ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 56 ตกตะลึงทั่วกัน

บทที่ 56 ตกตะลึงทั่วกัน

บทที่ 56 ตกตะลึงทั่วกัน

“นายพูดอะไร? แจกันที่ฉันซื้อเป็นของปลอม?” หวางจื่อเหวินตะลึงไปก่อน จากนั้นก็ยิ้มขึ้นมา เสมือนได้ยินคำที่ตลกที่สุดในโลก

“ผู้เชี่ยวชาญหลิน แจกันที่ฉันซื้อ ทุกคนในงาน ไม่มีใครดูออกว่ามันมีปัญหา ฉันอยากฟังดู ว่านายดูจากตรงไหนว่ามันเป็นของปลอม?”

หวางจื่อเหวินมองหลินอิ่งด้วยสายตาเย็นชา “ฉันขอบอกนายนะ ถ้าวันนี้นายพูดอะไรไม่ออก นายต้องขอโทษทุกคนในงานนี้ ตรงนี้ และยอมรับว่านายก็แค่ไอ้ขี้โม้ที่ไร้ประโยชน์”

“ไม่อย่างนั้น วันนี้ไม่มีคนปล่อยนายไปจากหมิงเป่าซวนแน่” น้ำเสียงของหวางจื่อเหวินเต็มไปด้วยความข่มขู่

“ใช่ พวกเราผู้เชี่ยวชาญตั้งเยอะก็เห็นด้วยแล้ว ก็ไม่เห็นมีปัญหาตรงไหน นายดูตรงไหนว่าเป็นของปลอม? ถ้าพูดไม่ออก วันนี้นายต้องคลานออกจากหมิงเป่าซวน” เสิ่นห้าวพูดอย่างอวดดี

หลินอิ่งไม่สะทกสะท้าน จีบชาคำหนึ่ง พูดขึ้น “มั่นใจนะว่าจะให้ฉันยืนยันว่ามันเป็นของปลอม?”

“ได้ นายพูดเหมือนมั่นใจเหลือเกิน ถ้าอย่างนั้นก็ยืนยันให้ฉันดู ว่ามันปลอมตรงไหน” หวางจื่อเหวินถามอย่างสงสัย สีหน้าดูถูก

ถ้วยเฉิงหว้าคู่นี้ ทุกคนที่อยู่ในงานล้วนบอกเป็นของจริง แต่แค่ไม่กล้าพูด แต่เขาดูอย่างชัดเจนแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่ทุ่มเงินมากมายซื้อไว้ ยังจะให้เป็นของขวัญวันเกิดคุณปู่อีก

แค่ไอ้ขยะอย่างหลินอิ่ง ยังกล้าตัดสินว่าเป็นของปลอม ยื่นหน้าตัวเองมาให้คนอื่นตบแท้ ๆ

“ถ้าอย่างนั้นก็ให้นายสมหวัง”

หลินอิ่งยิ้มหน้าเฉย วางแก้วน้ำชาในมือ ดีดแก้วออกไปทันที แก้วน้ำชาใบเล็กปลิวอยู่กลางอากาศ

เพล้ง

แก้วชาใบเล็กลอยออกไป ชนเข้ากับแจกันคู่นั้น ทะลุแจกันที่ดูเป็นงานประณีตอย่างดีทั้งสองชิ้นทันที เสียงแตกเพล้งดัง แตกกระจายไปทั่ว บนโต๊ะไม้สีแดง

“นี่มัน”

“พระเจ้า ของล้ำค่าขนาดนี้โดนนายทำแตกหมด”

เมื่อเห็นชิ้นส่วนแจกันแตกกระจายบนโต๊ะไม้แดง ทุกคนในงานก็ตกตะลึงกันหมด อุทานเสียงออกมา

ภาพเหตุการณ์นี้ ทำให้พวกเขาตกตะลึงกันหมด

ในงานเงียบสนิท……

“นาย ไอ้ขยะนายทำอะไรของนาย?” หวางจื่อเหวินหน้าเขียว มองหน้าหลินอิ่งอย่างโมโห ตาลุกเป็นไฟ “นายกล้าทำสมบัติฉันแตก? นายชดใช้ด้วยชีวิตนายเถอะ”

“นายมันรนหาที่ตาย กล้าทำของขวัญที่พี่หวางเตรียมจะให้คุณปู่แตก ในเมืองชิงหยูนไม่มีใครช่วยนายได้แล้ว ไปคุกเข่าให้พี่หวาง” ฉินเฟยตะโกนชี้หน้าหลินอิ่ง

“นายคิดว่าพวกเราไม่กล้าลงมือกับนายเหรอ? ต่อยจนนายคุกเข่าลงค่อยว่ากัน” เสิ่นห้าวลุกขึ้นกะทันหัน

ฉินเฟยกับเสิ่นห้าว สุนัขเสียขาทั้งสอง ท่าทางดุดันเดินเข้าไปจะไปสั่งสอนไอ้ขยะมารนหาที่ตาย

ทั้งสองคนพุ่งเข้าไป ไม่พูดอะไรสักคำยกหมัดจะต่อยไปที่หน้าหลินอิ่ง

หลินอิ่งยังนั่งอยู่กับที่ชิมชาอย่างใจเย็น ยิ้มอย่างเย็นชา ยกมือข้างหนึ่งขึ้น ตบไปสองที

เพียะ เพียะ

เสียงดังฟังชัดสองที ฉินเฟยกับเสิ่นห้าวเหมือนโดนค้อนทุบ ถูกตบจนตัวหมุน ตัวเอียงยืนไม่อยู่ ถอยออกไปเป็นสิบเมตร แล้วล้มลงที่พื้น ร้องเสียงดังออกมา

ฉินเฟยกับเสิ่นห้าวจับหน้าที่แสบร้อนอย่างไม่น่าเชื่อ จ้องหน้าหลินอิ่งตาลุกเป็นไฟ แต่ก็ไม่กล้าลุกขึ้นไปต่อยหลินอิ่งอีก

บนหน้าทั้งสองคนมีรอยนิ้วมือห้าคิ้วอย่างชัดเจน ดูแล้วตลกมาก

“หลินอิ่ง แกอยากตายใช่ไหม?” หวางจื่อเหวินมองหน้าหลินอิ่งอย่างดุดัน โมโหอย่างลุกเป็นไฟ “ทำสมบัติฉันแตกไม่พอ ยังกล้าตบคนของฉันอีก?”

หลินอิ่งลุกขึ้นจากที่นั่ง เดินไปที่โต๊ะไม้แดง หยิบเศษแจกันขึ้นมาชิ้นหนึ่ง

“แจกันใบนี้ด้านในเมื่อเผาเสร็จแล้ว ลายเส้นที่ออกมาตามธรรมชาติ มันสวยเกินไป เพียงพอที่จะตัดสินได้ว่ามันเป็นของปลอมที่ทำขึ้นมาใหม่” หลินอิ่งพูดขึ้นอย่างใจเย็น

พูดจบ ก็โยนเศษแจกันในมือไปที่ตัวของหวางจื่อเหวิน

หวางจื่อเหวินสีหน้าตะลึง เก็บเศษแจกันขึ้นมาดู จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไป เหมือนอั้นอะไรอยู่ หน้ากลายเป็นสีแดงก่ำ

แขกในงานต่างก็ยังอยู่ในอาการตกใจ เมื่อได้ยินคำพูดของหลินอิ่งแล้ว รีบคืนสติกลับมา แล้วเดินไปที่โต๊ะไม้แดง สังเกตเศษแจกันอย่างสีหน้าจริงจัง

“คุณหลินพูดถูกแล้ว ถ้าดูจากเศษแจกันแล้วก็แยกออกมาแล้ว เศษพวกนี้ลายด้านในชัดเจน เรียบเนียน สมบูรณ์แบบเกินไป งานเครื่องปั้นของคนโบราณ ล้วนเป็นงานที่ใช้มือปั้นขึ้นมา เผาออกมาแล้วลายเส้นด้านจากเป็นลายธรรมชาติที่ไม่เหมือนกัน เป็นไปไม่ได้ที่จะสมบูรณ์แบบอย่างนี้ นี่เป็นของใหม่” ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งพูดขึ้นจริงจัง

“เป็นของปลอมจริง ๆ ทำของเลียนแบบได้ดีขนาดนี้ ถ้าไม่ทุบให้แตกแล้วดูลายด้านใน จะแยกออกได้อย่างไร?” ผู้เชี่ยวชาญสูงอายุใส่แว่นท่านหนึ่งพูดขึ้นอย่างตะลึง ในมือมีกล้องขยายกำลังส่องดูเศษแจกัน

“หลินอิ่งไม่ได้พูดไปเลื่อย เป็นของปลอมจริง ถ้าอย่างนั้นเขาดูจากด้านนอกออกได้อย่างไร? สายตาดีจนน่าทึ่งเกินไปแล้ว?” ชายวัยกลางคนพูดขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความตะลึง

“ไม่น่าเชื่อ ฝีมือนี่เทียบเท่าของจริงได้ขนาดนี้ นี่ถ้าไม่ทุบให้แตก ใครจะไปรู้ว่าเป็นของปลอม? แต่หลินอิ่งเพียงแค่มองอยู่ไกล ๆ ก็ดูออกได้ นี่เป็นไปได้อย่างไร? เขากล้าทุบแตกได้อย่างไร นี่มันของราคาสามสิบล้าน กล้าตัดสินขนาดนี้? นี่เขาช่างกล้าเหลือเกิน?” คุณชายท่านหนึ่งพูดขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

คนที่อยู่ในงานเมื่อรู้ผลแล้ว ต่างก็มีสีหน้าตกใจ มองหน้าหลินอิ่งอย่างไม่น่าเชื่อ

หลินอิ่งพูดขึ้นเสียงเรียบ “ผมว่าคงไม่มีคนสงสัยแล้วนะ? เศษแจกันที่แตกแล้ว แม้กระทั่งคนเพิ่งเข้าวงการนี้ ก็ต้องแยกออกว่าเป็นของปลอม”

พูดถึงตรงนี้ หลินอิ่งสีหน้าเย็นชามองไปที่หวางจื่อเหวินที่หน้าซีด

“ใช้เงินสามสิบล้านซื้อของปลอม ยังพูดเหมือนมีความรู้อย่างไม่รู้จักอาย? ความสามารถกับสายตาแค่นี้ ยังกล้าพูดว่าตัวเองมาจากครอบครัวนักสะสม?” หลินอิ่งพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “ก็แค่คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ยังกล้าพูดว่าตัวเองมาจากครอบครัวผู้ดี? ตลกคนทั้งโลกแล้ว”

พูดจบ หลินอิ่งก็ดูไปที่จางหงอี้ ยิ้มอย่างเย็นชา “ นี่เหรอหลานที่คุณยกย่องนักหนา? รอบรู้ทั้งจีนและตะวันตก? ขนาดเรื่องใช้เงินสามสิบล้านซื้อของปลอมยังทำขึ้นมาได้? โง่ยิ่งกว่าหมูกว่าหมา คนแบบนี้เหรอที่จะแนะนำให้ฉีโม่?”

“แก แก” หวางจื่อเหวินโมโหจนหน้าแดง สายตาลุกเป็นไฟมองไปที่หลินอิ่ง อยากโต้แย้งกลับไป แต่ก็พูดอะไรไม่ได้

จางหงอี้ก็หน้าแดงก่ำ คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะเกิดเหตุการณ์ขายหน้าแบบนี้ขึ้นได้

“หลินอิ่ง แกคิดว่าแค่โชคดีรู้จักของโบราณชิ้นหนึ่งก็ทำอะไรได้ กู กู ยังไงแล้วกูก็รวยกว่ามึง” หวางจื่อเหวินโดนตอกกลับจนไม่รู้จะพูดอะไร ภายใต้สีหน้าแดงก่ำ ก็พูดออกมาได้แค่นี้

หลินอิ่งยิ้มพูด “อย่าไปพูดว่านายมาจากครอบครัวผู้ดีอันดับหนึ่งในเมืองชิงหยูน ร่ำรวยมหาศาล ให้เงินนายเป็นร้อย ร้อยล้าน โง่ยิ่งกว่าหมูกว่าหมา ยังคู่ควรกับทรัพย์สมบัติพวกนี้เหรอ?”

คำพูดของหลินอิ่ง เหมือนเข็มทิ่มลงกลางอกเขาทีละเข็ม ทำให้เขารู้สึกเจ็บจนหายใจไม่ออก มีความรู้สึกอยากมุดเข้าไปในดินทันที

ทำไมถึงดูพลาดได้ สามสิบล้านซื้อสองปลอม ถึงแม้จะมีเงินแค่ไหน ในใจก็เหมือนเลือดอาบ

อีกอย่าง เงินจ่ายไปก็แล้วไป ยังขายหน้าจนไม่มีชิ้นดี กลายเป็นตัวตลกในงานเลย

นี่มันใช้เงินขายหน้าตัวเองจริง ๆ

หวางจื่อเหวินสมองมึนไปหมด ใกล้จะระเบิดออกมาแล้ว

นี่มันเป็นเหตุการณ์ที่มีผู้คนสังคมผู้ดีทั้งหลายรวมตัวกันที่หมิงเป่าซวน

ก่อนหน้านี้ก็โอ้อวดต่างๆ นานา ต่อหน้าจางฉีโม่ และยังดูถูกหลินอิ่งอย่างบ้าคลั่ง ปรากฏแค่ไม่นาน ก็โดนไอ้ขยะอย่างหลินอิ่งด่าจนไม่เหลือชิ้นดีแล้ว ยังไม่สามารถคัดค้านได้

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท