ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 58หวางหงหลิง

บทที่ 58หวางหงหลิง

บทที่ 58หวางหงหลิง

ปัง ปัง ปัง

มีเสียงการต่อสู้ดังออกมาจากในซอย จากนั้นก็เป็นเสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด

คึก!

หลินอิ่งหักท่อนเหล็กไปท่อนหนึ่ง ฟาดไปที่ซี่โครงหัวหน้าชายฉกรรจ์ เสียงดังปังทำให้เขากระเด็นไปไกลสิบเมตร ล้มลงไปกองอยู่บนพื้น

เวลาไม่ถึงสามนาที ชายฉกรรจ์ทั้งหกคนก็กองราบอยู่บนพื้น เลือดอาบเต็มปาก มองหลินอิ่งด้วยสายตาไม่น่าเชื่อ

พวกเขายังไม่ได้แตะต้องตัวหลินอิ่งด้วยซ้ำ ก็โดนต่อยจนเลือดอาบปาก กองอยู่บนพื้น

“แกทำไมถึงได้ต่อยเก่งขนาดนี้?” คนที่เป็นหัวหน้ามือจับซี่โครงที่ถูกฟาดจนหัก เจ็บจนพูดไม่ออกถามขึ้น

เขาฝึกมาจากหน่วยรบพิเศษ ยังเคยเข้าร่วมปฏิบัติการจับผู้ก่อการร้าย ฝีมือไม่ธรรมดาแน่ รู้วิธีการต่อสู้ต่าง ๆ แต่ไม่คิดว่าต่อหน้าหลินอิ่งที่ลือกันว่าไม่มีน้ำยา กลับไม่ได้แตะต้องแม้แต่มือ

และสำหรับบอดี้การ์ดที่เขาพามา ก็เคยเป็นทหารอยู่เมืองนอก เข้าสู้พร้อมกันแต่กลับแพ้ไม่ถึงนาที

นี่มันต่อยเก่งเกินไปแล้ว

“กลับไปบอกนายแก ถ้ากล้ามายุ่งกับครอบครัวจางฉีโม่ ฉันจะทำให้มันตายไร้ที่ฝัง” หลินอิ่งพูดขึ้นเสียงเรียบ

ในน้ำเสียงเย็นเรียบนี้ มีความน่าเกรงขามจนน่ากลัว

“นายอย่าคิดว่ามีวิชาการต่อสู้หน่อย แล้วจะไปเป็นอริกับคุณชายหวางได้นะ” หัวหน้าชายฉกรรจ์พูดขึ้น อย่างไม่ยอมแพ้ “สมัยนี้มันไม่ใช่สมัยที่ใช้กำปั้นแก้ปัญหาแล้ว แกก็ไปคุกเข่าขอโทษคุณชายหวางโดยดีเถอะ เผื่อจะรอดไม่ต้องตาย”

หลินอิ่งเดินขึ้นไป เสียงดังปัง เท้าเหยียบไปที่หัวของชายฉกรรจ์ รองเท้าเหยียบหน้าเขาให้แนบไปกับพื้น

“แก แกกล้า” ชายฉกรรจ์สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ พูดข่มขู่ขึ้น “จะบอกแกให้นะ กับแค่กำปั้นแก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตระกูลหวางมีอำนาจใหญ่โตขนาดไหน ยังกล้ารุกราน นายไม่มีจุดจบที่ดีแน่”

เพียะ

มือหลินอิ่งฟาดไปทีหนึ่ง ชายฉกรรจ์ถึงกับเลือดอาบปาก

“แกคิดว่าตระกูลหวางเป็นอะไร?” หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา ถีบชายฉกรรจ์กลิ้งไปไกลหลายสิบเมตร เจ็บจนร้องโอดโอย

“ไสหัวไป”

“แกคอยดู แกรอรับอารมณ์โทสะจากคุณชายหวางได้เลย” ชายฉกรรจพูดขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้

พูดไป เหล่าชายฉกรรจ์ก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นเดินขาเป๋ เดินไปที่รถเก๋งสีดำอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ

เอี๊ยด

เวลาเดียวกัน ในซอยก็มีรถหรูบูกัตติ เวย์รอน สีแดงขับเข้ามา เสียงดังก้องทั้งซอย

ชายเสื้อดำสองคน สีหน้าเย็นชาเดินลงมาจากรถ วิ่งเข้ามาทั้งหมัดทั้งเข่า ต่อยบอดี้การ์ดชุดสูทที่หวางจื่อเหวินจัดมานอนราบไปกับพื้นอีกรอบ เจ็บปวดจนร้องเสียงดัง

เห็นได้ชัดว่า ชายชุดดำสองคนนี้ ฝีมือดีกว่าบอดีการ์ดกลุ่มนั้นเยอะ

“หนึ่งนาที ออกไปจากซอยนี้เดี๋ยวนี้” ชายชุดดำพูดขึ้นสีหน้าเย็นชา

บอดี้การ์ดชุดสูทกลุ่มนั้นสีหน้าไม่พอใจ ขึ้นรถไปอย่างลุกลี้ลุกลน ขับรถออกจากซอยทันที

“คุณหลิน ไม่ได้ถูกไอ้ขยะพวกนั้นทำร้ายนะครับ?” ชายชุดดำเดินเข้ามาพูดขึ้นอย่างเกรงใจ

หลินอิ่งขมวดคิ้ว มองไปที่รถบูกัตติ เวย์รอน สีแดงราคายี่สิบล้าน เหมือนมีเงาคนนั่งอยู่ในรถ

เขาไม่ได้จัดคนมาในซอยโบราณ

ชายชุดดำสองคนนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่บอดี้การ์ดธรรมดา วิชาต่อสู้ระดับสูง หลินอิ่งดูออก พวกเขาเป็นนักสู้ที่เคยเห็นเลือดมาแล้ว หรือพูดได้ว่า น่าจะเป็นนักฆ่าที่เคยทำงานที่ต่างประเทศมาแล้ว

ชายเสื้อดำสังเกตตัวหลินอิ่ง สีหน้ามีอาการประหลาดใจ พูดขึ้นว่า “คิดว่าถึงว่าคุณหลินยังรู้วิชาการต่อสู้ด้วย บอดี้การ์ดพวกนี้ก็ถือว่าฝีมือดีแล้ว ยังทำร้ายคุณหลินไม่ได้เลย”

อึ้งไปสักครู่ ชายชุดดำยกมือชี้ แล้วพูดขึ้น “คุณหลิน คุณหนูใหญ่เรียนเชิญครับ”

หลินอิ่งถามอย่างสงสัย “พวกนายเป็นคนของใคร?”

“คุณหลินวางใจได้ พวกเราไม่ได้มาร้าย มาเพื่อปกป้องคุณโดยเฉพาะ” ชายชุดดำพูดขึ้นจริงจัง “คุณหนูใหญ่ของเราชื่นชมคุณมาก คุณเข้าไปพบก็รู้เองว่าเป็นใคร”

“ผมไม่สนใจ” หลินอิ่งพูดขึ้นเสียงเรียบ หันหลังเดินจากไป

ชายชุดดำสองคนขมวดคิ้ว สบตากัน แล้วขยับตัวอย่างรวดเร็ว ขวางทางของหลินอิ่งไว้

“คุณหลินกรุณาอย่าให้พวกผมทำงานลำบากเลยนะครับ” ชายชุดดำพูดขึ้น

“ทำไม? คุณหนูของพวกนายให้เชิญแขกแบบนี้เหรอ?” หลินอิ่งถามขึ้น

“คุณหลิน อย่างนั้นก็ต้องขออภัยด้วยครับ”

ชายชุดดำทั้งสองสีหน้าเยือกเย็นขึ้น จ้องหน้าหลินอิ่งอย่างเย็นชา ในสายตาเต็มไปด้วยความบีบบังคับ

“เหอะ” หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา ไม่ได้มองชายสองคนด้วยซ้ำ สายตามองไปที่รถบูกัตติ เวย์รอนสีแดงที่จอดอยู่อีกฝั่ง

“ถ้ามือของนายสองคนยังขยับเข้าไปในกระเป๋าอีกนิด” พูดถึงตรงนี้ หลินอิ่งก็มองไปที่ชายสองคนนั้น “กล้าหยิบปืนออกมา ฉันรับประกัน พวกนายมีชีวิตอยู่ไม่เกินสิบวินาทีแน่”

“นี่มัน”

ชายชุดดำทั้งสองสีหน้าตกใจ เหมือนโดนฟ้าผ่า นิ่งอยู่กับที่ รู้สึกวูบที่แผ่นหลัง มือจับปืนที่อยู่ในเสื้อแล้ว แต่ไม่กล้าขยับ

คุณหลินคนนี้ดูแล้วธรรมดา แต่ทำให้พวกเขารู้สึกกดดันอย่างหนัก ถึงจะเป็นคนโหดที่รับจ้างฆ่าคนที่เมืองนอก เวลานี้หัวใจก็เต้นแรง ท้องไส้ปั่นป่วน เหมือนคนที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาไม่ใช่คน แต่เป็นสัตว์ดุร้าย

พวกเขาไม่สงสัยแม้แต่น้อย ถ้ากล้าเอาปืนออกมา ต้องมีคนตายทันที

“พวกนายลงไปก่อน ฉันขอคุยกับคุณหลินเอง”

ขณะเดียวกัน เสียงผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นมา เสียงไพเราะ แต่ในน้ำเสียงที่ไพเราะนี้ก็เต็มไปด้วยความสง่าผ่าเผย

หญิงสาวใส่ชุดกี่เพ้าสีแดง เดินลงมาจาก รถบูกัตติ เวย์รอนคันนั้น เธอรูปร่างสวยงาม เดินมาอย่างช้า ๆ ระหว่างเดินมา ท่าทางสง่า สวยงามอย่างหาที่เปรียบยาก

หลินอิ่งมองดูหญิงสาวที่เดินมาในชุดกี่เพ้า

ปกติแล้ว ชุดกี่เพ้าไม่ใช่ผู้หญิงคนไหนก็ใส่ได้ แต่ผู้หญิงคนนี้ กลับใส่แล้วดูสง่างามสวยหรู

หญิงสาวในชุดกี่เพ้ารูปร่างสูงสง่าสวยหรู ผิวขาวสวยไร้ตำหนิ มีเสน่ห์เย้ายวน

เธอมีหน้าตาที่งดงาม ดวงตาหมวยสวยมีเสน่ห์ ผิวสวย หน้าตายังดีอ่อนเยาว์ เสน่ห์งดงาม แต่มีความน่าเกรงขาม ทำให้คนไม่กล้ามองหน้า เหมือนมีแรงกดดันบางอย่าง

ผู้หญิงที่ไม่ธรรมดา

“คุณหลิน ฉันขอแนะนำตัวหน่อยนะคะ ฉันชื่อหวางหงหลิง” หวางหงหลิงยิ้มหวานพูดขึ้น รอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยเสน่ห์

“หวางหงหลิง?” หลินอิ่งเหมือนคิดอะไรออก “ถ้าผมจำไม่ผิด คุณก็เป็นคนของตระกูลหวาง?”

ชื่อของหวางหงหลิงนี้โด่งดังมากในเมืองชิงหยูน ไม่มีใครไม่รู้จัก คุณหนูใหญ่ไข่มุกในฝ่ามือของตระกูลหวาง ได้รับความรักจากคุณปู่ที่สุด

สองปีที่แล้ว หวางหงหลิงก็เหมือนจางฉีโม่ ได้รับยกย่องว่าเป็นสาวงามที่สวยที่สุดในหนึ่งในสามของเมืองชิงหยูน

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท