ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 40 เยาวชนที่เรียนจบกลับมา?

บทที่ 40 เยาวชนที่เรียนจบกลับมา?

บทที่ 40 เยาวชนที่เรียนจบกลับมา?

“สินค้าที่ออกแบบ? ไม่ใช่ของตัวเองสักหน่อย มันน่าอวดตรงไหน” หลี่เจิ้นพูดด้วยรอยยิ้ม

“ฉันว่านะ ซิ่วเฟิง หย่าฮุ่ยที่พวกคุณสองคนบอกว่าฉีโม่เก่งอย่างนั้นเก่งอย่างนี้ ดิ้นรนจนได้เป็นผู้อำนวยการบริษัท แต่เธอก็ยังเป็นคนทำงานอยู่ดีไม่ใช่เหรอ?” หลี่เจิ้นกล่าวขึ้นอย่างช้าๆ “ฟางผิงของเรานะ เปิดบริษัท อสังหาริมทรัพย์เป็นของตัวเองเลยนะ”

จางฉีโม่สีหน้าแย่ลงเล็กน้อย

“นี่ไม่” หลี่เจิ้นพูดขึ้นด้วยสีหน้ามีชัย “วันนี้ฉันเลี้ยงเอง นี่ไม่ใช่เพราะกำลังจะย้ายบ้านแล้ว และก็เพราะว่าฟางผิงที่ได้ซื้อบ้านให้ด้วย ตั้ง 1.2 ล้านเลยนะ และยังอยู่ในเขตชุมชนระดับสูงของเขตเหนือของเมืองอีกด้วย ชุมชนสุ่ยหยวนแหละ”

“ชุมชนสุ่ยหยวน?” หลินอิ่งถามขึ้น

“ไอ นายก็เคยได้ยินชื่อชุมชนสุ่ยหยวนเหมือนกันเหรอ? รู้ได้ยังไง?” หลี่เจิ้นถามด้วยความสนใจ

“สองวันก่อนเคยไปที่นั่น” หลินอิ่งกล่าวตอบ

“เคยไปเหรอ? ถ้าอย่างนั้นนายก็คงได้เปิดหูเปิดตาไม่น้อยจริงไหม?” หลี่เจิ้นพูดขึ้นมาเรื่อยๆ “ซิ่วเฟิง หย่าฮุ่ย พวกคุณสองคนไม่เคยไปคงจะไม่เข้าใจ สามารถถามลูกเลขของพวกคุณดูได้นะ ชุมชนสุ่ยหยวนนั้นเป็นชุมชนระดับสูงที่มีชื่อเสียงมากในเขตเหนือของเมืองเลยทีเดียว ตารางวาละ 100,000 สภาพแวดล้อมค่อนข้างสวยงาม สิ่งอำนวยความสะดวกของชุมชน และการจัดการทรัพย์สินยอดเยี่ยมที่สุด ไม่เหมือนกับที่ชุมชนเจียงฉือ นี้ทั้งทรุดโทรม เก่าแก่ และไม่มีที่จอดรถใต้ดิน”

“ฉันจะบอกพวกคุณเลยว่า ถ้ามีเงินแล้ว รีบย้ายออกเลย” หลี่เจิ้นคว้าโอกาสไว้โอ้อวดไปเรื่อยๆ “ฉันนะ โชคดีมีหลานเอ๋อที่พึ่งพาได้ และหาลูกเขยที่ดีได้อย่างฟางผิงเรียนต่อต่างประเทศ กลับจากต่างประเทศอย่างที่สุภาษิตว่า ผู้ชายกลัวเข้าวงการผิด ผู้หญิงกลัวแต่งงานผิด คุณว่าจริงไหมซิ่วเฟิง?”

“ก็จริง” จางซิ่วเฟิงฝืนยิ้มและพยักหน้า

“คือความหมายนี้สินะ คุณบอกว่าที่บริษัทฉีโม่นั้นยอดเยี่ยมมาก แต่สุดท้ายพวกคุณสองคนก็ยังต้องอาศัยอยู่ในชุมชนเจียงฉือที่เสื่อมโทรมนั้นอยู่ดี?” หลี่เจิ้นพูดขึ้นอย่างมีชัย

ลู่หย่าฮุ่ยหน้าดำคล้ำเขียว มองไปที่หลินอิ่งอย่างเยือกเย็น

อยู่ดีดี ก็ปล่อยให้หลี่เจิ้นมีโอกาสแสดงความคิดเห็นอีกนได้

“ใครให้นายพูดมากกัน?” ลู่หย่าฮุ่ยพูดด้วยน้ำเสียงลึกล้ำ “นายไปที่ชุมชนสุ่ยหยวนทำไม?”

“ไปซื้อบ้าน” หลินอิ่งพูดตามความจริง

“อะไรนะ? นายบอกว่านายไปซื้อบ้านที่ชุมชนสุ่ยหยวน?” ลู่หย่าฮุ่ยชะงักไปสักพัก จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นโกรธเคืองขึ้นมา

“หลินอิ่ง นายอย่าคุยโวโอ้อวดได้ไหม? อย่าทำให้ฉันต้องอับอายขายหน้า!” ลู่หย่าฮุ่ยกล่าวอย่างโกรธเคือง เดิมทีคิดว่าลูกสาวมีอนาคตที่ดีแล้ว และวันนี้ก็สามารถเป็นหน้าเป็นตาได้แล้วแท้ๆ

ใครจะไปรู้ กลับถูกคนอื่นเปรียบเทียบลูกเขยซะงั้น

เดิมทีความโกรธก็เต็มท้องอยู่แล้ว หลินอิ่งยังจะออกมาคุยโวอีก

“หย่าฮุ่ย เธอก็ให้หลินอิ่งได้พูดต่อไปสิ” หลี่เจิ้นพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “หลินอิ่ง นายซื้อบ้านแบบไหนเหรอ? ขนาดเท่าไหร่? อยู่อาคารไหนเหรอ? สไตล์การตกแต่งแบบไหน?”

“ลืมแล้ว” หลินอิ่งกล่าว เพราะตัวเองเลือกอย่างง่ายๆ จะจำได้ยังไงว่าเท่าไหร่

“ฮาฮา! ลืมแล้ว?” หลี่เจิ้นหัวเราะฮาฮาเสียงดัง “ฉันว่า คนหนุ่มสาวควรทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ และสร้างรายได้ให้มากขึ้น อย่าคิดที่จะโอ้อวดเพื่อสร้างอัฒจรรย์เสมอไป จะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะเอาได้รู้ไหม?”

หลินอิ่งน่าสมเพชแค่ไหนมีเหรอที่ตัวเองจะไม่รู้? ยังจะเสแสร้งบอกว่าไปซื้อบ้านที่ชุมชนสุ่ยหยวน? อยากจะหัวเราะให้ตาย

“ไม่มีอะไรเปรียบได้เลยจริงๆ เพราะหาข้อแตกต่างไม่เจอเลย” หลี่เจิ้นพูดอย่างตรงไปตรงมา “หย่าฮุ่ย คุณบอกหน่อยสิ เป็นลูกเขยเหมือนกัน แต่ทำไมถึงได้แตกต่างกันขนาดนี้”

“คุณลองดูฟางผิงคนอื่นเขาสงบมากเลย แต่เขามีความสามารถ ไม่เหมือนใครบางคนคุยโวเป็นอย่างเดียว”

“ฟางผิง นายก็แนะนำตัวเองกับทุกคนหน่อยสิ” หลี่เจิ้น พูดขึ้นอย่างมีชัย

ฟางผิงเขย่าข้อมือเล็กน้อย และพับแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อย จงใจเผยให้เห็นนาฬิกา วาเชอรอง คองสตองแตง มูลค่ากว่า 200,000 ที่สวมอยู่ตรงข้อมือ

“ทุกท่าน นี่คือนามบัตรของผม”

ฟางผิงกล่าวอย่างภาคภูมิใจ ขี้เกียจเกินไปที่จะกล่าวทักทาย จึงโยนนามบัตรไม่กี่ใบไปให้ครอบครัวของจางฉีโม่

“ผมเรียนจบกลับมาจากประเทศอังกฤษ ไม่กี่ปีก่อนอาศัย และเติบโตที่เมืองนอก เพิ่งจะกลับมาปีนี้ ปัจจุบันทำงานอยู่ในบริษัท อสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเขตเหนือของเมือง ดำรงตำแหน่งเป็นผู้จัดการของบริษัทโอเชี่ยนอสังหาริมทรัพย์” ฟางผิงกล่าวด้วยความรู้สึกที่เหนือกว่า

หลี่เจิ้นท่าทางพอใจมาก รู้สึกว่าฟางผิงเป็นหน้าเป็นตาให้เธอได้มาก

“ฟางผิงเรียนจบจากต่างประเทศและ มีการศึกษาสูง! เท่าที่ฉันรู้ ดูเหมือนว่าหลินอิ่งจะไม่เคยได้เรียนมหาวิทยาลัยเลยด้วยซ้ำใช่ไหม?” หลี่เจิ้นยิ่งพูดก็ยิ่งจริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ “และที่สำคัญฟางผิงยังอายุน้อย แต่เก่งมาก เปิดบริษัทของตัวเอง ปัจจุบันยังเป็นผู้จัดการอันดับต้น ๆ ของบริษัทโอเชี่ยนอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย ทั้งบริษัท เขามีสิทธิตัดสินใจทุกอย่าง!”

ลู่หย่าฮุ่ยสีหน้าแย่ขึ้นเรื่อยๆ

หลินอิ่งไอขวดน้ำมัน กลายเป็นขี้ปากของคนอื่นอย่างสมบูรณ์แบบ และกลายเป็นขี้ฝุ่น เมื่อเทียบกับลูกเขยของครอบครัวหลี่เจิ้น ต่างกันราวฟ้ากับเหว

คราวนี้ ตลอดทั้งมื้ออาหารค่ำไม่มีโอกาสที่จะได้อวดสำเร็จของฉีโม่เลย

แม้แต่ลูกสาวของตัวเอง ก็ถูกเยาะเย้ยจนพูดอะไรไม่ออก

ไม่สมควรให้เขาได้กินอาหารมื้อนี้เลย!

“เท่าที่ผมรู้ ผู้จัดการของบริษัทโอเชี่ยนอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้แซ่ฟาง?” หลินอิ่งพูดขึ้นอย่างราบเรียบ

“หลินอิ่ง นายหมายความว่าไง?” หลี่เจิ้นขมวดคิ้วเล็กน้อย ถามขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “นายจะไปรู้อะไร? นายก็ขายเนื้อย่างตลอดทั้งวัน ชื่อของบริษัทโอเชี่ยนอสังหาริมทรัพย์ยังไม่เคยได้ยินเลยด้วยซ้ำมั้ง ยังจะเสแสร้งทำเหมือนเป็นคนรู้มาก”

หลินอิ่งพูดขึ้น “ผมก็แค่สงสัยเล็กน้อย ในเมื่อเป็นถึงผู้จัดการของบริษัทโอเชี่ยนอสังหาริมทรัพย์ ทำไมถึงได้ไปซื้อบ้านที่เกรดต่ำสุดในบริษัท อสังหาริมทรัพย์ของตัวเอง?”

ผั๊วะ!

หลี่เจิ้นตบโต๊ะเสียงดัง และก่นด่า “นายพูดอะไร? ครอบครัวของฉันซื้อบ้านที่เกรดต่ำที่สุด? นายลูกเขยไร้ประโยชน์น่าสมเพช บ้านหนึ่งหลังราคามากกว่าหนึ่งล้านมีปัญญาซื้อไหม? นายตั้งแผงขายเนื้อย่าง เงินเดือนอย่างน้อยก็แค่ห้าพันสินะ? ทั้งชาติก็คงจะไม่มีปัญญาซื้อห้องน้ำบ้านฉันได้ด้วยซ้ำ!”

“ก็แค่พูดความจริง” หลินอิ่งกล่าวอย่างราบเรียบ

บ้านในชุมชนสุ่ยหยวน ราคา 1.2 ล้านเดิมก็เป็นเกรดต่ำสุดอยู่แล้ว หลังที่ตัวเองซื้อนั้นราคา 2.3 ล้าน แต่ก็นับว่าเป็นระดับกลางเท่านั้น

และที่สำคัญ ผู้จัดการเจียงฉีของบริษัทโอเชี่ยนอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่งเจอกันเมื่อตอนบ่าย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้จัดการคนนี้โผล่มาจากไหนอีกคน

“คนบางคนนะ ตัวเองไม่มีความสามารถ แต่กลับมีโรคขี้อิจฉา” ฟางผิงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม จ้องมองหลินอิ่งอย่างเย็นชา “นายชื่อหลินอิ่งสินะ? ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ คุณเป็นถึงลูกผู้ชายตัวใหญ่คนหนึ่ง ทำไมถึงได้มาเป็นลูกเขยบ้านได้ เป็นลูกเขยบ้านก็ช่างเถอะ แต่ทำไมถึงหน้าด้านขนาดนี้ ตัวเองไม่มีเงินไม่สามารถเป็นหน้าเป็นตาให้ภรรยาได้ ไม่สามารถซื้อบ้านให้คนในครอบครัว ก็เลยอิจฉาคนอื่นเขา?”

“คุณมันก็แค่คนที่คอยเป็นผู้ช่วยให้ภรรยาเกาะผู้หญิงกิน ผมรู้สึกว่าคนในระดับเดียวกับผม การคุยกับคุณ เหมือนเป็นความอัปยศของตัวเอง!”

หลินอิ่งพูดขึ้น “ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่า คุณเป็นใครกันแน่?”

“หลินอิ่ง นายหุบปากซะ!” ลู่หย่าฮุ่ยก่นด่าอย่างโกรธเคือง ทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว

เธอรู้สึกว่าหากพูดต่อไปแบบนี้ หน้าของครอบครัวตัวเองคงจะต้องอับอายจนหมดแล้วแน่ๆ!

เดิมทีหลินอิ่งและฟางผิง ก็มีความแตกต่างกันด้านสถานการณ์เงินอยู่แล้ว พูดมากไปกว่านี้ก็จะไปมีประโยชน์อะไร?

“ไม่! ให้เขาพูดต่อไป ฉันอยากรู้จริงๆว่าคนน่าสมเพชคนนี้ยังอยากจะพูดอะไรอีก” ฟางผิงพูดขึ้นท่าทีเหยียดหยาม “พูดต่อสิ?”

“พูดไม่ออกแล้วเหรอ?” ฟางผิงพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่เย็นชา “คุณลองมองดูสภาพบ้านนอกของคุณนี่สิ ทั่วทั้งร่างมีของสักชิ้นที่มีค่าไหม? นายรู้ไหมว่าผู้ชายวัยนี้อย่างน้อยจะต้องใส่เสื้อผ้า และกางเกงยี่ห้ออะไร? รู้หรือไม่ว่าควรใส่นาฬิกาอะไร? รู้หรือไม่ว่าต้องขับรถรุ่นไหน?”

“เกรดของคุณต่ำเกินไปจริงๆ ผมรู้สึกว่าพูดเรื่องแบบนี้กับคุณไปก็คุณก็ฟังไม่รู้เรื่อง อย่างไรก็ตามเราอยู่ในระดับที่แตกต่างกัน” ฟางผิงท่าทางมีชัย พูดถึงความเหนือกว่า

“ผมเข้าใจคุณดี ความภาคภูมิใจที่อ่อนแอและน่าสงสารในตนเองที่เปราะบางแบบนี้ ต้องการจะเอาชนะผมด้วยคำพูดใช่ไหม?เฮอเฮอ ยอมรับว่าคนอื่นดีกว่า มันยากขนาดนั้นเลยเหรอ?” ฟางผิงส่ายหน้า ใช้คำพูดและน้ำเสียงที่เหมือนเป็นการสั่งสอน

หลินอิ่งหัวเราะ และพูดขึ้น “ที่ผมอยากพูดก็คือ คุณบอกว่าตัวเองเป็นผู้จัดการของบริษัทโอเชี่ยนอสังหาริมทรัพย์ เจียงฉีเขารู้เรื่องนี้ไหม?

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท