ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 57 อับอายขายหน้า

บทที่ 57 อับอายขายหน้า

บทที่ 57 อับอายขายหน้า

“ใช่ ต้องเอามันให้ตาย ไอ้ขยะนี่คิดว่าตัวเองเคยฝึกมวยมา ถึงกล้าต่อยผมกับเสิ่นห้าว มันนี่รนหาที่ตาย” ฉินเฟยพูดขึ้นด้วยความโมโห

เสิ่นห้าวก็สีหน้าโมโห พูดขึ้นด้วยความโมโห “ไอ้ลูกเขยหน้าตัวเมียของตระกูลจางยังกล้ารังแกพวกเรา เป็นอริกับพวกเรา รนหาที่ตาย”

“พี่หวาง วันนี้ขายหน้าขนาดนี้ พวกเราต้องเอาคืน ไม่อย่างนั้นอีกหน่อยพวกเราจะยกหัวไม่ขึ้นในวงการผู้ดี” อูฉู่เวินก็พูดขึ้นด้วยความโกรธ “ไอ้หน้าตัวเมียนี่มันนึกว่ามันรู้เรื่องของสะสมหน่อย ก็กล้าอวดดีต่อหน้าพวกเรา น่าโมโหจริง ๆ”

เรื่องที่เกิดขึ้นในหมิงเป่าซวนวันนี้ ทำให้พวกเขาขายหน้าขนาดนี้ โดนไอ้ขยะนี้ตบหน้าจนไม่รู้เอาหน้าไปไว้ไหนแล้ว

ถ้าไม่กู้หน้ากลับมา อีกหน่อยพวกเขาคงวางตัวในวงการผู้ดีลำบากแล้ว

“เสิ่นห้าว นายไปจัดคนมาเดี๋ยวนี้ อย่าให้มันเดินออกจากซอยนี้ได้” หวางจื่อเหวินพูดขึ้นสีหน้าเย็นชา

“ครับ” เสิ่นห้าวหยิบโทรศัพท์ออกมาโทร แล้วเดินไปที่ทางเดินอย่างโมโห

“จางฉีโม่นี่ก็ไม่รู้จักเจียมตัว พี่หวางดีด้วยขนาดนี้ ให้โอกาสขนาดนี้แล้ว ยังกล้ามาปฏิเสธอีก” ฉินเฟยพูดขึ้น

หวางจื่อเหวินสบถออกมา คิดถึงหน้าตาอันสวยงามของจางฉีโม่ ก็เริ่มมีความคิดอันเลวร้ายในหัวขึ้นมา

“คอยดู ซักวัน กูจะทำให้จางฉีโม่มาเป็นของเล่นในมือกู ทำให้ไอ้ขยะหลินอิ่งมันดูว่า เมียที่มันไม่ได้แตะต้อง กูเอามาเล่นยังไง” หวางจื่อเหวินพูดขึ้นเสียงเย็นชา สายตาเต็มไปด้วยแววชั่วร้าย

“ใช่ ในเมื่อจางฉีโม่ไม่รับความหวังดีไว้ พี่หวางต้องมีวิธีได้เธอมาไว้ในกำมือแน่นอน” อูฉู่เวินพูดขึ้น

หวางจื่อเหวินยากที่จะระงับอารมณ์โกรธหันหลังกลับ มองไปที่สายตาของแขกที่งานที่มองมาด้วยความแปลก หน้ารู้สึกแดงร้อนขึ้นมา

เขารีบเดินออกมาหน้าห้องโถงกับพวกฉินเฟย ไม่อยากอยู่ให้ขายหน้าอีก

“ฮา ฮา ฮา คุณชายสองของตระกูลหวางยังมีวันขายขี้หน้าแบบนี้ด้วยเหรอ?”

“อื้อหือ เรื่องนี้ให้พูดออกไป ตระกูลหวางมีคนแบบนี้อยู่? อีกหน่อยยังมีหน้าไปเรียกตัวเองว่าตระกูลนักสะสมอีกไหม?”

รอจนหวางจื่อเหวินจากไปแล้ว แขกในงานต่างก็นินทาหัวเราะเยาะขึ้นมา พูดคุยกันอย่างสนุกเลย

……

อีกฝั่งหนึ่ง หลินอิ่งกับจางฉีโม่ก็ลงมาชั้นล่างแล้ว อู่เจิ้งก็รีบขับรถมารอที่ข้างทางแล้ว

“หลินอิ่ง เมื่อกี้คุณดูออกได้อย่างไร? แล้วคุณไม่เรียนรู้เรื่องความรู้เกี่ยวกับวัตถุโบราณตั้งแต่เมื่อไหร่?” จางฉีโม่อดสงสัยไม่ได้จึงถามขึ้นมา

เธอนึกไม่ถึงเลยว่าหลินอิ่งที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีของเธอมานานหลายปี มีความรู้เรื่องวัตถุโบราณลึกซึ้งขนาดนี้ ซึ่งทำให้เธอเหลือเชื่อ

ขนาดนักสะสมผู้เชี่ยวชาญในหมิงเป่าซวนตั้งเยอะแยะ ยังชื่นชมและเลื่อมใสเขาเต็มที่ ยังมีคนเชิญเขาเข้าเป็นที่ปรึกษาในบริษัท?

นี่ยังเป็นหลินอิ่งที่เธอคิดว่าธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษอยู่ไหม?

หลินอิ่งพูดขึ้น “นี่คือความลับ”

“เชอะ” จางฉีโม่กลอกตาใส่เขา แต่สีหน้าค่อนข้างครุ่นคิด หลินอิ่งในใจเธอ ยิ่งอยู่ยิ่งลึกลับแล้ว……

“แต่ว่า เรื่องมันไม่ง่ายแค่นี้นะ คุณดูถูกพวกหวางจื่อเหวิน ให้พวกเขาขายหน้าต่อหน้าผู้คนเยอะแยะ พวกเขาต้องไม่ปล่อยไปง่าย ๆ แน่” จางฉีโม่พูดขึ้นอย่างกังวล “นั่นมันตระกูลใหญ่อย่างตระกูลหวาง ขนาดตระกูลจางทั้งตระกูลยังไม่มีใครกล้าขัดใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบ้านฉัน เฮ้อ……”

“ไม่จำเป็นไปกังวลกับเรื่องที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นหรอก” หลินอิ่งพูดขึ้นเสียงเรียบ “เรื่องในอนาคต ไว้พูดในอนาคต”

“เหอะ ไม่ต้องกังวล ช่างกล้าพูดนะ”

เวลานี้ จางหงอี้ก็เดินมาถึงชั้นล่างด้วยอารมณ์โกรธ มองหลินอิ่งตาลุกเป็นไฟ

“เมื่อกี้แกกล้าสั่งสอนผู้ใหญ่อย่างฉันเหรอ ยังรู้มารยาทอยู่ไหม?” จางหงอี้ตำหนิด้วยความโกรธ “แกคิดว่ามีความรู้เกี่ยวกับของโบราณแค่นี้ ก็อวดดีต่อหน้าคนตระกูลหวางได้เหรอ? ยังเปิดโปงเขาต่อหน้าคนมากมาย ทำให้จื่อเหวินขายหน้า แกรู้ไหมว่าแกทำอะไรลงไป? ตระกูลหวางเป็นคนที่แกหาเรื่องได้เหรอ?”

“ฉีโม่ ฉันบอกเธอนะ ไอ้ขยะนี่สักวันจะทำให้บ้านเธอเดือดร้อน” จางหงอี้พูดขึ้น “คิดว่าตัวเองมีความรู้นิดหน่อย ก็ไม่ดูว่าตัวเองเป็นใคร ยังกล้าไปหาเรื่องคนตระกูลหวาง ทำให้จื่อเหวินขายหน้าที่หมิงเป่าซวน มันมีปัญญาไปรองรับความโกรธของตระกูลหวางไหม?”

“สู้คนอื่นไม่ได้ ขายขี้หน้า ยังมีหน้าไปโกรธคนอื่น?” หลินอิ่งส่ายหัว พูดขึ้นอย่างเย็นชา

“แกจะซวยถึงบ้านแล้วรู้ไหม? ไอ้โง่ ยังอวดดีอีก ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่รู้จักแยกแยะสถานการณ์” จางหงอี้มองหลินอิ่งพูดขึ้นอย่างเย็นชา “กล้าหาเรื่องคนตระกูลหวาง คนในเมืองชิงหยูนไม่มีใครช่วยแกได้แล้ว รอตายเถอะ”

“ฉีโม่ เรื่องในวันนี้ ฉันจะคุยกับพ่อแม่เธออย่างชัดเจน ต้องรีบออกห่างจากไอ้ขยะหลินอิ่งทันที ห้ามไม่ให้อยู่ที่ตระกูลจางไม่อย่างนั้นจะซวยไปด้วย ฉันจะไปบ้านเธอเดี๋ยวนี้” จางหงอี้พูดอย่างจริงจัง

“นี่มัน?” จางฉีโม่ไม่รู้ควรพูดอะไรดี

พูดไป จางหงอี้ก็เดินขึ้นรถของเธอ จะรีบไปหาพ่อแม่ของฉีโม่ ต้องคิดหาวิธีถีบหลินอิ่งออกไปจากตระกูลจาง

“ฉีโม่ คุณกลับบ้านก่อน” หลินอิ่งพูดขึ้นจริงจัง “อู่เจิ้ง ส่งผู้อำนวยการจางกลับบ้าน ระหว่างทางถ้ามีปัญหาอะไรรีบโทรหาฉัน”

“วางใจครับ ประธานหลิน ผมจะส่งประธานจางกลับไปอย่างปลอดภัย” อู่เจิ้งนั่งอยู่ที่นั่งคนขับ สีหน้าจริงจัง

“คุณยังไม่กลับบ้านเหรอ?” จางฉีโม่ถามขึ้นอย่างสงสัย

“ผมยังมีธุระ เสร็จธุระแล้วก็กลับ คุณกลับไปก่อน” หลินอิ่งยิ้มพูด

จางฉีโม่สีหน้าสงสัย ไม่ได้พูดอะไร ขึ้นไปนั่งในรถ

อู่เจิ้งสตาร์ทรถ ขับออกไปจากซอยโบราณ

หลินอิ่งมองรถเก๋งสีดำที่จอดอยู่ตรงข้าม มุมปากโค้งขึ้น เดินเข้าไปในซอยเล็ก ๆ ซอยหนึ่ง

ต๊ะ!

ภายในซอยมืดไม่มีคนเลย ลมพัดแรงมา หลินอิ่งสีหน้าเย็นชา จุดบุหรี่ขึ้นมา

ฮวา!

เวลานี้ รถเก๋งสีดำขับเข้ามาในซอยเล็ก เสียงล้อเสียดสีดังมา

แป๊บเดียว มีชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ใส่สูทห้าหกคนเดินลงมาจากรถ ใบหน้าโหดเหี้ยม สายตาเย็นเยือก เดินเข้ามาหาหลินอิ่ง

ในมือของชายฉกรรจ์ ต่างจับท่อนเหล็กไว้ เดินเข้ามาอย่างโหดเหี้ยม

“ไอ้ขยะอย่างแกยังกล้ามารอพวกเราที่นี่? อยากรนหาที่ตายเหรอ” ชายฉกรรจ์ในชุดสูทคนหนึ่งพูดขึ้น

“อยากอยู่ในเมืองชิงหยูน ใครที่แกยุ่งไม่ได้ก็ไม่รู้ใช่ไหม?” ชายฉกรรจ์ในชุดสูทพูดขึ้นเย็นชา “เอาให้ขามันพิการทั้งสองข้าง”

ชายฉกรรจ์ชุดสูทโบกมือ ในมือจับด้ามเหล็กวิ่งนำก่อน ชายอีกห้าหกคนก็วิ่งตามอย่างไม่ลังเล มือจับด้ามเหล็กวิ่งเข้าหาหลินอิ่ง

ชายพวกนี้ท่าทีกระฉับกระเฉง ไม่ใช่คนธรรมดา ถูกฝึกมาโดยเฉพาะ เป็นบอดี้การ์ดระดับดีทีเดียว

หลินอิ่งสีหน้าไม่เปลี่ยน ดับบุหรี่ในมือ

จากนั้น เขาขยับร่างอย่างเร็ว เสมือนเสือลงจากเขา จนมีเสียงลม

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท