครับ ” อู่เจิ้งอดไม่ได้ที่จะพูดอย่างสงสัย

หลินอิ่งพูดอย่างเฉยเมยว่า “ข้าคือราชา ทำไมต้องเปิดเผย”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท