ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 46 ถนนโบราณของเมืองเป่ย

บทที่ 46 ถนนโบราณของเมืองเป่ย

บทที่ 46 ถนนโบราณของเมืองเป่ย

“กับผมยังต้องคิดเล็กคิดน้อยกันขนาดนี้เลยเหรอ?”หลินอิ่งพูดยิ้มๆ

“สองปีนี้ที่ผมเข้ามาอยู่ในตระกูลจาง คุณได้รับความไม่ยุติธรรมและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่สมควรจะได้รับอย่างมากมาย ในตอนนี้เรื่องพวกนี้ก็เป็นสิ่งที่ผมควรจะทำแล้วล่ะ”หลินอิ่งพูดขึ้น

“มันคนละเรื่องกัน”จางฉีโม่พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง“ทุกคนต่างก็หาเงินมาด้วยความยากลำบากทั้งนั้น แถมฉันก็ไม่เคยคิดว่าจะเอาชีวิตไปฝากไว้ที่ใครด้วย”

หลินอิ่งครุ่นคิด ก่อนพูดขึ้น“ตอนนี้หน้าที่การงานของคุณกำลังพัฒนา มีหลายอย่างที่จำเป็นจะต้องใช้เงิน ต้องใช้ให้ถูกจุดจะได้เกิดประโยชน์สูงสุด รอคุณหาเงินได้มากๆก่อน แล้วค่อยคืนให้ผมก็ยังไม่สาย”

“หรือไม่ก็ ผมทำงานกับคุณ หน้าที่การงานของคุณยิ่งสูงขึ้น ผมก็ยิ่งได้ผลประโยชน์มากขึ้น”

จางฉีโม่มองเขาด้วยสีหน้าสงสัย พร้อมกับพูดขึ้น“ถ้าอย่างนั้น เงินที่ซื้อบ้าน เป็นเงินส่วนตัวของคุณ? หรือว่า เป็นเงินที่คุณหาได้จากบริษัท?”

หลินอิ่งพูดยิ้มๆ“ผมมีลู่ทางก็แล้วกัน วางใจเถอะ เป็นเงินที่หามาด้วยความสุจริต”

จางฉีโม่ไม่ได้พูดอะไรต่อ ในใจคิดว่าหลินอิ่งจะต้องมีลู่ทางอื่นอย่างแน่นอน ถึงยังไงเธอกับหลินอิ่งแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ถามถึงสภาพการเงินของกันและกันอยู่แล้ว แล้วก็ไม่ได้จะไปเซ้าซี้ถามด้วย

ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกันอยู่นั้น อู่เจิ้งก็ขับรถมาถึงบริเวณจุดที่คึกคักวุ่นวายย่านใจกลางเมืองเป่ย จากนั้นก็เลี้ยวเข้าไปยังตรอกถนนที่มีกลิ่นอายโบราณ ก่อนจะจอดรถ

ถนนที่ตกแต่งให้ดูโบราณสายนี้ ดูดีมีสไตล์ รถที่จอดริมถนนก็ล้วนเป็นรถหรูยี่ห้อดัง

แถบบริเวณนั้นก็มีแต่ตึกสูงสิบๆชั้น มีถนนโบราณสายหนึ่งตั้งอยู่ใจกลาง ดูมีสไตล์สุดๆ

นี่เป็นถนนสายโบราณที่มีชื่อเสียงของเมืองชิงหยูนสายหนึ่ง

ทั้งสองลงจากรถ แล้วเดินเข้าไปยังถนนโบราณ

ภายในถนนสายนี้ สองข้างทางล้วนเป็นร้านค้าต่างๆที่ตกแต่งสวยงามเก๋ไก๋ ให้กลิ่นอายโบราณ ถนนทั้งสาย ไม่มีร้านแผงลอยที่ตั้งอยู่ริมถนนแม้แต่ร้านเดียว แสดงถึงความสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบเรียบร้อย

ร้านค้าที่นี่ ขายพวกจิวเวลรี่อัญมณี เครื่องลายคราม ของโบราณต่างๆ เรียกได้ว่ามีทุกอย่างที่ควรจะมี

หลินอิ่งก็รู้ดีว่า ถนนสายนี้ไม่ใช่ที่ที่พวกตลาดของสะสมจะมาเปรียบเทียบได้

โดยเฉพาะที่ที่ตั้งอยู่ตรงส่วนที่คึกคักทำเลทองแบบนี้ การจะเปิดร้านสักร้านหนึ่งต้องใช้เงินทุนและเส้นสายมากมาย

ประมาณว่าทุกๆร้านในนี้ เบื้องหลังล้วนแต่เป็นมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สินอยู่ไม่น้อย

แถมถนนโบราณของเมืองเป่ยชื่อเสียงโด่งดังสุดๆ เป็นถนนสำหรับขายโบราณวัตถุโดยเฉพาะของเมืองชิงหยูน เหล่ามหาเศรษฐีที่มีชื่อเสียงของวงการของโบราณวัตถุในเมืองชิงหยูนก็ชอบมาคลุกคลีอยู่ในที่แห่งนี้

หลินอิ่งกับจางฉีโม่เดินไปสักพัก ก็มาถึงข้างล่างของตึกสามชั้นแห่งหนึ่ง เป็นร้านใหญ่ที่มีกลิ่นอายโบราณร้านหนึ่ง ตกแต่งด้วยไม้และกระเบื้องสีแดง ตรงหน้าประตูยังมีหญิงสาวหน้าตางดงามสวมใส่ชุดกี่เพ้าสองคนคอยยืนต้อนรับ

ป้ายพื้นหลังสีดำตัวอักษรสีทองหมิงเป่าซวน

หลินอิ่งก็สังเกตว่าแถวบริเวณของหมิงเป่าซวนมีรถหรูซุปเปอร์คาร์จอดอยู่ ดึงดูดสายตาคนไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าคนที่มาที่นี่มีแต่แขกคนพิเศษทั้งนั้น

“ฉีโม่ หลานมาแล้วเหรอ? ป้ากำลังจะโทรหาหลานพอดีเลย”

ในตอนนี้ มีน้ำเสียงที่น่าฟังของผู้หญิงดังขึ้นมาไม่ไกลมากนัก

มองเห็น ไม่ใกล้ไม่ไกล มีชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่งกำลังลงมาจากรถบ้านสุดหรู

ชายหญิงวัยกลางคนคู่นี้แต่งกายไม่เหมือนคนทั่วๆไป ผู้ชายรูปร่างกำยำ ดูดีมีสไตล์ ดูเป็นคนที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง

ส่วนหญิงวัยกลางคนแต่งกายดูมีคลาส ชุดกระโปรงยาวสีดำ ใบหน้าดูสวยมีเสน่ห์ ที่มือใส่เครื่องประดับสีทอง

“น้ารอง น้าเขย”จางฉีโม่กล่าวทักทายอย่างมีมารยาท

หลินอิ่งก็เป็นครั้งแรกที่เห็นน้ารองและน้าเขยรองของฉีโม่ ไม่เคยรู้จักกัน จึงไม่ได้พูดคุยอะไร

แต่ว่าเมื่อก่อนเขาเคยไปศึกษามาแล้วน้าเขยรองของฉีโม่มีชื่อว่าหวางโจง เป็นคนในแวดวงตระกูลชั้นสูงของเมืองชิงหยูน ภูมิหลังไม่ใช่คนปกติทั่วไป เป็นบุคคลที่มีอิทธิพลของตระกูลหวางตระกูลชั้นสูงของเมืองชิงหยูน

หวางโจงก็มีหน้าที่การงานที่เกี่ยวกับโบราณวัตถุ ถือได้ว่าเป็นมาเฟียแห่งวงการโบราณวัตถุ แถมมีเส้นสายอยู่ในหลายๆแห่ง ความสามารถมีไม่น้อย

ตอนที่ท่านจางเพิ่งจะเสียชีวิตไปได้ปีกว่าๆ หลินอิ่งได้ยินมาว่า ตอนที่น้ารองของฉีโม่กับเจ้าใหญ่ จางหงจูน มีความขัดแย้งกันเรื่องมรดก คิดไม่ถึงว่าจะขอให้มีส่วนในการถือหุ้นของจางซื่อกรุ๊ป ไม่อย่างนั้นก็จะเอาเงินก้อนหนึ่งให้กับเธอแทน

การที่ลูกสาวแต่งงานออกเรือนแล้วไปขนาดนี้แล้วไปแบ่งมรดกกับทางบ้านของพ่อแม่ฝ่ายหญิง เรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลแบบนี้ หวางโจงออกหน้ามาจัดการด้วยตัวเอง คิดไม่ถึงว่าจะสามารถบังคับให้จางหงจูนกับจางหงซวนยอมก้มหัวลง และเอาเงินก้อนหนึ่งให้กับจางหงอี้ ทำให้เห็นได้ว่า กำลังความสามารถของคนคนนี้มันไม่ธรรมดา

“ฉีโม่ ไม่ได้เจอเด็กคนนี้มาหลายปีแล้วนะเนี่ย กลับยิ่งโตยิ่งสวยขึ้นเรื่อยๆ”หวางโจงพูดขึ้นยิ้มๆด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ

“นั่นน่ะสิ ฉีโม่เด็กคนนี้ตอนเด็กๆก็หน้าตาสวย น่ารักน่าเอ็นดูคนในตระกูลต่างรักใคร่ แถมสองสามปีก่อนหน้านี้ก็เป็นสาวสวยที่มีชื่อเสียงของเมืองชิงหยูนด้วย”จางหงอี้พูดยิ้มๆ

“น้ารองพูดชมเกินไปแล้วล่ะค่ะ”จางฉีโม่พูดตอบกลับอย่างถ่อมเนื้อถ่อมตัว

หวางโจงชำเลืองตาไปมองหลินอิ่งที่อยู่ข้างๆจางฉีโม่ ไร้ซึ่งสีหน้าใดๆ แววตากลับดูถูกดูแคลนอย่างไม่มีปิดบังเลยสักนิด

“นายก็คือหลินอิ่ง ใช่ไหม?”หวางโจงพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ

“ครับ”หลินอิ่งพยักหน้า

“ก็พอไปวัดไปวาได้”หวางโจงพูดขึ้นอย่างหยิ่งยโส“แต่ว่า ลูกผู้ชายจะต้องมีงานการที่มั่นคง นายยังไม่มีคุณสมบัติที่คู่ควรกับฉีโม่”

“ฉันขึ้นไปก่อน คุณกับฉีโม่ก็คุยธุระกันต่อสักหน่อยสิ”หวางโจงพูดกับจางหงอี้ไปหนึ่งประโยคด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ก่อนจะเดินเข้าไปหมิงเป่าซวน

จางหงอี้ไอแห้งๆสองที ก่อนจะมองไปที่หลินอิ่งไม่ได้มองด้วยเจตนาที่ดี

“ฉีโม่เอ๋ย จริงๆป้าก็ไม่ได้ชอบที่หลานพาตัวภาระนี่ไปไหนมาไหนด้วยหรอกนะ แต่พอได้ยินที่แม่ของหลานบอกแล้ว ก็ให้ไอ้เด็กคนนี้ได้เปิดโลดูบ้างก็ดีเหมือนกัน ให้เขาได้รู้ว่าตัวเองว่าอยู่ระดับไหน”จางหงอี้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ

“น้ารองก็หวังดีกับหลาน จะแนะนำอะไรให้นะ รีบๆเฉดหัวผู้ชายที่ชอบมาเกาะผู้หญิงกินประเภทนี้ออกไปเสียที”จางหงอี้พูดขึ้นอย่างไม่เกรงใจสักนิด “หลานเป็นถึงดีไซน์เนอร์จิวเวลรี่ที่มีชื่อเสียงที่สุดของวงการจิวเวลรี่ในเมืองชิงหยูน แถมหลายปีมานี้ ต่อให้กวาดตามองทั้งวงการจิวเวลรี่ของเมืองตุงไห่ ก็หาคนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญที่อายุน้อยขนาดนี้แบบหลานไม่ได้หรอก”

จางหงอี้พูดขึ้น“ฉีโม่หลานวางใจได้ พ่อกับแม่ของหลานไว้ใจให้หลานมาอยู่กับป้าแล้ว ป้าจะทำให้หลานก้าวขึ้นไปอยู่ระดับแนวหน้าของเมืองชิงหยูนให้ได้แน่นอน เพียงแค่เชื่อฟังคำของน้ารอง น้ารองจะช่วยโปรโมทหลานอย่างดีเลย ขอแค่โฆษณาอีกนิดเดียว ในอนาคตผู้เชี่ยวชาญอัญมณีที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองตุงไห่ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหลานคนเดียวเท่านั้น!”

พอได้ยินคำพูดนี้ของจางหงอี้ หลินอิ่งก็แอบส่ายหัวในใจ

ชิ้นงานที่ฉีโม่ออกแบบราคาสูงถึงร้อยล้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนแรกตัวเองยังต้องคอยช่วยฉีโม่โปรโมทตามสื่อต่างๆ ตอนนี้ก็กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญเครื่องประดับที่มีชื่อเสียงไปแล้ว ยังต้องให้เธอมาคอยช่วยโฆษณาให้อีกเหรอ? จะทำไปเพื่ออะไร?

“ขอบคุณน้ารองที่เห็นดีเห็นงามกับหนูค่ะ”จางฉีโม่พูดขึ้นอย่างเกรงใจ

“เป็นคนตระกูลเดียวกัน ไม่ต้องเกรงใจกับน้ารองหรอก”จางหงอี้โบกๆมือ

พูดพลาง เธอก็มองมายังหลินอิ่งด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะพูดขึ้น“หลินอิ่งชื่อเสียงเรียงนามของแกฉันได้ยินมาก่อนแล้ว เศษสวะ แกมันก็เป็นแค่เรื่องตลกขำขันของตระกูลจางของพวกเรานั่นแหละ!ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณพ่อทำไมถึงเห็นแกอยู่ในสายตาตั้งแต่ตอนแรก แถมให้นแกเข้ามาในตระกูลจางแล้วถึงขั้นยกฉีโม่ให้กับแก?”

“เห้อ ตอนนี้ท่านก็จากไปแล้ว เจ้าใหญ่กับเจ้าสามก็อยู่ตำแหน่งรัฐมนตรีขั้นสูง ไม่ลงมาจัดการกับเรื่องนี้สักที” จางหงอี้พูดขึ้นเหมือนตนเองจะจัดการธุระของผู้นำตระกูลเอง“ตอนนี้ฉันคอยดูแลฉีโม่ ก็ต้องมาจัดการเรื่องนี้ให้มันจบๆไปซะ จะให้ฉีโม่มาพลอยถูกเอาเปรียบดูถูกดูแคลนกับเศษสวะแบบแกไม่ได้!”

จางหงอี้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเชิงสั่งสอน ดูเข้มงวดสุดๆ“ได้ยินมาว่าตอนนี้แกเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการให้กับฉีโม่ในจางซื่อกรุ๊ปใช่ไหม? เอาแบบนี้สิ อีกเดี๋ยวพอแกขึ้นไปข้างบน แกพูดได้แค่ว่าแกเป็นเพียงผู้ช่วยของฉีโม่ จากนั้น ก็ห้ามพูดกับคนอื่นเป็นอันขาด ว่าแกเป็นสามีของฉีโม่เข้าใจไหม?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท