ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 52 ตระกูลใหญ่แห่งนักสะสมวัตถุโบราณ

บทที่ 52 ตระกูลใหญ่แห่งนักสะสมวัตถุโบราณ

บทที่ 52 ตระกูลใหญ่แห่งนักสะสมวัตถุโบราณ

“นี่……” จางฉีโม่สีหน้าเปลี่ยนไปทันที

“อีกอย่าง เรื่องในวันนี้ฉันต้องคุยกับพ่อแม่เธอดี ๆ แล้วฉันว่า ตอนนี้ความคิดเธอมีปัญหา” จางฉีโม่พูดขึ้นสีหน้าจริงจัง “ฉันจะพูดกับพ่อแม่เธอให้ชัดเจน ให้พวกเขาไล่หลินอิ่งออกจากบ้านทันที”

หวางจื่อเหวินสายตาสว่างขึ้นทันที พ่อแม่ของจางฉีโม่เป็นอีกช่องทางนี่เอง

ครอบครัวจางฉีโม่ในตระกูลจางอยู่ในตำแหน่งไม่สูง ชีวิตลำบากจนชิน ได้ยินว่ายังถูกกดดันจากจางหงจูนกับจางหงซวน

ฐานะครอบครัวแบบนี้ เขาคุณชายใหญ่ตระกูลหวางมาจีบลูกสาวของพวกเขา พวกเขาคงดีใจจนขึ้นสวรรค์? คงจะรีบส่งจางฉีโม่เข้าอ้อมกอดของเขาเลย?

คิดแค่นี้ หวางจื่อเหวินรู้สึกดีใจ ตัวเองมีฐานะเงินทองที่ดีกว่าวางอยู่ตรงหน้า อยากได้ตัวจางฉีโม่ ได้ใจจางฉีโม่ วิธีมันก็มีเยอะแยะ

“ฉีโม่ ขอโทษนะ วันนี้กะทันหันเกินไป” หวางจื่อเหวินมองหน้าจางฉีโม่ด้วยรอยยิ้ม พูดขึ้น “วันหลังผมจะไปขอขมาถึงบ้าน พร้อมทั้งนำของขวัญไปมอบให้ทั้งสองท่าน”

หลินอิ่งมองหวางจื่อเหวินสีหน้าเรียบเฉย มุมปากยกขึ้น ดูท่าแล้วนายคนนี้คงไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ

“นี่?” จางฉีโม่สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าหวางจื่อเหวินจะทำแบบนี้ นี่มันจับไม่ปล่อยชัด ๆ

เธอรู้สึกกังวลขึ้นมา สำหรับนิสัยพ่อแม่แล้ว คุณชายมือหนึ่งในเมืองชิงหยูนอย่างหวางจื่อเหวินแบบนี้ ไม่รู้จะเยินยอกันขนาดไหน?

“ได้ละ ตามนี้แหละ เดี๋ยวฉันเอาของขวัญไป ส่งไปถึงบ้านฉีโม่เอง” จางหงอี้พูดตัดขึ้น “เรื่องบางอย่าง ผู้ใหญ่อย่างเราคุยกันเองดีกว่า”

จางฉีโม่ไม่รู้ควรพูดอะไรต่อ รู้สึกไม่พอใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

เมื่อมีคำพูดของจางหงอี้ สีหน้าของหวางจื่อเหวินค่อยดีขึ้นหน่อย ในเวลาเดียวกัน งานแลกเปลี่ยนนักสะสม ก็เริ่มขึ้นแล้ว

คนทั้งกลุ่มก็ตามหวางจื่อเหวินมาถึงกลางห้องโถงของหมิงเป่าซวน หลินอิ่งก็เดินตามหลังจางฉีโม่

ในห้องโถงหมิงเป่าซวนไฟตกแต่งอย่างสวยงาม โต๊ะไม้สีแดงจัดวางเรียงกัน เก้าอี้แบบโบราณ

คนที่เข้ามาในงานแล้วต่างเข้านั่งตามโต๊ะและพูดคุยกันสนุก บนโต๊ะยาวที่อยู่ตรงหน้าเต็มไปด้วยของมีค่าอัญมณีเต็มไปหมด แจกันหยก รูปภาพหนังสือต่าง ๆ

ในการตกแต่งของห้องโถงนี้ก็ตกแต่งแบบโบราณ ทำให้มีความรู้สึกเหมือนดั่งอยู่ในสวนบ้านตระกูลผู้ดีโบราณ

เสมือนอยู่ในสถานที่จริง

จางฉีโม่เดินตามหลังจางหงอี้ สายตามองดูอัญมณีต่าง ๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างสนใจ สายตาจ้องไปยังหยกที่มีรูปร่างแปลกตา อย่างสนอกสนใจ

สำหรับรูปภาพหนังสือ แจกันเครื่องปั้นดินเผาโบราณ เธอไม่มีความรู้เลย และไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย

“ฉีโม่ น้ารองบอกแล้วใช่ไหม ของมีค่าที่นี่ ไม่ค่อยได้เห็นข้างนอก ช่วยกระตุ้นไอเดียในการออกแบบของเธอได้ดีเลยใช่ไหมล่ะ?” จางหงอี้พูดด้วยรอยยิ้ม

“ใช่ค่ะ” จางฉีโม่พยักหน้าตอบ

อัญมณีหยกที่เหล่าผู้ดีไฮโซนำมาวางบนโต๊ะยาว ไม่ว่าจะเป็นหยกเขียวมรกต ปะการัง แร่เนไฟรต์ หินบลัดสโตน โรมาม่วง ล้วนแต่เป็นวัตถุแร่หินมีค่าทั้งนั้น

และการออกแบบล้วนเป็นแบบพิเศษไม่เหมือนใคร ล้วนมาจากช่างฝีมือชื่อดัง

ของพวกนี้ถ้าวางข้างนอกล้วนเป็นทรัพย์สินมีค่า น้อยมากที่จะเห็นมากองไว้แบบเยอะแยะมากมายขนาดนี้ สำหรับเธอแล้ว ก็ถือว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว ดีกว่าอยู่แต่บริษัทก้มหน้าก้มตาคิดค้นไอเดียการออกแบบสินค้า

“ฉีโม่ ชอบอันนี้ไหม? ให้คุณ” เวลานี้ หวางจื่อเหวินเดินมาพร้อมกับหีบเครื่องเผาธูปโบราณในมือ

“นี่เป็นเครื่องเผาธูปสมัยราชวงศ์ถัง ได้ยินว่าธูปที่ออกมาจากเครื่องเผานี้ ช่วยในการดูแลผิวพรรณของผู้หญิงได้ดีด้วย และของดีแบบนี้ ผมคิดว่ามันช่วยให้คุณมีไอเดียในการออกแบบได้มากทีเดียว”

พูดไป หวางจื่อเหวินก็มองไปที่หลินอิ่ง พูดอย่างได้ใจ “ผู้ช่วยหลิน ผมว่าถ้าฉีโม่รับของนี้ไว้ คุณคงไม่ว่าอะไรนะครับ”

หลินอิ่งมองไปที่เครื่องเผาธูป ยิ้มแล้วพูดว่า “ผมไม่ว่าอะไรหรอกครับ แต่ว่าคุณเอาของปลอมมา มันคงไม่ดีมั้งครับ”

“ของปลอม? นายพูดบ้าอะไร ขยะอย่างนาย จะรู้เรื่องของโบราณเหรอ?” หวางจื่อเหวินพูดด้วยความโมโห

“เหอะ ๆ ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องของโบราณหรอกครับ แต่ก็ดีกว่าตระกูลหวางของคุณเยอะ ถ้าคุณไม่เชื่อ ก็เปิดดูด้านใน ดูว่ามีคำว่าราชวงศ์หมิงแกะสลักอยู่ด้านในไหม?” หลินอิ่งยิ้ม พูดพร้อมกับชี้ไปที่ของชิ้นนั้น

“นายพูดบ้าอะไร ของชิ้นนี้ฉันเอามาจากตระกูลหวางโดยเฉพาะ ไอ้ขยะอย่างนายว่ามันเป็นของปลอม?” หวางจื่อเหวินพูดไปด่าไป

แต่ถึงพูดแบบนี้ เขาเห็นหลินอิ่งพูดอย่างมั่นใจแบบนี้ ในใจก็รู้สึกไม่มั่นใจขึ้นมา

เขาจึงเปิดเครื่องเผาธูปออก วางไว้ใต้แสงไฟส่องดู ใบหน้าก็ซีดไปทันที

ใต้ฐานเครื่องเผาธูปนั้น มีตัวหนังสือราชวงศ์หมิงสลักไว้จริงด้วย แต่ตัวหนังสือสองตัวนี้ ยังเป็นหนังสือจีนตัวตัด

ซึ่งหมายความว่า นี่มันเป็นงานศิลปะสมัยใหม่ ไม่ใช่ของในสมัยราชวงศ์หมิงด้วยซ้ำ

หวางจื่อเหวินโกรธจนหน้าเขียว เขานึกไม่ถึง ของโบราณที่ตนนำมาจากบ้าน จะเป็นของปลอม

แต่เขาไม่เชื่อว่าหลินอิ่งดูออกเพราะมีความสามารถหรอก ก็แค่บังเอิญเดาถูกแค่นั้น

ในเมื่อหลินอิ่งอวดดีแบบนี้ วันนี้ ก็ต้องให้มันเสียหน้าอย่างสิ้นเชิง

นิ่งไปครู่หนึ่ง เขาก็จ่อจงไปในตัวของหลินอิ่ง

“เมื่อกี้นายบอกว่านายรู้เรื่องของโบราณ รู้ดีกว่าตระกูลหวางของฉันงั้นเหรอ?”

พูดไป เขาก็ลุกขึ้นหยิบไมค์ เดินไปกลางห้องโถง กระแอมสองที

“แค่ก แค่ก ทุกท่านครับ ผมขอแนะนำผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุโบราณให้ทุกท่านรู้จักครับ”

“เมื่อครู่ ผู้เชี่ยวชาญท่านนี้บอกว่าความรู้เรื่องของโบราณของเขา เก่งกว่าตระกูลหวางของผม ตอนนี้ผมอยากดูว่าเขาเก่งขนาดไหน”

“อะไรนะ? คุณชายหวางล้อเล่นรึเปล่าเนี่ย? มีคนแบบนี้ด้วย? กล้าพูดขนาดนี้เลย?”

หวางจื่อเหวินแค่เปิดปาก ก็ดึงดูดความสนใจของทุกคน คนอยู่รอบข้างก็เข้ามาให้สนใจ

“ไม่ใช่ คุณชายหวาง คุณก็เกิดในตระกูลนักสะสมของโบราณแล้ว ความรู้สึกซึ้ง ใครคนไหนกันเก่งขนาดนี้? กล้าพูดแบบนี้ต่อหน้าคุณ? หรือว่านักสะสมทั้งหมดในเมืองชิงหยูนก็ไม่อยู่ในสายตา ถึงกล้าพูดว่าตัวเองรู้ดีที่สุด?”

“แวดวงตระกูลทั้งหลายในเมืองชิงหยูน มีใครไม่รู้ว่าตระกูลหวางเป็นตระกูลใหญ่ในวงการนักสะสมของโบราณ ของที่สะสมในบ้านล้วนเป็นวัตถุโบราณระดับประเทศเลย เด็กหนุ่มคนนี้ จะเหิมเกริมไปไหม”

แค่เสี้ยวนาที จากการดึงดูดความสนใจของหวางจื่อเหวิน สายตาของแขกที่มาในงานทั้งหมด ล้วนมองไปที่หลินอิ่ง

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท