บทที่ 46 ถนนโบราณของเมืองเป่ย
“กับผมยังต้องคิดเล็กคิดน้อยกันขนาดนี้เลยเหรอ?”หลินอิ่งพูดยิ้มๆ
“สองปีนี้ที่ผมเข้ามาอยู่ในตระกูลจาง คุณได้รับความไม่ยุติธรรมและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่สมควรจะได้รับอย่างมากมาย ในตอนนี้เรื่องพวกนี้ก็เป็นสิ่งที่ผมควรจะทำแล้วล่ะ”หลินอิ่งพูดขึ้น
“มันคนละเรื่องกัน”จางฉีโม่พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง“ทุกคนต่างก็หาเงินมาด้วยความยากลำบากทั้งนั้น แถมฉันก็ไม่เคยคิดว่าจะเอาชีวิตไปฝากไว้ที่ใครด้วย”
หลินอิ่งครุ่นคิด ก่อนพูดขึ้น“ตอนนี้หน้าที่การงานของคุณกำลังพัฒนา มีหลายอย่างที่จำเป็นจะต้องใช้เงิน ต้องใช้ให้ถูกจุดจะได้เกิดประโยชน์สูงสุด รอคุณหาเงินได้มากๆก่อน แล้วค่อยคืนให้ผมก็ยังไม่สาย”
“หรือไม่ก็ ผมทำงานกับคุณ หน้าที่การงานของคุณยิ่งสูงขึ้น ผมก็ยิ่งได้ผลประโยชน์มากขึ้น”
จางฉีโม่มองเขาด้วยสีหน้าสงสัย พร้อมกับพูดขึ้น“ถ้าอย่างนั้น เงินที่ซื้อบ้าน เป็นเงินส่วนตัวของคุณ? หรือว่า เป็นเงินที่คุณหาได้จากบริษัท?”
หลินอิ่งพูดยิ้มๆ“ผมมีลู่ทางก็แล้วกัน วางใจเถอะ เป็นเงินที่หามาด้วยความสุจริต”
จางฉีโม่ไม่ได้พูดอะไรต่อ ในใจคิดว่าหลินอิ่งจะต้องมีลู่ทางอื่นอย่างแน่นอน ถึงยังไงเธอกับหลินอิ่งแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ถามถึงสภาพการเงินของกันและกันอยู่แล้ว แล้วก็ไม่ได้จะไปเซ้าซี้ถามด้วย
ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกันอยู่นั้น อู่เจิ้งก็ขับรถมาถึงบริเวณจุดที่คึกคักวุ่นวายย่านใจกลางเมืองเป่ย จากนั้นก็เลี้ยวเข้าไปยังตรอกถนนที่มีกลิ่นอายโบราณ ก่อนจะจอดรถ
ถนนที่ตกแต่งให้ดูโบราณสายนี้ ดูดีมีสไตล์ รถที่จอดริมถนนก็ล้วนเป็นรถหรูยี่ห้อดัง
แถบบริเวณนั้นก็มีแต่ตึกสูงสิบๆชั้น มีถนนโบราณสายหนึ่งตั้งอยู่ใจกลาง ดูมีสไตล์สุดๆ
นี่เป็นถนนสายโบราณที่มีชื่อเสียงของเมืองชิงหยูนสายหนึ่ง
ทั้งสองลงจากรถ แล้วเดินเข้าไปยังถนนโบราณ
ภายในถนนสายนี้ สองข้างทางล้วนเป็นร้านค้าต่างๆที่ตกแต่งสวยงามเก๋ไก๋ ให้กลิ่นอายโบราณ ถนนทั้งสาย ไม่มีร้านแผงลอยที่ตั้งอยู่ริมถนนแม้แต่ร้านเดียว แสดงถึงความสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบเรียบร้อย
ร้านค้าที่นี่ ขายพวกจิวเวลรี่อัญมณี เครื่องลายคราม ของโบราณต่างๆ เรียกได้ว่ามีทุกอย่างที่ควรจะมี
หลินอิ่งก็รู้ดีว่า ถนนสายนี้ไม่ใช่ที่ที่พวกตลาดของสะสมจะมาเปรียบเทียบได้
โดยเฉพาะที่ที่ตั้งอยู่ตรงส่วนที่คึกคักทำเลทองแบบนี้ การจะเปิดร้านสักร้านหนึ่งต้องใช้เงินทุนและเส้นสายมากมาย
ประมาณว่าทุกๆร้านในนี้ เบื้องหลังล้วนแต่เป็นมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สินอยู่ไม่น้อย
แถมถนนโบราณของเมืองเป่ยชื่อเสียงโด่งดังสุดๆ เป็นถนนสำหรับขายโบราณวัตถุโดยเฉพาะของเมืองชิงหยูน เหล่ามหาเศรษฐีที่มีชื่อเสียงของวงการของโบราณวัตถุในเมืองชิงหยูนก็ชอบมาคลุกคลีอยู่ในที่แห่งนี้
หลินอิ่งกับจางฉีโม่เดินไปสักพัก ก็มาถึงข้างล่างของตึกสามชั้นแห่งหนึ่ง เป็นร้านใหญ่ที่มีกลิ่นอายโบราณร้านหนึ่ง ตกแต่งด้วยไม้และกระเบื้องสีแดง ตรงหน้าประตูยังมีหญิงสาวหน้าตางดงามสวมใส่ชุดกี่เพ้าสองคนคอยยืนต้อนรับ
ป้ายพื้นหลังสีดำตัวอักษรสีทองหมิงเป่าซวน
หลินอิ่งก็สังเกตว่าแถวบริเวณของหมิงเป่าซวนมีรถหรูซุปเปอร์คาร์จอดอยู่ ดึงดูดสายตาคนไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าคนที่มาที่นี่มีแต่แขกคนพิเศษทั้งนั้น
“ฉีโม่ หลานมาแล้วเหรอ? ป้ากำลังจะโทรหาหลานพอดีเลย”
ในตอนนี้ มีน้ำเสียงที่น่าฟังของผู้หญิงดังขึ้นมาไม่ไกลมากนัก
มองเห็น ไม่ใกล้ไม่ไกล มีชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่งกำลังลงมาจากรถบ้านสุดหรู
ชายหญิงวัยกลางคนคู่นี้แต่งกายไม่เหมือนคนทั่วๆไป ผู้ชายรูปร่างกำยำ ดูดีมีสไตล์ ดูเป็นคนที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง
ส่วนหญิงวัยกลางคนแต่งกายดูมีคลาส ชุดกระโปรงยาวสีดำ ใบหน้าดูสวยมีเสน่ห์ ที่มือใส่เครื่องประดับสีทอง
“น้ารอง น้าเขย”จางฉีโม่กล่าวทักทายอย่างมีมารยาท
หลินอิ่งก็เป็นครั้งแรกที่เห็นน้ารองและน้าเขยรองของฉีโม่ ไม่เคยรู้จักกัน จึงไม่ได้พูดคุยอะไร
แต่ว่าเมื่อก่อนเขาเคยไปศึกษามาแล้วน้าเขยรองของฉีโม่มีชื่อว่าหวางโจง เป็นคนในแวดวงตระกูลชั้นสูงของเมืองชิงหยูน ภูมิหลังไม่ใช่คนปกติทั่วไป เป็นบุคคลที่มีอิทธิพลของตระกูลหวางตระกูลชั้นสูงของเมืองชิงหยูน
หวางโจงก็มีหน้าที่การงานที่เกี่ยวกับโบราณวัตถุ ถือได้ว่าเป็นมาเฟียแห่งวงการโบราณวัตถุ แถมมีเส้นสายอยู่ในหลายๆแห่ง ความสามารถมีไม่น้อย
ตอนที่ท่านจางเพิ่งจะเสียชีวิตไปได้ปีกว่าๆ หลินอิ่งได้ยินมาว่า ตอนที่น้ารองของฉีโม่กับเจ้าใหญ่ จางหงจูน มีความขัดแย้งกันเรื่องมรดก คิดไม่ถึงว่าจะขอให้มีส่วนในการถือหุ้นของจางซื่อกรุ๊ป ไม่อย่างนั้นก็จะเอาเงินก้อนหนึ่งให้กับเธอแทน
การที่ลูกสาวแต่งงานออกเรือนแล้วไปขนาดนี้แล้วไปแบ่งมรดกกับทางบ้านของพ่อแม่ฝ่ายหญิง เรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลแบบนี้ หวางโจงออกหน้ามาจัดการด้วยตัวเอง คิดไม่ถึงว่าจะสามารถบังคับให้จางหงจูนกับจางหงซวนยอมก้มหัวลง และเอาเงินก้อนหนึ่งให้กับจางหงอี้ ทำให้เห็นได้ว่า กำลังความสามารถของคนคนนี้มันไม่ธรรมดา
“ฉีโม่ ไม่ได้เจอเด็กคนนี้มาหลายปีแล้วนะเนี่ย กลับยิ่งโตยิ่งสวยขึ้นเรื่อยๆ”หวางโจงพูดขึ้นยิ้มๆด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
“นั่นน่ะสิ ฉีโม่เด็กคนนี้ตอนเด็กๆก็หน้าตาสวย น่ารักน่าเอ็นดูคนในตระกูลต่างรักใคร่ แถมสองสามปีก่อนหน้านี้ก็เป็นสาวสวยที่มีชื่อเสียงของเมืองชิงหยูนด้วย”จางหงอี้พูดยิ้มๆ
“น้ารองพูดชมเกินไปแล้วล่ะค่ะ”จางฉีโม่พูดตอบกลับอย่างถ่อมเนื้อถ่อมตัว
หวางโจงชำเลืองตาไปมองหลินอิ่งที่อยู่ข้างๆจางฉีโม่ ไร้ซึ่งสีหน้าใดๆ แววตากลับดูถูกดูแคลนอย่างไม่มีปิดบังเลยสักนิด
“นายก็คือหลินอิ่ง ใช่ไหม?”หวางโจงพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ
“ครับ”หลินอิ่งพยักหน้า
“ก็พอไปวัดไปวาได้”หวางโจงพูดขึ้นอย่างหยิ่งยโส“แต่ว่า ลูกผู้ชายจะต้องมีงานการที่มั่นคง นายยังไม่มีคุณสมบัติที่คู่ควรกับฉีโม่”
“ฉันขึ้นไปก่อน คุณกับฉีโม่ก็คุยธุระกันต่อสักหน่อยสิ”หวางโจงพูดกับจางหงอี้ไปหนึ่งประโยคด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ก่อนจะเดินเข้าไปหมิงเป่าซวน
จางหงอี้ไอแห้งๆสองที ก่อนจะมองไปที่หลินอิ่งไม่ได้มองด้วยเจตนาที่ดี
“ฉีโม่เอ๋ย จริงๆป้าก็ไม่ได้ชอบที่หลานพาตัวภาระนี่ไปไหนมาไหนด้วยหรอกนะ แต่พอได้ยินที่แม่ของหลานบอกแล้ว ก็ให้ไอ้เด็กคนนี้ได้เปิดโลดูบ้างก็ดีเหมือนกัน ให้เขาได้รู้ว่าตัวเองว่าอยู่ระดับไหน”จางหงอี้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
“น้ารองก็หวังดีกับหลาน จะแนะนำอะไรให้นะ รีบๆเฉดหัวผู้ชายที่ชอบมาเกาะผู้หญิงกินประเภทนี้ออกไปเสียที”จางหงอี้พูดขึ้นอย่างไม่เกรงใจสักนิด “หลานเป็นถึงดีไซน์เนอร์จิวเวลรี่ที่มีชื่อเสียงที่สุดของวงการจิวเวลรี่ในเมืองชิงหยูน แถมหลายปีมานี้ ต่อให้กวาดตามองทั้งวงการจิวเวลรี่ของเมืองตุงไห่ ก็หาคนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญที่อายุน้อยขนาดนี้แบบหลานไม่ได้หรอก”
จางหงอี้พูดขึ้น“ฉีโม่หลานวางใจได้ พ่อกับแม่ของหลานไว้ใจให้หลานมาอยู่กับป้าแล้ว ป้าจะทำให้หลานก้าวขึ้นไปอยู่ระดับแนวหน้าของเมืองชิงหยูนให้ได้แน่นอน เพียงแค่เชื่อฟังคำของน้ารอง น้ารองจะช่วยโปรโมทหลานอย่างดีเลย ขอแค่โฆษณาอีกนิดเดียว ในอนาคตผู้เชี่ยวชาญอัญมณีที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองตุงไห่ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหลานคนเดียวเท่านั้น!”
พอได้ยินคำพูดนี้ของจางหงอี้ หลินอิ่งก็แอบส่ายหัวในใจ
ชิ้นงานที่ฉีโม่ออกแบบราคาสูงถึงร้อยล้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนแรกตัวเองยังต้องคอยช่วยฉีโม่โปรโมทตามสื่อต่างๆ ตอนนี้ก็กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญเครื่องประดับที่มีชื่อเสียงไปแล้ว ยังต้องให้เธอมาคอยช่วยโฆษณาให้อีกเหรอ? จะทำไปเพื่ออะไร?
“ขอบคุณน้ารองที่เห็นดีเห็นงามกับหนูค่ะ”จางฉีโม่พูดขึ้นอย่างเกรงใจ
“เป็นคนตระกูลเดียวกัน ไม่ต้องเกรงใจกับน้ารองหรอก”จางหงอี้โบกๆมือ
พูดพลาง เธอก็มองมายังหลินอิ่งด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะพูดขึ้น“หลินอิ่งชื่อเสียงเรียงนามของแกฉันได้ยินมาก่อนแล้ว เศษสวะ แกมันก็เป็นแค่เรื่องตลกขำขันของตระกูลจางของพวกเรานั่นแหละ!ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณพ่อทำไมถึงเห็นแกอยู่ในสายตาตั้งแต่ตอนแรก แถมให้นแกเข้ามาในตระกูลจางแล้วถึงขั้นยกฉีโม่ให้กับแก?”
“เห้อ ตอนนี้ท่านก็จากไปแล้ว เจ้าใหญ่กับเจ้าสามก็อยู่ตำแหน่งรัฐมนตรีขั้นสูง ไม่ลงมาจัดการกับเรื่องนี้สักที” จางหงอี้พูดขึ้นเหมือนตนเองจะจัดการธุระของผู้นำตระกูลเอง“ตอนนี้ฉันคอยดูแลฉีโม่ ก็ต้องมาจัดการเรื่องนี้ให้มันจบๆไปซะ จะให้ฉีโม่มาพลอยถูกเอาเปรียบดูถูกดูแคลนกับเศษสวะแบบแกไม่ได้!”
จางหงอี้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเชิงสั่งสอน ดูเข้มงวดสุดๆ“ได้ยินมาว่าตอนนี้แกเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการให้กับฉีโม่ในจางซื่อกรุ๊ปใช่ไหม? เอาแบบนี้สิ อีกเดี๋ยวพอแกขึ้นไปข้างบน แกพูดได้แค่ว่าแกเป็นเพียงผู้ช่วยของฉีโม่ จากนั้น ก็ห้ามพูดกับคนอื่นเป็นอันขาด ว่าแกเป็นสามีของฉีโม่เข้าใจไหม?”