ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 43 บ้านใหม่

บทที่ 43 บ้านใหม่

บทที่ 43 บ้านใหม่

พอได้ยินว่าเจียงฉีจะให้ส่งกุญแจรถคืน ฟางผิงก็หน้าซีดขึ้นมาทันที

“อะไรกัน!ประธานเจียงนี่มัน?”

เขาไม่รู้ว่าทำไมประธานเจียงจู่ๆถึงโกรธเดือดดาลใส่ตนเองขึ้นมาขนาดนี้ ถึงขั้นไล่ตนเองออก?

นี่ต้องสูญเสียงานที่ดีมากๆไปอย่างไม่ทราบสาเหตุอะไรเลยอย่างนั้นเหรอ?

หรือเป็นเพราะหลินอิ่งไอ้เศษสวะนี่?

เขามีอิทธิพลมากขนาดนั้นเลยเหรอ? ทำไมประธานเจียงถึงต้องเกรงกลัวเขาด้วย?

ในหัวของฟางผิงสับสนวุ่นวายไปหมด รู้สึกไม่เข้าใจ

“คุณกำลังมีข้อกังขากับการตัดสินใจของผมเหรอ?”เจียงฉีเงยหน้าขึ้นมาพูด“แค่ผู้จัดการบริษัทย่อยตัวน้อยๆแบบคุณ ผมบอกไล่ออกก็คือไล่ออก!”

“ทำไม? ยังไม่อยากคืนกุญแจบ้านกุญแจรถเหรอ? มันเป็นของของคุณหรือไง?”เจียงฉีพูดขึ้นด้วยความโกรธ

ฟางผิงรู้สึกขายขี้หน้าไม่น้อย ล้วงกุญแจบ้านกุญแจรถจากในกระเป๋ากางเกงออกมา แล้วส่งไปในมือของเจียงฉีอย่างโดยดี

“เอ้า? หลี่เจิ้น ที่แท้รถกับบ้านของลูกเขยคุณมันไม่ใช่ของเขาเองนี่นา”ลู่หย่าฮุ่ยยิ้มออกมา สีหน้าดูสะใจไม่น้อย

หลี่เจิ้นหน้าเริ่มแดง ไม่คาดคิดว่าฟางผิงจะมาเจอกับหัวหน้างานของบริษัทตนเอง แล้วจู่ๆก็โดนไล่ออกอย่างกะทันหัน

แถมยังถูกคืนกุญแจบ้านกุญแจรถต่อหน้าตระกูลของจางซิ่วเฟิงอีก……

ตอนนี้ สีหน้าของคนในตระกูลหลี่เจิ้นแดงเหมือนตับหมูกันทุกคน แทบอยากจะมุดแผ่นดินหนี!

เจียงฉีไม่ได้สนใจคนไร้ค่าอย่างฟางผิง หันกลับไปพูดกับหลินอิ่งด้วยสีหน้าเข้มงวด“ประธานหลินเหตุการณ์ที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้นครั้งนี้ บริษัทของพวกเราจะไม่ยอมปล่อยคนที่ทำลายชื่อเสียงของส่วนรวมแบบนี้ไปแน่นอนครับ ท่านมีเวลาว่างเมื่อไร ผมขอเชิญท่านมาดื่มน้ำชากันสักแก้ว”

หลินอิ่งสีหน้าหน้าปกติ พยักหน้าก่อนจะพูดขึ้น“ไม่เป็นไร”

เจียงฉีแอบถอนหายใจ ยังดี ที่คนระดับนี้ไม่ได้คิดที่จะถือสาเอาความอะไร

“ตอนนี้ผมยังมีธุระต่อ ถ้าครั้งหน้ามีเรื่องอะไรที่ต้องการความช่วยเหลือ ผมจะติดต่อไปนะ”หลินอิ่งพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

เจียงฉีเป็นคนที่รู้ว่าอะไรเหมาะอะไรควร ตัวเองกำลังเตรียมตัวไปดูบ้านวิลล่าสุดหรูสองหลัง แต่ก็มาหาเขาก่อน

“ครับ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่รบกวนท่านแล้วล่ะครับ”เจียงฉีพูดขึ้นอย่างเกรงใจ แล้วหันกลับขึ้นรถไป

“พวกเราก็ไปกันเถอะ”หลินอิ่งหันไปพูดกับจางฉีโม่

“คุณเตรียมจะไปที่ไหน?”จางฉีโม่ถามขึ้น

หลินอิ่งพูด“แน่นอนว่าก็ต้องไปดูบ้านใหม่ของพวกเราน่ะสิ”

พูดพลาง ตระกูลของหลินอิ่งก็พากันเดินไปยังอีกตึกหนึ่งของชุมชนสุ่ยหยวน

ตระกูลของหลี่เจิ้นยังคงยืนอึ้งตะลึงอยู่ที่เดิม สีหน้าทั้งโกรธทั้งขายขี้หน้าถึงสุดขีด ในตอนนี้ พวกเขาไม่สงสัยอีกแล้วว่าหลินอิ่งซื้อบ้านใหม่แล้วจริงหรือไม่……

ไม่รู้ว่าจะทำตัวยังไงดี ตอนแรกกะจะทำตัวร่าเริงสดใสต่อหน้าตระกูลของจางซิ่วเฟิง

ผลที่ได้คือ บ้านกับรถของตระกูลตัวเองดันหายไปต่อหน้าต่อตา แถมยังต้องมาอับอายขายขี้หน้าต่อหน้าจางซิ่วเฟิง แล้วก็ไอ้เศษสวะสกุลหลินอีก……

“สามีของจางฉีโม่ เป็นแค่ไอ้เศษสวะไร้ค่าจริงๆเหรอ?”หลี่หลานสีหน้าบูดเบี้ยวผิดไปจากปกติ ถามขึ้น

หลี่เจิ้นและฟางผิงไม่รู้ว่าควรจะตอบไปยังไงดี

……

ส่วนอีกด้านหนึ่ง ครอบครัวของหลินอิ่งเดินมาถึงตึกที่แปดของชุมชนสุ่ยหยวนแล้ว

“ฮ่าๆๆ!ขำจะตายอยู่แล้ว ซิ่วเฟิง ตะกี้ได้เห็นสีหน้าของพวกตระกูลหลี่เจิ้นไหม แดงอย่างกับตับหมู!”ลู่หย่าฮุ่ยหัวเราะดีใจสุดๆ

“ต้องคืนทั้งบ้านกับรถหรูของลูกเขยให้กับผู้จัดการใหญ่ ทั้งหมดล้วนแต่เป็นของที่บริษัทให้มาทั้งนั้น แถมตอนนี้งานก็ไม่มีแล้วด้วย ฮ่าๆๆ ดูซิว่าหลังจากนี้เขาจะแสร้งมาทำเก่งต่อหน้าตระกูลของพวกเราอีกไหม!”

จางซิ่วเฟิงก็สบถออกมา ก่อนจะพูดขึ้นเช่นกัน“ฉันยังนึกว่าลูกเขยของเขาเก่งสุดยอดมากๆอยู่เลย ก็ไม่ได้ต่างอะไรมากมายกับฉีโม่ของตระกูลพวกเรา แต่ต่างกันตรงที่ฉีโม่ของพวกเราซื้อรถด้วยตัวเองนี่น่ะสิ”

“พ่อ แม่ วันนี้หลินอิ่งช่วยกู้หน้าให้พวกท่านแล้วใช่ไหมล่ะ?”จางฉีโม่พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง“จากนี้ไปเวลาอยู่ข้างนอกถ้ายังเรียกหลินอิ่งว่าเศษสวะอยู่ หนูรู้สึกว่ามันฟังแล้วไม่ค่อยเพราะเท่าไรเลย ช่วยไว้หน้ากันสักหน่อยสิคะ”

“อะไรกัน? พูดถึงเขานิดหน่อยก็ไม่พอใจเหรอ?”ลู่หย่าฮุ่ยพูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ“ยัยลูกซื่อบื้อ มาบอกว่าหลินอิ่งกูหน้ากู้ตากลับมาให้อะไรกันล่ะ นี่เป็นเพราะว่าลูกมีหน้ามีตาต่างหากล่ะ!หลินอิ่งจะไปรู้จักประธานเจียงได้ยังไงกัน ไม่ใช่ว่าเป็นใบรายชื่อที่ไปยืมมาจากเลขาของผู้อำนวยการบริษัทมาหรอกเหรอ? ลูกเข้าใจไหม ว่านี่เป็นการหยิบยืมชื่อเสียงของลูกนะ! ไม่อย่างนั้นเขาจะเอาอะไรไปผูกมิตรกับคนเหล่านั้นล่ะ?”

“ถ้าไม่บอกฉันก็ลืมเรื่องนี้นี่ไปแล้วนะ”ลู่หย่าฮุ่ยหันไปหาหลินอิ่งก่อนจะถามขึ้น“หลินอิ่งแกรู้จักประธานเจียงของบริษัทโอเชี่ยนอสังหาริมทรัพย์ได้ยังไง?”

“รู้จักตอนซื้อบ้านครับ”หลินอิ่งตอบไปตามความจริง

“รู้จักกันตอนซื้อบ้าน?”ลู่หย่าฮุ่ยมองหลินอิ่งด้วยสีหน้าสงสัย“ง่ายขนาดนี้เลยเหรอ? ฉันเห็นความสัมพันธ์ของแกกับเขาก็ไม่เลวเลยนี่ เขาดูไว้หน้าแกมากเลยนะ แถมยังไล่ฟางผิงออกตรงนั้นอีก”

หลินอิ่งพูดยิ้มๆ“นั่นคงเป็นเพราะว่ากฎระเบียบภายในของบริษัทพวกเขาเข้มงวดมาก คุณสมบัติของฟางผิงก็เลยมีไม่ถึง”

“หึ แกพูดคำพูดพวกนี้ก็เพื่อหลอกลวงฉีโม่ แล้วยังคิดจะมาปิดบังฉันอีกเหรอ?”ลู่หย่าฮุ่ยสบถหึออกมาอย่างเย็นชา แล้วก็พูดต่อ“ฉันดูๆแกแล้วนะไอ้เด็กเมื่อวานซืน ตั้งแต่แกได้มาเป็นผู้ช่วยของผู้อำนวยการฉีโม่ ไม่มียืมบารมีของฉีโม่บ้างเลยงั้นเหรอ?”

“แกจะต้องมีหยิบยืมชื่อเสียงที่โด่งดังของฉีโม่แน่นอน อยู่ข้างนอกสร้างมิตรทำความรู้จักคน อยู่ในบริษัทก็กอบโกยเงิน แอบหาเส้นสายให้ตัวเองอย่างลับๆใช่ไหมล่ะ?”ลู่หย่าฮุ่ยพูดอย่างมั่นใจ“ฉันจะบอกแกให้นะ แกต้องสำเหนียกนะว่า ถ้าไม่ใช่เพราะว่าฉีโม่ให้แกมาเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการล่ะก็ แกจะสามารถหาเงินมากมายขนาดนี้เพื่อมาซื้อบ้านที่ชุมชนสุ่ยหยวนได้งั้นเหรอ?”

พูดจบ ลู่หย่าฮุ่ยก็สีหน้าพออกพอใจ“ไปกันเถอะ ขึ้นไปดูบ้านของพวกเรากันเถอะ”

พูดพลาง ทุกคนก็เดินขึ้นไป จนถึงชั้นสิบสอง

บ้านใหม่ที่หลินอิ่งซื้อ ตกแต่งสไตล์วินเทจด้วยไม้มะฮอกกานี ยังไม่ละทิ้งความทันสมัยไปซะทีเดียว ห้าห้องนอนสองห้องรับแขก เนื้อที่กว้างขวางมาก

พอเดินเข้ามา จางฉีโม่ก็ถูกความกว้างขวางของห้องรับแขกดึงดูดสายตาเข้าให้ สีหน้าเผยให้เห็นถึงความปลื้มปริ่มหัวใจไม่น้อย

คู่ของลู่หย่าฮุ่ยก็นั่งลงบนโซฟาด้วยความปลื้มใจเช่นกัน มองซ้ายทีขวาที ด้วยความดีอกดีใจ

เมื่อก่อน บ้านที่อยู่อาศัยในชุมชนเจียงฉือก็เก่ามากแล้ว การที่จู่ๆได้มาอยู่ในบ้านที่แสนหรูหราขนาดนี้ ความรู้สึกที่มันช่างแตกต่างกันขนาดนี้ ทำให้พวกเขารู้สึกสบายอกสบายใจอย่างมาก

ทุกคนเดินสำรวจไปรอบๆบ้าน จากนั้นก็กลับมานั่งลงบนโซฟา

“บ้านหลังนี้ไม่เลวเลยนะหลินอิ่ง แกซื้อมาเท่าไรเหรอ?” จางซิ่วเฟิงถามขึ้นด้วยสีหน้าพออกพอใจ

หลินอิ่งพูดขึ้น“สองล้าน”

“อะไร? สองล้าน? คุณเอาเงินมากมายขนาดนี้มาจากไหน?”จางฉีโม่ถามขึ้นด้วยความตกใจ

ครั้งก่อนหลินอิ่งก็เป็นคนจ่ายเงินซื้อรถ จ่ายเงินทำเรื่องต่างๆ แล้วตอนนี้มาจ่ายเงินซื้อบ้านอีก เงินเก็บในมือของเขา มันเกินกว่าที่เธอจะคาดคิดไปมาก

“ลูก นี่มันต้องถามอีกเหรอ?”ลู่หย่าฮุ่ยพูดอย่างมั่นใจ “ก่อนที่หลินอิ่งจะมาเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการ แม้แต่รถมอเตอร์ไซค์ยังไม่มีปัญญาซื้อเลย หลังจากที่มาเป็นผู้ช่วยของลูกแล้ว ขนาดบ้านก็ยังซื้อได้ ลูกว่าเขาเอาเงินพวกนี้มาจากไหนล่ะ? ถ้าไม่ใช่ด้วยบุญบารมีของลูก ใช้ชื่อเสียงในการเป็นผู้ช่วยของลูกเพื่อกอบโกยเงิน”

“เดี๋ยวผมไปติดต่อบริษัทรับขนของย้ายบ้านก่อนนะ จะได้เตรียมย้ายบ้านกัน”หลินอิ่งพูดขึ้น จากนั้นก็ออกไปโทรศัพท์ข้างนอก

เขาก็ขี้เกียจฟังแม่ของจางฉีโม่พูดพล่ามไปเรื่อย ทุกคนในครอบครัวก็ตัดสินใจย้ายบ้านใหม่กัน

“ฉีโม่ พอกลับไปแล้วอย่าลืมให้หลินอิ่งเอาโฉนดบ้านให้กับลูกด้วยนะ จะต้องเป็นชื่อของลูก”ลู่หย่าฮุ่ยพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

จางฉีโม่สีหน้าหมดความอดทน ทิ้งโฉนดบ้านลงบนโต๊ะ ก่อนจะพูดขึ้น“แม่ หลินอิ่งเพิ่งจะซื้อบ้านมา ก็จะให้เป็นชื่อของหนูได้ไง แม่ไม่ต้องกีดกันเขาขนาดนี้ก็ได้ ถึงยังไงนี่มันเป็นบ้านที่เขาใช้เงินตัวเองซื้อมานะ”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท