ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 22 “หนู”ใต้ดิน

บทที่ 22 “หนู”ใต้ดิน

บทที่ 22 “หนู”ใต้ดิน

ยี่สิบนาทีต่อมา จางฉีโม่และหลินอิ่งก็กลับมาถึงชุมชนเจียงฉือ

เพียงแค่หลินอิ่งเดินเข้าประตู สองผู้อาวุโสในครอบครัวก็อดใจไม่ไหวลุกขึ้นจากโซฟาและไต่ถามขึ้นว่า

“หลินอิ่ง ฉีโม่ อัญมณีที่อยู่ในความรับผิดชอบถูกขโมยไปมันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมคุณไม่ดูให้ดี!”

สองผู้อาวุโสนี้ได้รับข่าวก่อนแล้ว เวลานี้ก็ร้อนใจเหมือนกับมดบนหม้อร้อน

ลูกสาวของตนเองมีโอกาสที่จะมีหน้ามีตาด้วยความยากลำบากขนาดนี้ ถ้าล้มเหลวเพราะเรื่องนี้ พวกเขาก็จะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต

“ไม่มีอะไร เป็นแค่เรื่องเล็กๆ” หลินอิ่งตอบกลับด้วยอารมณ์ที่สงบ

“ยังเป็นเรื่องเล็กอีกหรอ! คุณคิดว่าพวกเราเป็นคนแก่ขี้หลงขี้ลืมจริงๆงั้นสิ? ลู่หย่าฮุ่ยกล่าวด้วยความโกรธอย่างมาก “ฉีโม่ออกแบบเองกับมือ และอีกอย่างเครื่องประดับอัญมณีมูลค่ากว่าสิบล้านนั้นที่รับผิดชอบอยู่ถูกขโมยไป คุณรู้บ้างไหมว่ามันส่งผลกระทบมากขนาดไหน?”

“จางซิ่วเฟิง คุณดูสิ ดูลูกเขยแสนดีของคุณเถอะ! ท่าทางเขาจะไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย!” ลู่หย่าฮุ่ยยยิ่งมองหลินอิ่ง ก็รู้สึกโมโห “ไม่จริงจังกับเรื่องนี้ทั้งสิ้น! เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ในความรับผิดชอบของฉีโม่ เขากลับไม่กังวลใจเลยแม้แต่น้อย!”

จางซิ่วเฟิงก็ขมวดคิ้วขึ้น มองไปยังหลินอิ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักใจว่า: “หลินอิ่ง ฉีโม่ให้คุณดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้บริหาร ก็คือต้องการให้คุณช่วยดูแล ทำไมคุณถึงสะเพร่าทำผิดพลาดมากมายขนาดนี้?”

“โธ่เอ๋ย ตอนแรกฉันบอกว่ายังไงล่ะ?” ลู่หย่าฮุ่ยกล่าวอย่างทอดถอนใจ “บอกแล้วว่าหลินอิ่งก็เป็นคนขี้ขลาดตาขาวไม่มีความสามารถคนนึง ไม่สามารถให้เขามาเป็นผู้ช่วยของฉีโม่ได้ พูดแล้วจริงไหมล่ะ? งานยุ่งอะไรก็ช่วยไม่ได้ ฉีโม่ล้วนขลุกอยู่กับการค้นคว้าวิจัยอัญมณีทุกวัน แต่คุณแม้กระทั่งสิ่งของก็ดูแลรักษาไว้ไม่ได้ จะไปทำอะไรกินห๊ะ?”

ลู่หย่าฮุ่ยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห กล่าวด้วยความไม่พอใจว่า: “อีกอย่างฉันได้ยินมาว่า หลินอิ่ง คุณที่ต่อหน้าผู้บริหารระดับสูงในบริษัท คุยโวโอ้อวด บอกว่ารับรองว่าพรุ่งนี้จะนำเครื่องประดับKing of the worldชิ้นนี้มาแสดงในนิทรรศการ นี่คือคุณยังก่อเรื่องวุ่นวายไม่พออีกใช่ไหม! คุณมันตัวก่อเรื่อง!”

“แม่ อย่าโกรธเลย” จางฉีโม่พูดโน้มน้าว “เรื่องไม่ร้ายแรงอย่างที่คุณคิดขนาดนั้นหรอก”

“ยังไม่ร้ายแรงอีกหรอ?” ลู่หย่าฮุ่ยกระทืบเท้าด้วยความโกรธ “คุณรู้ไหมว่าภายนอกซุบซิบกันว่ายังไง? ล้วนพูดว่าครอบครัวพวกเราฉ้อโกง ขโมยเครื่องประดับอัญมณีนั้นไป! ยังมีข่าวลืออีก บอกว่าคุณไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะทำเครื่องประดับออกมา โยกย้ายถ่ายเทเงินทุนของโครงการ สุดท้ายก็ต้องบอกว่าเครื่องประดับชุดนี้ถูกขโมย ข่าวลือต่างก็บอกว่าครอบครัวพวกเราใกล้จะติดคุกแล้ว!”

ลู่หย่าฮุ่ยพูดโน้มน้าวด้วยความหวังดีว่า: “ลูก คุณคือความหวังของครอบครัวพวกเรา ไม่ง่ายเลยที่คุณจะได้รับโอกาสสักครั้งหนึ่ง ได้รับจากผู้บริหารระดับสูง เลื่อนขั้นให้เป็นผู้แทนผู้บริหารของกลุ่ม เมื่อเห็นการเปิดนิทรรศการในวันพรุ่งนี้ ก็จะต้องมีชื่อเสียง และก้าวไปข้างหน้า!”

“ผลสุดท้าย ก็เกิดเรื่องราวแบบนี้ในช่วงเวลาที่สำคัญขณะนี้ คุณบอกสิว่ากลุ่มกรรมการบริษัทจะยังชื่นชมคุณอยู่ไหม? คุณจะต้องตกงานเป็นแน่!”

จางซิ่วเฟิงก็กล่าวด้วยสีหน้าท่าทางที่เป็นกังวลว่า: “ไม่ได้เป็นผู้บริหารก็ช่างเถอะ ปัญหาคือ เครื่องประดับอัญมณีสิบล้านที่หายไปนี้ ทั้งยังเรื่องนิทรรศการอัญมณีนี้อีก ส่งผลกระทบต่อยุทธศาสตร์การขายของกลุ่มอย่างมาก สืบลงมาจากคณะกรรมการบริหารก็ต้องรับผิดชอบอย่างหนัก อีกอย่าง ตอนนี้เจ้าใหญ่และเจ้าสามกัดเรื่องนี้ไม่ปล่อย ชัดเจนว่าคือได้ทีขี่แพะไล่”

“ใช่ๆ! ครอบครัวจางเถียนไห่และจางจี้หนิงทำไมถึงกัดไม่ปล่อยกันละ? ตอนแรกที่ครอบครัวยังไม่ได้แต่งงาน หลินอิ่งก็ไปก่อความวุ่นวายในพิธีแต่งงานของครอบครัวจางจี้หนิง! ยังต่อยจางเถียนไห่อีกล่ะ!” ลู่หย่าฮุ่ยกล่าวด้วยสีหน้าอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น “

“ครอบครัวพวกเราเคยผ่านความยากลำบากมาหลายวันคืน พอมีความหวังเพียงเล็กน้อย ก็ต้องถูกตัวซวยอย่างคุณทำลายอีก!” ลู่หย่าฮุ่ยกล่าวอย่างไม่ฟังเสียง ปลดปล่อยความโมโหไปบนร่างของหลินอิ่ง

“ใช่แล้ว ไม่ได้ยินเรื่องนี้จากคนอื่น ฉันก็คงยังไม่รู้หรอก” ทันทีลู่หย่าฮุ่ยก็นึกอะไรขึ้นมาได้ มองไปยังจางฉีโม่ กล่าวถามอย่างจริงจังว่า “ลูก BMWคันนั้นที่คุณถอยมา เป็นยังไงบ้าง?”

เธอรู้แต่ว่าเงินฝากของลูกสาวสามารถถอยรถคันละห้าแสนได้คันนึง

“รถคันนั้น คือหลินอิ่ง……” จางฉีโม่กำลังจะพูดว่าหลินอิ่งเป็นคนซื้อ

“หลินอิ่ง! คุณอีกแล้ว!” ลู่หย่าฮุ่ยตรงเข้าหยุดคำพูดของจางฉีโม่ มองหลินอิ่งอย่างเย็นชา “เมื่อก่อนฉันบอกว่าคุณเป็นคนขี้ขลาดตาขาวไม่มีความสามารถคนนึง ไม่เพียงแต่ไม่มีจิตสำนึก ยังเลวสิ้นดี! ให้คุณเป็นผู้ช่วยผู้บริหารคุณก็เปิดเผยธาตุแท้แล้ว! ฉันว่าแล้วว่าลูกสาวฉันจะเก็บเกี่ยวกำไรได้ยังไง ที่แท้ทั้งหมดก็คือคุณที่ยุยงส่งเสริม!”

“คุณร่วมกันฉีโม่รับผิดชอบโครงการนี้ของบริษัท เกรงว่าตนเองจะหาผลประโยชน์ได้จำนวนไม่น้อยใช่ไหม? อัญมณีที่ถูกขโมยไปครั้งนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับคุณงั้นสิ? ลู่หย่าฮุ่ยกล่าวด้วยสีหน้าที่สงสัย

“แม่ เป็นไปไม่ได้ หลินอิ่งไม่ทำเรื่องแบบนี้หรอก” จางฉีโม่ช่วยหลินอิ่งพูด

“คุณรู้ได้ยังไงว่าเขาไม่ได้ทำ?” ลู่หย่าฮุ่ยกล่าวถาม ปรากฎให้เห็นเส้นเลือดที่หน้าผาก โมโหจนสูญเสียความมีเหตุผลไป

ตื๊ด!

ขณะนี้ มือถือของหลินอิ่งก็ดังขึ้น เขาปรายตาไปมอง คือเสิ่นซานโทรเข้ามา

“ฉีโม่ พ่อแม่ ฉันยังมีธุระที่ต้องจัดการ ขอตัวก่อน” หลินอิ่งกล่าวด้วยสีหน้าปกติ แล้วก็เดินออกจากประตูห้องไป

“อ๊ะ? ฉีโม่ คุณดูสิ หลินอิ่งเขาปีกกล้าขาแข็งนะ! พูดกับเขาสองประโยคยังมาแสดงสีหน้าให้พวกเราดูอีก!” ลู่หย่าฮุ่ยแสดงท่าทางเดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง

“หย่า! ต้องหย่า!” ลู่หย่าฮุ่ยพูดอย่างเด็ดขาด “ลูก ฉันดูออก หลินอิ่งเจ้าหมอนี่ก็คือเฉิน ชื่อเหม่ย์(ผู้ชายเลวทรามที่ทอดทิ้งลูกเมีย) ฉันมองว่าเขาอยู่ข้างนอกต้องมีแผนชั่วอะไรเป็นแน่ เดาว่าครั้งนี้จะต้องแสดงหาผลประโยชน์จำนวนมากจากบริษัท ถึงเวลานั้นจะทำให้คุณกลายเป็นแพะรับบาป

ไม่อย่างนั้นจะนิ่งเฉยขนาดนี้ได้ยังไง?”

“ลูก ครั้งนี้คุณไม่เห็นด้วยก็ไม่มีประโยชน์แล้ว” ลู่หย่าฮุ่ยพูดด้วยสีหน้าปกติ “พรุ่งนี้จะต้องขับไล่หลินอิ่งออกไปจากบ้านของพวกเรา ไม่เช่นนั้นก็ต้องเกิดความหายนะไม่มีที่สิ้นสุด!”

จางฉีโม่ทนฟังต่อไปไม่ไหว จึงกลับเข้าไปพักผ่อนในห้องของตนเอง

“เฮ้อ” จางฉีโม่เอนกายลงบนเตียง ทอดถอนใจ พ่อกับแม่ที่อยู่ด้านนอกห้องยังเอะอะโวยวายกับเรื่องนี้ไม่จบไม่สิ้น

ตึ๊ง

เวลานี้ จางฉีโม่ได้รับข้อความข้อความนึง

ฉันไปจัดการเรื่องนี้แล้ว วางใจเถอะ คุณแค่พักผ่อนให้เพียงพอ เตรียมพร้อมที่จะเข้าร่วมงานนิทรรศการในวันพรุ่งนี้”

ได้เห็นหลินอิ่งส่งข้อความนี้มา แววตาของจางฉีโม่ก็ยิ้ม ความรู้สึกกังวลภายในใจก็สงบลงอย่างไม่สามารถอธิบายได้

……

อีกด้านหนึ่ง หลินอิ่งเดินออกจากชุมชนเจียงฉือแล้ว สีหน้าท่าทางเยือกเย็น หยิบมือถือ

“ท่านหลิน เรื่องที่คุณสั่งฉัน ฉันตรวจสอบชัดเจนแล้ว” ด้านนั้นของสาย เสิ่นซานกล่าวด้วยความเคารพ

“ใครเป็นคนทำ?” หลินอิ่งกล่าวถาม

“คือจางเถียนไห่สั่งคนให้ทำ คนที่ช่วยนั้นหาจากเขตตะวันออก……เรื่องราวมีความยากลำบากเล็กน้อย” เสิ่นซานกล่าวด้วยน้ำเสียงลังเลใจ

“คุณรอฉันอยู่ที่ซิงกวางหุ้ย ฉันต้องการจะรู้ต้นสายปลายเหตุ”

“ท่านหลิน คุณจะมาหรอ? คุณอยู่ที่ไหน ฉันจะขับรถไปรับคุณ” เสิ่นซานกล่าวอย่างกระตือรือร้น

“ไม่ต้อง”

หลินอิ่งวางสาย

เดินไปด้านข้างถนน หลินอิ่งโบกแท็กซี่คันนึง และตรงไปยังซิงกวางหุ้ย

ก่อนหน้านี้ที่จะกลับบ้าน เขาก็กำชับกับเสิ่นซานให้ไปตรวจสอบข่าวคราวของเรื่องนี้

ชัดเจนมากว่า ถึงแม้จะมีเจ้าหน้าที่ที่เป็นคนในร่วมมือในการปิดกล้องวงจรปิด แต่กลุ่มคนในก็สามารถเข้าไปเปิดตู้เซฟ หยิบKing of the worldไป โดยไม่ทิ้งรอยเท้ารอยนิ้วมือที่เกี่ยวข้องไว้เลย ต้องเป็นโจรที่ชำนาญการ

และในฐานะที่เสิ่นซานเป็นคนที่อยู่ในโลกใต้ดิน มีอำนาจบนพื้นที่สีเทานี้ ก็พอมีวิธีการอยู่บ้าง

ผ่านไปยี่สิบนาที

หลินอิ่งก็มาถึงซิงกวางหุ้ย ตรงขึ้นไปยังห้องประชุมชั้นสาม

ในห้องทำงานมีเพียงเสิ่นซานคนเดียว

“ท่านหลินคุณมาแล้วหรอ คุณนั่งสิ ดื่มชา”

เสิ่นซานกล่าวด้วยความเคารพ นำชามาเสิร์ฟให้หนึ่งแก้ว

เขาจัดเตรียมไว้บนโต๊ะทำงานก่อนล่วงหน้าแล้วมีทั้ง น้ำชา บุหรี่ อาหารว่าง ผลไม้

หลินอิ่งก็ไม่เกรงใจ ที่ตรงไปนั่งยังเก้าอี้ของเจ้านาย ดื่มชาไปแก้วนึง

“พูดเถอะ” หลินอิ่งกล่าวอย่างนิ่งๆ

เสิ่นซานยืนด้านหน้าโต๊ะทำงาน โค้งตัวลงเล็กน้อย กล่าวด้วยสีหน้าปกติว่า: “ท่านหลิน ฟังที่คุณให้ไปจัดการแล้ว ฉันก็แอบไปสืบจางเถียนไห่อย่างลับๆ คนที่สามีภรรยาซูนเหิงติดต่อในช่วงนี้ ในที่สุดก็ได้เบาะแสที่เป็นหลักฐาน ฉันยังใช้เงินจ้างให้ลูกน้องไปสืบถามอีก จึงตรวจสอบได้ถึงข่าวของKing of the worldนี้ สามารถยืนยันได้ว่า เป็นคนคนนึงจากเขตตะวันออกมีฉายาว่าหนูเป็นคนขโมยไป”

“อันที่จริงแล้วก่อนหน้านี้สองวันคนชื่อหนูคนนี้และจางเถียนไห่เคยพบปะหารือกัน อยู่ที่เขตตะวันออกหนูก็มีชื่อเสียงอยู่บ้าง เป็นคนที่เชี่ยวชาญในการดำเนินการนี้ และก็เป็นหัวหน้าแก๊งค์ด้วย” เสิ่นซานกล่าวอย่างช้าๆ “เดิมทีฉันก็จัดการให้คนตรงไปเขตตะวันออกไปนำตัวหนูมา บังคับให้เขามอบสิ่งของมา แต่ว่า……”

พูดถึงตอนนี้ เสิ่นซานก็ใจฝ่อเล็กน้อยแล้วมองไปยังหลินอิ่ง กล่าวว่า: “หนูเข้าร่วมกับเซควนเขตตะวันออกคนของฉันเข้าไปหาตัวหนูที่เขตตะวันออก สุดท้ายก็ถูกเซควนจัดการให้คนมาจับตัวไป”

“เซควน?” หลินอิ่งขมวคิ้วเล็กน้อย

เซควนเขตตะวันออก คนนี้อยู่ที่เมืองชิงหยูนก็ถือว่าเป็นคนที่มีระดับ เรียกได้ว่าเป็นเขตตะวันออกท่านควนเขตตะวันออก เป็นเจ้าแห่งวงการพื้นที่สีเทาของเขตตะวันออก พูดได้ว่าใหญ่โตพอๆกับเสิ่นซานเลย แม้จะโหดเหี้ยมกว่าเสิ่นซานเล็กน้อย

“เซควนบอกว่ายังไง?” หลินอิ่งกล่าวถาม

“ท่านหลิน แรกเริ่มเดิมทีเซควนมีความเคียดแค้นกับฉัน ฉันโทรศัพท์ไปหาเขาแล้ว ก็ไม่ไว้หน้าฉันเลยแม้แต่น้อย”

“เซควนก็แสดงท่าทีอย่างชัดเจนแล้วว่า พูดเป็นนัยแล้วว่าสิ่งของอยู่ในมือของเขา ก็ถูกเขาจับกุมไป” เสิ่นซานกล่าวอย่างช้าๆ “บอกว่าฉันยื่นมือข้ามเขตมา เขตตะวันออกคืออาณาบริเวณของเขา และยังให้ฉันนำเงินไปแล้วนำของกลับมา”

พูดจบ ก็ทำความเคารพ

ในสายตาของเสิ่นซานก็ยังมีความโกรธอยู่ เซควนเป็นศัตรูเก่าของเขา ยิ่งครั้งนี้จับคนของเขาไป แล้วยังทำให้ตนเองต้องขายหน้าต่อหน้าเจ้านายใหญ่หลินอิ่งนี้ ในใจก็โกรธไม่หาย

หลินอิ่งกล่าวถามว่า: “คุณรู้ว่าคนของเซควนอยู่ที่ไหนไหม?”

“ท่านหลิน คุณหมายความว่าไง?” เสิ่นซานกล่าวถามอย่างลังเลใจ

“ฮึ” หลินอิ่งยิ้มอย่างเย็นชา ในสายตาแสดงออกอย่างเยือกเย็น

“กล้าเอาของของผู้หญิงของฉันไป ฉันต้องการให้เซควนสองคำนี้หายสาบสูญไปจากเมืองชิงหยูน!”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท