บทที่ 64 มอบกุญแจ
“เธอต้องการให้ผมรับตำแหน่งรองผู้จัดการของบริษัทคอลเลกชัน เงินเดือนหนึ่งล้าน แต่ผมได้ปฏิเสธแล้ว” หลินอิ่งพูดตามความจริงขึ้น
“ห่ะ นายพูดโกหกได้ใหญ่โตเหลือเชื่อจริงๆ!” ลู่หย่าฮุยหัวเราะประชด “หน้าอย่างนายหรอ? คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลหวางถึงกับมาหานายด้วยตัวเอง แถมยังเชิญให้นายรับตำแหน่งรองผู้จัดการบริษัท และให้เงินเดือนหนึ่งล้านด้วย? แต่นายปฏิเสธหรอ?”
“หลินอิ่ง นายอย่าทำเหมือนกับพวกเราไม่เคยผ่านโลกมาก่อนเลย!” จางซิ่วเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงทุ่มต่ำขึ้น “ตำแหน่งรองผู้จัดการ เงินเดือนหนึ่งล้าน แถมคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลหวางออกหน้าพูดเองหรอ? ฉันว่าตรรกะความคิดของนายมีปัญหา!”
“นายเห็นฉันกับแม่ยายของนายเป็นคนโง่เขลาหรอ?” จางซิ่วเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองขึ้น “ถึงแม้ฉันจะมีชีวิตไม่ได้ดีมากอะไร แต่โชคดีที่เกิดมาในตระกูลจาง เลยมีมิตรไมตรีต่อสหาย แถมผ่านประสบการณ์ทางสังคมมากมาย!”
“นายเพิ่งมีเรื่องกับลูกชายคนเดียวของน้องคนที่สี่ของตระกูลหวางมา หวางจื่อเหวิน แต่กลับบอกว่า คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลหวางเชิญนายไปรับตำแหน่งรองผู้จัดการภายใต้บริษัทตระกูลหวางหรอ?”
จางซิ่วเฟิงอารมณ์ขึ้นทันที เพราะรู้สึกเหมือนกับหลินอิ่งกำลังดูถูกปัญญาของคนรอบครัวตัวเอง!
“ฉันขอพูดคำพูดที่ไม่น่าฟังสักหน่อยนะ หลินอิ่ง ตอนนี้นายเป็นไอ้ขยะที่มีชื่อเสียงของเมืองชิงหยูน ใครต่างไม่กล้าเข้าใกล้” จางซิ่วเฟิงพูดอย่างไม่เกรงใจว่า “หากใครเข้าใกล้นายก็หมายถึงมีปัญหากับหวางจื่อเหวินด้วย เข้าใจไหม? แล้วใครกันเพื่อนาย จะยอมไปมีปัญหากับคนตระกูลหวาง?”
จางซิ่วเฟิงกับลู่หย่าเฟิงพูดจนเมื่อยปากเสร็จ ก็เดินกลับไปนั่งบนโซฟาด้วยอารมณ์คับแค้นคับใจ ขณะเดียวกันก็แค่นเสียงประชดต่อหลินอิ่ง
แน่นอนว่า นี่ไม่ใช่เพราะปัญหาเรื่องด้านสติปัญญา แต่พวกเขาคาดไม่ถึงต่างหาก ใครต่างก็คิดไม่ถึงว่า หลินอิ่งทำให้หวางหงหลิงออกหน้าเชิญเขาทำงานด้วยตัวเอง……
“หลินอิ่ง นายยังคงไม่ยอมรับว่าแอบไปมีผู้หญิงข้างนอก เรื่องนี้ฉันไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว!” จางซิ่วเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงทุ่มต่ำขึ้น “ฉันขอบอกนายให้รู้เลยว่า เพราะเรื่องที่นายก่อขึ้นมา ทำให้ครอบครัวของฉันต้องแบกรับความกดดันมหาศาล!”
“ฉีโม่ คุณลุงใหญ่ ป้าสอง ลุงสาม ลุงสี่ ฮาหก น้องสะใภ้เจ็ด!” ยิ่งจางซิ่วเฟิงพูดก็ยิ่งรู้สึกโมโห “ทุกคนต่างโทรศัพท์มาถามฉัน ถามฉันว่าทำไมปล่อยให้นายไปหมิงเป่าซวน? ทำไมถึงไปมีเรื่องกับตระกูลหวาง ต้องการสร้างความลำบากต่อพวกเขาหรอ?”
“แล้วจะให้ฉันเอาหน้าไปไว้ที่ไหน! ซึ่งล้วนเกิดมาจากสิ่งที่นายก่อขึ้นมาทั้งหมด ตอนนี้ฉันกลายเป็นที่เกลียดชังของตระกูลแล้ว!” จางซิ่วเฟิงพูดความคับอกคับใจ “พวกเขากำลังข่มขู่ครอบครัวของพวกเรา!”
“หลินอิ่ง หวางจื่อเหวินออกปากพูดออกมาแล้ว!” ลู่หย่าฮุยพูดต่อว่า “ตอนนี้เขากำลังข่มขู่ตระกูลจางอยู่ และซักถามว่าหลินอิ่งเป็นคนของตระกูลจางหรือเปล่า? แถมยังเพิ่มความกดดันให้กับลุงใหญ่ และลุงสามของฉีโม่ด้วย หากพูดตามความจริงว่านายยังเป็นคนของตระกูลจางล่ะก็เขาคงถีบวงตระกูลของพวกเราทั้งหมดออกจากเมืองชิงหยูนแน่!”
“ดังนั้นพวกเขาเลยโทรศัพท์มากดดันครอบครัวของพวกเรา”
“ครอบครัวของเราใกล้กลายเป็นคนที่มีปัญหากับตระกูลจางแล้ว” จางซิ่วเฟิงส่ายหน้าถอนหายใจ “ฉันแก่มากแล้ว ไม่มีความสามารถอะไรแล้ว และไม่ถือสาคนตระกูลจางจะมาดูถูกฉันด้วย แต่ฉีโม่ยังอายุน้อย และยังอยู่ในช่วงวัยทำงาน ตอนนี้ตระกูลจางกำลังเกลียดชังครอบครัวเราอยู่ แล้วแบบนี้ในอนาคตเธอจะอยู่เมืองชิงหยูนได้ยังไงล่ะ?”
“ฉีโม่พึ่งพาความสามารถด้วยการออกแบบอัญมณีเลี้ยงตัวเอง แล้วต้องไปขอร้องใครหรอครับ?” หลินอิ่งพูดขึ้น “ส่วนเรื่องญาติพี่น้องตระกูลจาง หลายปีมานี้พวกเขาเคยช่วยฉีโม่อะไรมาบ้างหรอครับ? ทำไมต้องสนใจความคิดเห็นของพวกเขาด้วย?”
“นายพูดได้ง่ายดายมากเลย! นายรู้ไหมว่า ฉีโม่ก็มีแซ่จางเหมือนกัน!” จางซิ่วเฟิงรู้สึกไม่พอใจกับสิ่งที่หลินอิ่งพูด เลยพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองว่า “งั้นไม่พูดถึงเรื่องอิทธิพลของลุงใหญ่และป้าสองของฉี่โม่ มาพูดเรื่องที่นายมีปัญหากับหวางจื่อเหวินกันดีกว่า นายรู้ไหมว่าตระกูลหวางมีอิทธิพลในเมืองชิงหยูนมาแค่ไหน?”
“ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง! รู้แต่หาเรื่อง แอบมีผู้หญิงนอกบ้าน ฉันมองนายผิดไปจริงๆ นึกว่านายเป็นผู้ช่วยแล้วจะกลายเป็นคนมีความก้าวหน้า แต่ดูตอนนี้แล้ว นายได้โผล่หางจิ้งจอกออกมาแล้ว!”
“ช่างเถอะ ซิ่วเฟิง คุณไม่ต้องพูดกับเขาแบบนี้หรอก พูดอะไรเขาก็คงไม่ฟัง ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ทำเรื่องสร้างความลำบากให้พวกเราหรอก” ลู่หย่าฮุยพูดด้วยความไม่พอใจ “เขามีความคิดยังไง คุณยังมองไม่ออกอีกหรอ? เขาไม่สนใจใครหรอก ถึงยังไงเกิดเรื่องคนก็ไปหาพี่ใหญ่ตระกูลจาง ไม่ใช่มาหาเขาสักหน่อย จริงไหม?”
“ฉันขอบอกนายเลยนะ หลินอิ่ง นับตั้งแต่วันนี้ นายอย่าคิดเกาะฉีโม่กินอีก และอย่าคิดเอานามของตระกูลจางไปหาเรื่องข้างนอกอีก!” ลู่หย่าฮุยพูดขึ้น
“คืนนี้ป้าสองของฉีโม่จะมาหา พวกเราจะมาปรึกษาหารือกัน” ลู่หย่าฮุยพูดขึ้น “ฉันคิดว่า หวางจื่อเหวินคนนั้นเป็นเด็กรู้เรื่อง เขาบอกกับป้าสองของฉีโม่ว่า ไม่ชอบขี้หน้าหลินอิ่งเท่านั้น แต่ไม่ได้ต้องการเล่นงานคนอื่น แถมยังฝากบอกพี่สองด้วยว่า ไม่ต้องกังวล ขอเพียงหลินอิ่งออกจากตระกูลจาง เขาจะไม่สร้างความลำบากต่อคนอื่น”
“อีกอย่างหวางจื่อเหวินมีใจต่อฉีโม่มากด้วย ขนาดของขวัญเจอกันยังเป็นสินค้าฟุ่มเฟื้อยราคาหลายล้านเลย กระเป๋า นาฬิกาล้วนมีครบหมด” ลู่หย่าฮุยชี้ตรงกล่องที่ตกแต่งอย่างสวยงามใบหนึ่ง พร้อมพูดต่อว่า “นายคิดเอาเองล่ะกันว่า นายเคยซื้ออะไรให้กับฉีโม่บ้าง? นายอยู่ที่ตระกูลจางมาสองปีกว่าแล้ว ทำอะไรบ้างหรอ? เทียบกับหวางจื่อเหวินคนนอกที่เพิ่งรู้จักยังไม่ได้เลย แถมยังไปหาเรื่องเขาอีกหรอ?”
“นายดูฉีโม่สิ นับตั้งแต่นายเข้ามาอยู่ในบ้านของพวกเรา นายเคยซื้อสร้อยคอสักชิ้นไหม?” ลู่หย่าฮุยถอนหายใจเล็กน้อย พร้อมกับจ้องมองหลินอิ่งด้วยสายตาแหลมคม “ฉีโม่เองก็ดีกับนายมาก สามารถฉุดนายเข้ามาทำงานรองผู้จัดการในบริษัท แต่นายล่ะ คิดไม่ถึงหลังจากเกิดเรื่อง กลับไปหมกมุ่นกับผู้หญิงนอกบ้าน! แค่คิดฉันก็อยากจะระเบิดอารมณ์จริงๆ!”
หลินอิ่งส่ายหน้า และไม่พูดอะไร
“ถึงยังไงตอนนี้คุณท่านก็ไม่ได้อยู่แล้ว ดังนั้นคำสัญญาในตอนนั้นไม่นับว่ามีผล”ลู่หย่าฮุยพูดขึ้น พร้อมหันหน้ามองจางซิ่วเฟิง “ซิ่วเฟิง คุณคิดว่ายังไง? ดำเนินการตามการปรึกษากับป้าสองของฉีโม่ล่ะกันนะ”
จางซิ่วเฟิงขมวดคิ้ว และหันหน้ามองหลินอิ่ง
“เรื่องนี้ผมไม่ขอออกความคิดเห็น คุณปรึกษากับลูกสาวล่ะกัน” จางซิ่วเฟิงถอนหายใจและพูดขึ้น ในตอนนั้นคุณท่านเป็นคนเอาหยินอิ่งมาเข้าอยู่ในตระกูลจาง ในฐานะลูกชายของเขา เขาไม่สามารถขัดคำสั่งของพ่อได้!
“โอเค! ฉีโม่ งั้นเรื่องของวันนี้ลูกเป็นคนตัดสินใจ” ลู่หย่าพูดด้วยสีหน้าจริงจังขึ้น และไม่ให้โอกาสฉีโม่พูดเลย .
เธอจ้องมองหลินอิ่งด้วยสีหน้าเย็นชา และพูดประชดประชันว่า : “หลินอิ่ง ถ้าหากนายยังมีจิตสำนึก ก็น่าจะรู้ตัวว่าไม่ควรสร้างความลำบากต่อพวกเราอีก นายบอกว่า คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลหลงเชิญนายทำงานรองผู้จัดการที่บริษัทไม่ใช่หรอ? งั้นนายก็ไปสิ บ้านของฉันไม่เหมาะสมกับนายหรอก”
“นายชอบหมกมุ่นกับผู้หญิงข้างนอกไม่ใช่หรอ งั้นนายก็ไปเลยสิ นายไปฉลองวันเกิดกับผู้หญิงเมื่อคืนเลยสิ” ลู่หย่าฮุยพูดอย่างไม่ใยดีขึ้น “ถึงยังไงตอนนี้นายมีความสามารถแล้ว ไม่ต้องพึ่งพาให้ฉีโม่เลี้ยงดูแล้วไม่ใช่หรอ?”
“หลินอิ่ง นายเอากุญแจบ้านคืนให้ฉันตอนนี้เลย” ลู่หย่าฮุยพูดด้วยสีหน้าจริงจังขึ้น