ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 51 ปฏิเสธ

บทที่ 51 ปฏิเสธ

บทที่ 51 ปฏิเสธ

“ฉีโม่บอกแล้วว่าไม่รับของขวัญ คุณจะบังคับเธอเหรอ?” หลินอิ่งพูดขึ้นเย็นชา มองจางหงอี้ด้วยสีหน้าเย็นชา

ถ้าฉีโม่ยินดีรับของขวัญไว้เอง เขาก็ไม่ต้องพูดอะไร ไม่มีวันขัดขวาง

แต่ เขาไม่ยอมให้ใครไปบังคับฉีโม่เด็ดขาด

“เกินไปแล้ว กล้ามาเถียงฉัน” จางหงอี้โกรธมาก จ้องหน้าหลินอิ่ง “นายว่าฉีโม่ไม่อยากได้ก็ไม่อยากได้รึไง? ก็เพราะไอ้ขยะอย่างแกคอยก่อกวน เห็นคนอื่นเขาดีไม่ได้? ฉันว่าแกนี่มันเลวสุด ๆ เลยนะ”

“ใช่ ไอ้ขยะอย่างแกนึกว่าตัวเองเป็นสามีของฉีโม่เหรอ? ขนาดน้ารองของฉีโม่ยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ ไม่ใช่ธุระของแกที่จะมาพูดอะไรตรงนี้?” ฉินเฟยช่วยพูดอีกแรง จ้องตาหลินอิ่ง

“คนแบบนี้น่าขยะแขยง เห็นอยู่ว่าอิจฉาพี่หวาง ถ้ามีปัญญาก็ซื้อของให้เมียตัวเองซิ อย่ามาห้ามคนให้ของขวัญ” อูฉู่เวินพูดเสียดสีขึ้นมา

“ของขวัญพวกนี้มันแพงมากเหรอ?” หลินอิ่งถามขึ้นเสียงเรียบ

“ฮาฮา ตลกตายเลย บ้านนอกชัด ๆ ไม่รู้ใช่ไหมว่าของพวกนี้มันแพงขนาดไหน มันคงนึกว่าเป็นของไม่กี่ร้อย” อูฉู่เวินหัวเราะเยาะไม่ไว้หน้า

“หลินอิ่ง ของขวัญชิ้นนี้ของจื่อเหวินให้ด้วยความจริงใจ เงินตั้งหลายล้าน นายทำงานทั้งชาติก็หาเงินเยอะขนาดนี้ไม่ได้ รู้ไหม? ถึงตอนนี้แล้วนายยังไม่เจียมตัวอีกเหรอ?” จางหงอี้ยิ้มหน้าเย็นชาพูดขึ้น “ฉีโม่จะเข้าสู่สังคมไฮโซในเมืองชิงหยูน นายกับเธอมันต่างกันราวฟ้ากับดิน ยังกล้าคิดว่าตระกูลจางจะเก็บน่าตัวเมียอย่างนายไว้เหรอ?”

“ผู้ช่วยหลิน นี่เป็นแค่ของขวัญเล็ก ๆ ที่ผมให้ฉีโม่เท่านั้น หรือว่า ผู้ชายแท้ ๆ อย่างคุณจะไม่รับน้ำใจไว้เลยหรือ?” หวางจื่อเหวินพูดขึ้นยิ้มเฉื่อย ๆ “หรือว่า เป็นเพราะความไร้น้ำยาอย่างคุณ รับไม่ได้กับเรื่องแค่นี้?”

“หลินอิ่งมองหน้าหวางจื่อเหวิน ยิ้มขึ้น พูดว่า “รับไม่ได้? ไม่ ๆ ๆ สิ่งที่ผมอยากพูดคือ ของพวกนี้มันไม่อยู่ในสายตาฉีโม่หรอก”

“เหอะ ผู้ช่วยหลิน ผมอยากรู้นัก ไม่อยู่ในสายตานี่มันหมายความว่าอย่างไง?” หวางจื่อเหวินทนความโกรธไว้ไม่ได้ สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด “คุณกล้าพูดเหรอว่านี่คือความหมายของฉีโม่?”

นี่มันไม่ไว้หน้าเขาชัด ๆ ไม่ใช่เหรอ?

ข้างหน้าก็จัดฉากอย่างดี ของขวัญก็เอามาแล้ว แต่กลับบอกว่าไม่อยู่ในสายตา? แล้วจะให้เขาเอาหน้าไปไว้ไหน?

เขาเป็นถึงลูกขายตระกูลผู้ดีอย่างตระกูลหวางในเมืองชิงหยูน ออกมือก็ให้ของขวัญราคาหลายล้าน แต่กลับบอกว่าไม่อยู่ในสายตา?

เมืองชิงหยูนจะมีสักกี่คนที่กล้าไม่ไว้หน้าเขาแบบนี้

แม้แต่จางหงซวนกับจางหงจูนของตระกูลจางอยู่ต่อหน้าเขา ยังไม่กล้าอวดดีขนาดนี้?

“ถ้าอย่างนั้นพวกคุณก็ถามฉีโม่เอง ยินดีรับของขวัญของคุณหวางจื่อเหวินไหม” หลินอิ่งพูดขึ้นเสียงเรียบ

สายตาหวางจื่อเหวินมองไปที่หลินอิ่งอย่างเย็นชา จากนั้นก็ยิ้มขึ้น ถามจางฉีโม่อย่างมีมารยาท

“ฉีโม่ ผมว่า คุณคงไม่ปฏิเสธน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ของผมหรอกนะ?” หวางจื่อเหวินถามขึ้นด้วยสีหน้าอ่อนโยน

“ใช่ ฉีโม่เธอไม่ต้องไว้หน้าไอ้ขยะนั่น ชอบก็รับไว้เลย” ฉินเฟยช่วยพูดขึ้นอีกแรง

“ฉีโม่ ถ้าไอ้ขยะนั่นไม่พอใจ เธอก็พูดกับเราหรือพี่หวางเลย รับรองมันไม่กล้าแม้แต่ผายลม” เสิ่นห้าวพูดขึ้นอย่างมั่นใจ

“รับไว้ ฉีโม่ เธออย่าทำให้ตัวเองต้องขายหน้าเพราะไอ้หน้าตัวเมียนั่น อะไรไม่อยู่ในสายตา? นี่มันย่ำยีศักดิ์ศรีของตระกูลหวาง? อย่าทำให้คนอื่นเขาหัวเราะเยาะ” จางหงอี้พูดขึ้นเสียงเครียด

คนที่อยู่ในเหตุการณ์ ล้วนรอคำพูดของจางฉีโม่

หวางจื่อเหวินสีหน้าเต็มไปด้วยความหวัง รอคำขอบคุณจากจางฉีโม่

พูดถึงขั้นนี้แล้ว และก็ขึ้นอยู่กับการไว้หน้าของทั้งสองฝั่งแล้ว

ขอแค่จางฉีโม่รับของขวัญไว้ แบบนี้แล้ว คำพูดที่หลินอิ่งพูดก่อนหน้านี้ก็เหมือนตบหน้าตัวเอง เรื่องนี้พูดออกไป ลูกเขยไร้น้ำยาของตระกูลจางก็ยิ่งกลายเป็นตัวตลกไปอีก

อีกอย่าง หวางจื่อเหวินมีความเชื่อมั่น เขาไม่เชื่อว่าจางฉีโม่จะปฏิเสธความหวังดีของเขา เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่ไว้หน้าเขาเพื่อหลินอิ่ง?

ฐานะตระกูลร่ำรวยอย่างตระกูลหวาง ให้ของขวัญระดับนี้ เมื่อเทียบกับคนไร้น้ำยาอย่างหลินอิ่ง มันเทียบกันไม่ได้เลย

จางฉีโม่ก็โดนพูดจนรู้สึกอึดอัด ถอนหายใจ พูดขึ้นหน้าเรียบ “คุณชายหวาง น้ำใจคุณฉันรับไว้ แต่สำหรับของขวัญฉันรับไม่ได้ค่ะ”

เมื่อคำพูดนี้ออกมา สีหน้าทุกคนเปลี่ยนไปทันที

นี่มัน? ชั่งไม่รู้สึกสำนึกเลย? คุณชายตระกูลผู้ดีอย่างหวางจื่อเหวินโยนทองให้แบบนี้ เธอกลับไม่รับ? ยังเห็นดีกับคำพูดของไอ้ขยะนั่นอีก? ไม่อยู่ในสายตา?

หวางจื่อเหวินอึ้งไปทันที เหมือนโดนฟ้าผ่า รู้สึกใบหน้าร้อนแดงขึ้น ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ถามขึ้นว่า “เพราะอะไร?”

ตัวเองพูดจาอย่างดี ส่งของขวัญให้เธอ เธอกลับไม่เห็นมันอยู่ในสายตา ไม่รับ? นี่ถ้าข่าวลือออกไป จะขายหน้าขนาดไหน?

“ไม่เพราะอะไร” จางฉีโม่ส่ายหัวตอบ นี่มันเป็นหลักการของเธอเอง

“ฉีโม่ เพราะไอ้ขยะนี่มันข่มขู่คุณใช่ไหม?” หวางจื่อเหวินถามขึ้นอย่างมีอารมณ์​ รู้สึกขายหน้ามาก ต้องกู้สถานการณ์กลับมาให้ได้ “คุณมีอะไรอยู่ในมือมัน? คุณพูดซิ ผมช่วยคุณเอง ถ้าคุณเกลียดมัน ผมให้มันออกจากเมืองชิงหยูนเดี๋ยวนี้ ไม่ให้มันกลับมาที่นี่อีก”

“คุณชายหวาง นี่เป็นเรื่องของฉันเอง ฉันรู้สึกว่า คุณจะฝืนเกินไปไหมคะ” จางฉีโม่พูดขึ้นเสียงเรียบ น้ำเสียงเริ่มไม่เกรงใจ

คนที่อยู่ในเหตุการณ์รู้สึกไม่น่าเชื่อ คิดเหตุผลไม่ออก จางฉีโม่กล้าผิดใจหวางจื่อเหวินคนที่ดีกับเธอขนาดนี้ จริงใจขนาดนี้ และยังเพียบพร้อมทุกอย่าง เพราะคนไร้น้ำยาอย่างหลินอิ่ง

อีกอย่าง หวางจื่อเหวินยังเป็นลูกชายตระกูลดังในเมืองชิงหยูนอีกด้วย?

หรือว่าจางฉีโม่จะยอมปล่อยโอกาสครั้งหนึ่งที่จะได้เข้าตระกูลไฮโซอย่างตระกูลหวาง? จะอยู่กับคนไร้น้ำยาอย่างหลินอิ่ง?

“ ฉีโม่ เธอนี่พูดตลกแล้ว” เมื่อเห็นสถานการณ์ไม่ดี จางหงอี้ก็รีบลุกขึ้นพูด สีหน้าผิดหวัง “น้ารองหาโอกาสให้เธอในการรู้จักผู้คน เธอกลับไม่ไว้หน้าน้ารองเลย และยังไม่ไว้หน้าตระกูลหวางอีก?”

“คำพูดของคนไร้น้ำยาอย่างหลินอิ่งเธอก็ฟัง? เธอฟังเขา หรือจะฟังน้ารอง? เธอไม่เคารพน้ารองแล้วใช่ไหม?” จางหงอี้พูดขึ้นเสียงแข็งในฐานะผู้อวุโส

“น้ารอง หนูไม่ได้ไม่เคารพ หนู……” จางฉีโม่สีหน้าหนักใจ ไม่รู้ควรพูดอะไรดี

ถ้าเป็นเมื่อก่อน เธออาจจะฟังน้ารอง รับของขวัญจากหวางจื่อเหวินในฐานะเพื่อนก็ไม่ได้เป็นอะไร

แต่ช่วงที่ผ่านมาเธอกับหลินอิ่งร่วมกันออกแบบKing of the world และผ่านอะไรหลาย ๆ เรื่องร่วมกันมา ถึงแม้เธอจะไม่พอใจในฐานะของหลินอิ่ง แต่ในใจก็ไม่อยากให้ หลินอิ่งวางตัวลำบาก ยังไงแล้วเขาก็เป็นสามีของเธอ

“ดีใจซินะหลินอิ่ง แกนี่มันน่าตัวเมียที่เก่งกาจจริงนะ” จางหงอี้เปิดปากด่าหลินอิ่งขึ้นมา “ไม่มีเงิน ไม่มีความสามารถ ยังเอาฉีโม่อยู่หมัดได้ ไม่รู้ว่าแกให้เธอกินยาอะไร แกนี่มันไร้กาจจริง ๆ สักวันฉันจะถีบแกออกจากประตูตระกูลจาง”

พูดจบ จางหงอี้มองไปที่จางฉีโม่ พูดขึ้นจริงจัง “ฉีโม่ ของขวัญของจื่อเหวินฉันรับแทนเธอแล้วกัน ฉันจะเอาไปให้พ่อแม่เธอ ของขวัญของตระกูลหวาง ไม่เคยมีคนกล้าปฏิเสธ”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท