ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 38 งานเลียงอาหารค่ำ

บทที่ 38 งานเลียงอาหารค่ำ

บทที่ 38 งานเลียงอาหารค่ำ

ณ บ้านของจางฉีโม่

ลู่หย่าฮุ่ยยิ้มอย่างมีชัย ในมือลูบไล้สิงโตหยก หรี่ตามองดูธนบัตรสีแดงที่กองอยู่บนโต๊ะ ท่าทางมีความสุขมาก

“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ สองพ่อลูกเจ้าสามจะมีวันที่ต้องมาก้มหัวต่อหน้าครอบครัวเรา!” ลู่หย่าฮุ่ยพูดขึ้นด้วยท่าทีที่ได้ใจ

จางฉีโม่เองก็สีหน้าเปื้อนยิ้ม “ใช่แล้ว ครอบครัวเราได้เอาคืนอย่างสาสมใจจริงๆ!”

จางซิ่วเฟิงสีหน้าพอใจ วันนี้นับว่าได้ระบายความอัดอั้นในใจที่มีมานานหลายปี

“ทั้งหมดนี้เป็นเพราะลูกสาวเรามีอนาคตอันสดใสแล้ว” ลู่หย่าฮุ่ยพูดขึ้นพร้อมหัวเราะ “ครอบครัวเจ้าสามไม่กล้าหาเรื่องพวกเราอีกแล้ว มาขอโทษถึงที่ ทั้งให้ของขวัญยังและเงินด้วย แถมยังคุกเข่าขอโทษอีก ฮ่าฮ่า!”

“ฉีโม่อีกหน่อยเวลาอยู่ที่บริษัทก็ต้องระวังตัวด้วย อย่าให้ใครมาจับผิดเอาได้ คนอย่างเจ้าสามนั้น ไม่ได้พูดง่ายอย่างที่เห็นหรอกนะ” จางซิ่วเฟิงพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง

“ก็จริง คนอย่างเจ้าสามนั้นต่อหน้าอย่างลับหลังอีกอย่าง ไม่มีทางยอมแพ้อย่างแน่นอน” ลู่หย่าฮุ่ยพูดขึ้นสีหน้าจริงจัง “ทว่า ตอนนี้ลูกสาวของเราเป็นถึงคนดังของบริษัทแล้ว ถึงกับโด่งดังในตลาดเครื่องประดับของเมืองตุงไห่เลยทีเดียว หากเจ้าสามคิดจะต่อกรกับครอบครัวเรา ก็คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น

พูดไป ทันใดนั้นลู่หย่าฮุ่ยก็คิดอะไรออกมาได้ มองไปที่หลินอิ่งอย่างไม่สบอารมณ์ และพูดขึ้น “วันนี้ใครให้นายพูดมากกัน? ความสามารถอื่นก็ไม่มี ทำเป็นแต่เสแสร้งเรียกร้องความสนใจภายใต้ชื่อของฉีโม่เท่านั้น ฉีโม่ยังไม่ได้พูดอะไรเลย นายก็ช่วยเธอพูดจนหมดแล้ว?”

“หลินอิ่ง ฉันขอเตือนนายไว้เลยนะ คราวหน้าอย่าใช้ชื่อเสียงของฉีโม่ไปมีเรื่องข้างนอก ทำหน้าที่ผู้ช่วยของนายไปก็พอแล้ว อย่าพูดมาก ชงชาเสิร์ฟน้ำ ขับรถถือกระเป๋า ก็พอ” ลู่หย่าฮุ่ยเริ่มสั่งสอนขึ้นมา

พูดจบ ลู่หย่าฮุ่ยก็พูดเร่งเร้าอีกครั้ง “นายยังจะนั่งอยู่ตรงนี้อีกทำไม? ดึกป่านนี้แล้ว ยังไม่รีบไปทำอาหารอีก?”

หลินอิ่งไม่ได้พูดอะไร และเดินเข้าไปในห้องครัว

“วันนี้ที่หลินอิ่งพูดก็ไม่ผิดอะไรนิ คุณเองก็ควรจะเกรงใจกับคนอื่นบ้าง” จางซิ่วเฟิงพูดขึ้น

“คุณคิดว่าฉันกำลังรังแกมันอยู่เหรอ?” ลู่หย่าฮุ่ยท่าทีไม่พอใจ พูดขึ้นเสียงต่ำ “ฉันกำลังช่วยลูกสาวปูทางอยู่ต่างหากเข้าใจไหม? วันนี้คุณยังดูไม่ออกอีกเหรอ? หลินอิ่งเด็กคนนี้ร้ายกาจจะตายไป”

ลู่หย่าฮุ่ยพูดขึ้น “ฉันจะต้องสั่งสอนสั่งสอนมันหน่อย ไม่อย่างนั้นอีกหน่อยหางของมันคงได้ชี้ขึ้นฟ้าแน่? ฉันจะต้องทำให้มันรู้ว่า มันนั้นพึ่งลูกสาวของเรากินข้าว!”

“ฉีโม่ อีกหน่อยลูกไม่ต้องไปทำดีกับเขามากนักหรอก เธอเป็นผู้อำนวยการของบริษัท เขาเป็นแค่ผู้ช่วย” ลู่หย่าฮุ่ยพูดขึ้นน้ำเสียงเศร้าหมอง “ถ้าเขาซื่อตรง ก็ให้ข้าวเขากิน ถ้าเขากล้าลามปาม เธอก็เตะเขาทิ้งซะ ก็สถานะของฉีโม่ของพวกเราในตอนนี้ ชื่อเสียงนี้ หลินอิ่งจะไปเหมาะสมได้ยังไง?”

จางซิ่วเฟิงพูดขึ้นด้วยความคิด “ตอนนี้ดูเหมือนหลินอิ่งเองก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์ พูดจาฉลาดเลยมากทีเดียว”

“เขามันก็แค่คนไร้ประโยชน์ วันนี้ถ้าไม่ใช่เพราะด้วยสถานะของฉีโม่ ปกติเขาจะกล้าพูดแบบนี้กับจางหงซวนเหรอ?” ลู่หย่าฮุ่ยกล่าวอย่างไม่แยแส

“อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ลูกสาวของพวกเราก็มีชื่อเสียงมีเงินมีทอง และมีคุณชายมากมายมาตามจีบ รอลูกสาวเลือกคนที่ถูกใจได้แล้ว ก็ถีบหัวส่งหลินอิ่งออกจากบ้านไปเลย ก็จบแล้ว”

จางฉีโม่ไม่ได้พูดอะไร ในใจของเธอชัดเจนอยู่แล้ว ที่ตัวเองสามารถเป็นถึงผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบของบริษัทได้นั้น หลินอิ่งมีส่วนช่วยเหลือไว้มาก

​หลินอิ่งก็มีส่วนในการออกแบบงานKing of the world ในช่วงเวลาที่สำคัญ ก็เป็นหลินอิ่งที่ออกเงินให้คนช่วยตามหาKing of the worldกลับมาได้

​วันที่สอง

​จางฉีโม่และหลินอิ่งออกไปทำงานที่อาคารเป่าติ่งตั้งแต่เช้าตรู่

​จิวเวลรี่แฟร์ที่บริษัทจัดขึ้นในครั้งนี้เสร็จสมบูรณ์แบบ ได้รับผลตอบรับที่ดี และได้สร้างชื่อเสียงใหญ่โต พนักงานทุกคนที่เข้าร่วมนิทรรศการต่างก็ได้รับโบนัส บรรยากาศภายใน บริษัท รื่นเริงมาก

​การประชุมของคณะกรรมการก็ได้ประปาศออกมาเช่นกัน จางฉีโม่ได้กลายเป็นผู้อำนวยการออกแบบอย่างเป็นทางการ รับหน้าที่รับผิดชอบทีมออกแบบเครื่องประดับของ บริษัท ทั้งหมด และยังมีสิทธิบุคลากร

​จางฉีโม่กลายเป็นคนที่โด่งดังมากในบริษัท แม้กระทั่งผู้ถือหุ้นบางคนที่เคยดูถูกครอบครัวของจางฉีโม่ ตอนนี้ก็หันมาชื่นชมเธอมาก และเปลี่ยนแปลงมุมมองใหม่

​ท้ายที่สุดแล้ว ยังไงเธอก็เป็นต้นเขย่าเงินต้นใหญ่ของบริษัท!

​King of the worldได้รับความนิยมอย่างมากในอุตสาหกรรมเครื่องประดับของเมืองตุงไห่ สินค้าชิ้นนี้นำมาสู่ชื่อเสียงและผลตอบรับมากมายแก่จางฉีโม่ มูลค่าที่ซ่อนอยู่ พื้นที่ให้ชื่นชม มากมายมหาศาลจนไม่อาจประมาณค่าได้

​ภายในบริษัท ซูนเหิงและจางจี้หนิงได้ลาหยุดพักร้อนไปแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่มีหน้ามาทำงานที่บริษัทอีก

​นอกจากนี้ ทีมนักออกแบบเครื่องประดับที่ติดตาม จางจี้หนิงก็ได้รับการทำความสะอาด หรือโอนย้ายเช่นกัน

​และครั้งก่อนที่บริษัทขอต้นฉบับของงานออกแบบความคิดสร้างสรรค์ ก็ได้มีผลงานคุณภาพสูงมากมายโผล่ออกมาในจิวเวลรี่แฟร์ มีผู้สร้างหลายคน ที่เป็นบุคลากรที่ได้รับการคัดกรองภายใต้จางฉีโม่สัมภาษณ์ด้วยตนเอง และเลื่อนตำแหน่งให้บุคลากรใหม่เข้าสู่แผนกออกแบบ

​โดยสรุป หลังจากที่ผ่านความวุ่นวายครั้งนี้ไปได้แล้ว จางฉีโม่ได้ครอบครองตำแหน่งสำคัญในบริษัทเครื่องประดับจางซื่อแล้ว และคุมทีมออกแบบเครื่องประดับคนเดียวโดยสิ้นเชิง โดยไม่ต้องอยู่ใต้อาณัติใคร

​นี้ก็เป็นชีวิตในอุดมคติของเธอเช่นกัน สามารถใช้ความสามารถ และสร้างสรรค์งานได้อย่างอิสระ

​ดังนั้น เธอจึงมีความสุขมากตลอดทั้งวัน

​เมื่อถึงช่วงบ่าย หลังจากที่หลินอิ่งและฉีโม่ทักทายกัน ก็เดินออกจากอาคารเป่าติ่งไป

​หลินอิ่งเพิ่งจะลงมาถึงชั้นล่างของตึก ชายหนุ่มในชุดสูทที่เป็นทางการคนหนึ่ง ก็รับเดินเข้ามาหาทันที

​“ประธานหลินสำหรับบ้านที่คุณได้จองไว้ที่ชุมชนสุ่ยหยวนเมื่อครั้งก่อน ขั้นตอนทั้งหมดได้ดำเนินการจนเสร็จสิ้นแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวอย่างนอบน้อม หยิบเอกสาร และกุญแจจำนวนมากออกมา

​“กุญแจของประตูทั้งหมดในบ้าน โฉนด แล้วก็บัตรเครดิตที่คุณเอาให้ผมครั้งก่อน เช่นเดียวกับเอกสารรายละเอียดการทำธุรกรรมกับ บริษัท ของเรา……” ชายในชุดสูทกล่าวอย่างช้าๆ

​หลินอิ่งพยักหน้า และรับของทุกอย่างไว้

​บ้านที่ได้จองไว้ที่ชุมชนสุ่ยหยวนเมื่อสองวันก่อนได้เสร็จเรียบร้อยแล้ว การทำงานของบริษัทโอเชี่ยนอสังหาริมทรัพย์เร็วเหมือนกัน

​“ประธานหลิน ผมคือผู้จัดการของบริษัทโอเชี่ยนอสังหาริมทรัพย์ เจียงฉี ครั้งก่อนเสี่ยวหลี่บอกว่า การต้อนรับของทางเราได้ละเลยคุณไป ผมจึงเดินทางมาขอโทษคุณโดยเฉพาะ ขอให้คุณอย่าได้ใส่ใจเลย” ชายหนุ่มในชุดสูทกล่าวอย่างสุภาพมาก

​หากไม่ได้ฟังการรายงานจากพนักงานขาย เขายังไม่รู้จักลูกค้าสุดพิเศษประธานหลินท่านนี้เลย

​มีบัตรที่สั่งทำเป็นพิเศษของธนาคารตุงไห่ยังไม่เพียงพอด้วยซ้ำที่จะให้ผู้จัดการทั่วไปอย่างเขาออกหน้าขอโทษด้วยตนเอง

​แต่เป็นเพราะตอนที่เขาช่วยจัดการขั้นตอนทุกอย่างให้หลินอิ่งนั้น ได้เห็นกับตาตัวเองแล้วว่ายอดเงินในบัญชีบัตรเครดิตของประธานหลินคนนี้นั้นมีมากกว่า 2 พันล้าน! ตกใจทันทีที่เห็นเลย

​ยิ่งไปกว่านั้น ประธานหลินคนนี้ยังได้โยนบัตรเครดิต และรหัสผ่านให้กับพนักงานแบบง่ายดาย ไม่จริงจังกับเงินกว่า 2 พันล้านนี้เลย ใจกล้ามากจริงๆ!

​หลินอิ่งพูดขึ้น “ไม่เป็นไร แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”

​เจียงฉีพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ประธานหลิน บริษัทโอเชี่ยนอสังหาริมทรัพย์ของเรายังมีอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์ และวิลล่าอีกมากมาย ไม่ทราบว่าคุณสนใจไหมครับ”

​หลินอิ่งคิดอยู่สักพัก พูดขึ้น “ถ้ามีโอกาสค่อยไปดูดีกว่า”

​“ครับประธานหลิน นี่คือนามบัตรของผม” เจียงฉีพูดขึ้นอย่างจริงจัง “หากคุณมีความต้องการในธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ สามารถโทรหาผมได้ทุกเมื่อ ผมจะจัดการเรื่องทุกอย่างให้คุณด้วยตัวเองเลย”

​หลินอิ่งพยักหน้ารับ เจียงฉียิ้ม และกำหมัดแน่น ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปที่ลานจอดรถ

​จัดการเก็บเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ทันทีที่หลินอิ่งเตรียมจะขึ้นไปบนตึก โทรศัพท์มือถือกลับดังขึ้น เป็นสายเรียกเข้าจากฉีโม่

​“หลินอิ่ง คุณรอฉันที่ใต้ตึกนะ ให้อู่เจิ้งขับรถมาด้วย วันนี้พ่อแม่ฉันมีงานเลี้ยงอาหารค่ำ พวกเราต้องไปกินข้าวตอนนี้เลย” ปลายสายจางฉีโม่พูดขึ้น

​“งานเลี้ยงอาหารค่ำอะไร?” หลินอิ่งถามขึ้น

​“ลุงหลี่ที่อยู่ชั้นล่างจะย้ายบ้านแล้ว เลยเชิญครอบครัวของเราไปกินข้าว ได้ยินว่าลูกสาวของลุงหลี่ได้แฟนหนุ่มที่ฐานะดี เป็นผู้จัดการ บริษัท อสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่ง และเป็นแฟนหนุ่มของเธอที่ซื้อบ้านหลังหนึ่งให้ครอบครัวเธอ” จางฉีโม่พูดขึ้น

“ได้ ผมเข้าใจแล้ว” หลินอิ่งพูดขึ้น

หลังจากวางสายไป หลินอิ่งก็บอกให้อู่เจิ้งขับรถมาทันที

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท