ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 39 เปรียบเทียบ

บทที่ 39 เปรียบเทียบ

บทที่ 39 เปรียบเทียบ

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป

แถวๆชุมชนเจียงฉือ ณร้านอาหารปาเซียน

นี่เป็นร้านอาหารชื่อดังที่เก่าแก่ในเมืองชิงหยูน อาหารมีความโดดเด่นมาก และเป็นที่รู้จักกันในนามปรมาจารย์ที่รวบรวมอาหารหลักแปดประอย่าง

หลินอิ่งและจางฉีโม่มาตามนัดตรงเวลา และขับรถไปที่ร้านอาหาร

อู่เจิ้งจอดรถไว้ที่ลานจอดรถ หลินอิ่งทั้งสองคนลงมาจากรถ

“ไอ พ่อกับแม่ก็ไร้สาระมากเลย ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าลุงหลี่เขาย้ายบ้านใหม่เพื่ออวดตัวเองว่า ลูกสาวหาแฟนหนุ่มที่มีความสามารถได้ พวกเขาก็ยังจะเรียกให้ฉันมา และยังให้ฉันขับรถมาด้วย” จางฉีโม่กล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมอง ราวกับว่าไม่เต็มใจที่จะมีส่วนร่วมในงานเลี้ยงอาหารค่ำนี้เลย

เธอไม่เข้าใจเลยว่าพ่อกับแม่คิดอะไรอยู่

แม้ว่าครอบครัวของลุงหลี่พวกเขา และครอบครัวของตัวเองเป็นเพื่อนบ้านกันมาหลายสิบปี นับว่าเป็นคนรู้จักที่เก่าแก่ แต่ว่า หลังจากที่พ่อถูกลุงใหญ่และลุงสามร่วมมือกันไล่ออกมาจากคณะกรรมการของบริษัทแล้ว สถานการณ์ก็แย่ลงมาก ทั้งครอบครัวของลุงหลี่ก็ไม่มีความอัธยาศัยอีกเลย แม้กระทั่งบังเอิญเจอกันยังถากถางกันอีกด้วย

เมื่อพบเจอกับสังคมที่ไร้ซึ่งน้ำใจต่อกันแบบนี้แล้ว พ่อแม่กลับยังจะไปกินข้าวกับครอบครัวของลุงหลี่อีก?

“ปกติมากนะ ตอนนี้คุณมีอนาคตที่ดีแล้ว พอกับแม่ก็เลยอยากเก็บหน้าคืนมาบ้าง” หลินอิ่งพูดขึ้น

“ไม่เข้าใจเลยว่าพวกเขาคิดได้ยังไง เฮ้อ สรุป น่ารำคาญจะตาย! ต้องเผชิญกับกลุ่มคนหน้าซื่อใจคดอีกแล้ว” จางฉีโม่กล่าวอย่างหมดหนทาง

หลินอิ่งหัวเราะเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร

สำหรับครอบครัวลุงหลี่ที่อยู่ชั้นล่าง เขาเองก็เข้าใจอยู่บ้าง

เป็นครอบครัวที่มีอิทธิพลด้านการมองคนมาก ทว่านี่ก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์เช่นกัน ไม่มีอะไรให้น่าพูดถึง

หลังจากนั้นไม่นาน คนทั้งสองก็เดินไปถึงหน้าประตูร้านอาหารปาเซียน

ลู่หย่าฮุ่ยสองสามีภรรยากำลังพูดคุยกับชายหญิงวัยกลางอยู่สองคน

“อ๊ะ เป็นฉีโม่มาแล้วเหรอ? นี่เป็นรถของเธอสินะ? ไม่เลวเลย ประมาณ 500,000 สินะ” หญิงวัยกลางคนหนึ่งเดินเข้ามา สำรวจรถของจางฉีโม่

“ฉีโม่ ได้ยินพ่อแม่เธอบอกว่า เธอได้เลื่อนตำแหน่งให้เป็นผู้อำนวยการของบริษัท? เรื่องจริงเหรอ?” ข้างๆคุณผู้หญิง ชายวัยกลางคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างสงสัย

“ลุงหลี่ ป้าหลิว” จางฉีโม่ไม่สนใจคำพูดที่เต็มไปด้วยหนามพวกนี้ และกล่าวทักทายอย่างเกรงใจ

“ไอ ฉีโม่ ตอนนี้เธอก็ยังใช้ชีวิตอยู่กับหลินอิ่งคนนี้อยู่อีกเหรอ?”หลี่เจิ้นกล่าวอย่างไม่ยี่หระ เหลือบมองไปที่หลินอิ่ง

ลู่หย่าฮุ่ยรีบพูดขึ้น “ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอะไรกัน ตอนนี้ฉีโม่เป็นถึงผู้อำนวยการบริษัท หลินอิ่งคอยตามทำงานให้เธออยู่ เป็นผู้ช่วย”

“อ๋อ? ผู้ช่วยเหรอ” หลี่เจิ้นส่ายหน้าแล้วพูดขึ้น “ผู้ชายก็ควรที่จะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง คอยตามช่วยงานภายใต้ผู้หญิง ดูเหมือนอะไรกัน?”

ลู่หย่าฮุ่ยไม่พูดอะไร จ้องไปที่หลินอิ่งอย่างดุดัน ดูเหมือนว่าจะไม่พอใจเป็นอย่างมากที่หลินอิ่งมาร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำด้วย

ติ๊ด!

ในตอนนี้เอง รถอาวดี้ A8 ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของนักธุรกิจก็ขับเข้ามา และบีบแตรเสียงดัง

คนขับในชุดสูทคนหนึ่งเดินไปเปิดประตูของที่นั่งด้านหลัง ชายหนุ่มและหญิงสาวที่แต่งตัวทันสมัยคู่หนึ่งก็เดินลงมา

“อ๊ะ หลานเอ๋อและฟางผิงมาแล้ว” หลี่เจิ้นพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม พลางมองไปที่คู่สามีภรรยาลู่หย่าฮุ่ยด้วยใบหน้าที่มีชัย “ขอแนะนำให้พวกคุณรู้จัก นี่คือแฟนหนุ่มของหลานเอ๋อ ฟางผิง เป็นผู้จัดการของ บริษัท อสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในเขตเมืองเป่ย และยังเป็นนักเรียนนอกอีกด้วย! นักเรียนยอดเยี่ยม!”

“หลานเอ๋อของเราหาแฟนได้ดีจริงๆ เห็นรถคันนี้หรือเปล่า ฟางผิงเป็นคนซื้อเอง อาวดี้ A8! ราคาแพ่งกว่าบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 5 มาก” หลี่เจิ้นพูดขึ้นอย่างโอ้อวด “ฟางผิงยังบอกอีกว่าจะเปลี่ยนรถใหม่แล้ว ส่วนคันนี้ก็ให้ฉันขับ ซิ่วเฟิง ก่อนหน้านี้คุณเคยบอกว่าฉีโม่เป็นถึงผู้อำนวยการบริษัทแล้ว เก่งอย่างนั้นเก่งอย่างนี้ ทำไมบริษัทถึงไม่ออกรถหรูให้เธอสักคันหละ?”

สีหน้าของคู่สามีภรรยาลู่หย่าฮุ่ย แย่ลงเล็กน้อย เมื่อกี้นี้ได้พูดโอ้อวดต่อหน้าเพื่อนบ้านที่เก่าแก่อย่างหลี่เจิ้นไปมากว่าลูกสาวฉีโม่เก่งอย่างนั้นเก่งอย่างนี้ สุดท้ายพอขึ้นมารถก็ถูกคนอื่นเขาเปรียบไปแล้ว

“สวัสดีครับ”

ชายหนุ่มสวมแว่นตา และชุดสูทแบรนด์เนมคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างช้าๆ เผชิญหน้ากับครอบครัวของจางฉีโม่เงยหน้าขึ้น และจมูกชี้ขึ้นไปบนฟ้า มีความรู้สึกเย่อหยิ่งอย่างเห็นได้ชัด

“ลุง ป้า พวกเราขึ้นไปกินข้าวกันเถอะ” ฟางผิงพูดขึ้นเสียงเรียบ ราวกับว่าไม่สนใจที่อยากจะเสวนากับครอบครัวของจางฉีโม่

“โอเค ขึ้นไปกินข้าวกัน” หลี่เจิ้นพูดขึ้นพลางหัวเราะเฮอเฮอ

ครอบครัวของหลี่เจิ้นขึ้นตึกไปก่อนแล้ว

“ฉีโม่ ที่ฉันให้เธอมาก็เพื่อเป็นหน้าเป็นตาให้พวกเรา ทำไมเธอถึงได้พาหลินอิ่งมาด้วย?” ลู่หย่าฮุ่ยพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ “เขามันเป็นตัวตลกของครอบครัวเรา! ให้คนอื่นเขาหัวเราะเยาะเอา! เธอลองดูลูกเขยของครอบครัวอื่นสิ เป็นหน้าเป็นตาขนาดไหน”

จางฉีโม่พูดขึ้น “ฉันเห็นว่าที่บ้านไม่ได้ทำอาหารไว้ ก็เลยให้หลินอิ่งตามมากินข้าวด้วยกัน”

“ไอหยา เธอให้เขาออกไปกินข้าวกล่องข้างนอกก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ?” ลู่หย่าฮุ่ยกล่าวอย่างไม่พอใจมาก “หลินอิ่ง อาหารเย็นนายจัดการหากินเองเถอะ ไม่ต้องตามขึ้นไปด้วยหรอก เกรงว่าหลี่เจิ้นจะหัวเราะเยาะอีกครั้ง”

“ช่างมันเถอะ ไหนๆก็มาแล้ว และกล่าวทักทายกันแล้วด้วย ถ้าไปตอนนี้จะไม่ยิ่งทำให้ถูกหัวเราะเยาะเอาเหรอ?” จางซิ่วเฟิงเองพูดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ “ขึ้นไปกันเถอะ”

ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีโอกาสอวดความสำเร็จของลูกสาวต่อหน้าคนรู้จักที่เก่าแก่ สุดท้ายก็ถูกหลินอิ่งทำเสียเรื่องจนได้

หลินอิ่งไม่พูดอะไร เดินตามครอบครัวของจางฉีโม่ขึ้นไปบนตึกร้านอาหารปาเซียน

ห้องVIP No. 8 บนชั้นสอง

ไวน์ และอาหารถูกเสิร์ฟไว้พร้อมแล้ว อาหารจานใหญ่สิบอย่าง เหมาไถสองขวด ครอบครัวของหลี่เจิ้นได้นั่งกันเรียบร้อยแล้ว

หลินอิ่งนั่งลงอย่างสงบ

“ฉีโม่ พวกเราไม่ได้เจอกันหลายปีแล้วเหมือนกัน หลายปีมานี้ฉันมัวแต่ทำงานอยู่ข้างนอก และได้ยินมาว่าเธอแต่งงานแล้ว?” ลูกสาวของหลี่เจิ้น หลี่หลานถามขึ้นด้วยความสงสัย

หลี่หลานเป็นคนผิวขาว และหน้าตาสะสวย ค่อนข้างสวยงาม แต่งตัวชุดแฟชั่นดูทันสมัย

“ฉีโม่เธอไม่ได้แต่งงาน” หลี่เจิ้นพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “แต่ไปหาลูกเขยเข้าบ้านมาได้ ดูสิ คนที่อยู่ข้างๆ เธอคนนั้นไง”

“อ๋า? ลูกเขยเข้าบ้าน?” หลี่หลานประหลาดใจเล็กน้อย สำรวจดูหลินอิ่ง

หลินอิ่งมีหน้าตาละเอียดอ่อน ดวงตาทั้งคู่ดูมีออร่าเป็นพิเศษ นอกเหนือจากนี้ ดูธรรมดาสามัญ การแต่งตัวก็พอถูไถไปได้ สวมกางเกงยีนส์ และเสื้อยืดสีขาวที่ขายตามข้างทาง ไม่มีนาฬิกาที่ดูดีเลยสักเรือน

นี้มันคนบ้านนอกชัดๆ

หลี่หลานมองไปที่หลินอิ่ง ด้วยสายที่ตารังเกียจเล็กน้อย

“ฉีโม่ สามีของเธอหลินอิ่งทำงานอะไรเหรอ?” หลี่หลานถามขึ้น

“แผงเนื้อย่าง ตอนนี้ได้ยินว่าไปเป็นผู้ช่วยให้ฉีโม่” หลี่เจิ้นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย

“อ๋อ”

หลี่หลานตอบอ๋อไปพลาง ท่าทางมีชัยขึ้นมา ที่แท้ก็เกาะผู้หญิงกินเมื่อคิดถึงแฟนหนุ่มที่ตัวเองหาได้แล้ว ดูมีระดับกว่าจางฉีโม่มาก

“ซิ่วเฟิง พวกเราก็เป็นเพื่อนบ้านกันมาเจ็ดแปดปีแล้ว ครั้งนี้ฉันจะย้ายบ้านแล้ว มา เรามาดื่มกันสักแก้ว” หลี่เจิ้นยกแก้วไวน์ขึ้น พูดขึ้นด้วยท่าทางมีชัย

“พูดตามตรงนะ ซิ่วเฟิง ที่ชุมชนเจียงฉือนี้เสื่อมโทรมมากแล้ว เหมือนที่ที่ให้คนอยู่ที่ไหนกัน? คุณเองก็ควรที่จะคิดหาทางซื้อบ้านสักหลังได้แล้ว” หลี่เจิ้นพูดอย่างเป็นกันเอง “หากยังอาศัยอยู่ที่นี่ต่อไป ไม่ใช่ให้คนอื่นเขาหัวเราะเยาะเอาหรอกเหรอ ญาติพี่น้องเพื่อนพ้องมาเยี่ยม มันน่าอับอายจะตายไป”

“แค๊กแค๊ก” ลู่หย่าฮุ่ยไอแห้งๆสองครั้ง พูดเปลี่ยนเรื่อง “เหล่าลี่ ช่วงนี้ได้ดูข่าวหรือเปล่า? ฉีโม่ของเราได้ลงหนังสือพิมพ์ชื่อดังหลายฉบับเลย สองวันก่อนได้ออกแบบเครื่องประดับชิ้นหนึ่ง ราคาสูงถึง 100 ล้านเลย”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท