ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 64 มอบกุญแจ

บทที่ 64 มอบกุญแจ

บทที่ 64 มอบกุญแจ

“เธอต้องการให้ผมรับตำแหน่งรองผู้จัดการของบริษัทคอลเลกชัน เงินเดือนหนึ่งล้าน แต่ผมได้ปฏิเสธแล้ว” หลินอิ่งพูดตามความจริงขึ้น

“ห่ะ นายพูดโกหกได้ใหญ่โตเหลือเชื่อจริงๆ!” ลู่หย่าฮุยหัวเราะประชด “หน้าอย่างนายหรอ? คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลหวางถึงกับมาหานายด้วยตัวเอง แถมยังเชิญให้นายรับตำแหน่งรองผู้จัดการบริษัท และให้เงินเดือนหนึ่งล้านด้วย? แต่นายปฏิเสธหรอ?”

“หลินอิ่ง นายอย่าทำเหมือนกับพวกเราไม่เคยผ่านโลกมาก่อนเลย!” จางซิ่วเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงทุ่มต่ำขึ้น “ตำแหน่งรองผู้จัดการ เงินเดือนหนึ่งล้าน แถมคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลหวางออกหน้าพูดเองหรอ? ฉันว่าตรรกะความคิดของนายมีปัญหา!”

“นายเห็นฉันกับแม่ยายของนายเป็นคนโง่เขลาหรอ?” จางซิ่วเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองขึ้น “ถึงแม้ฉันจะมีชีวิตไม่ได้ดีมากอะไร แต่โชคดีที่เกิดมาในตระกูลจาง เลยมีมิตรไมตรีต่อสหาย แถมผ่านประสบการณ์ทางสังคมมากมาย!”

“นายเพิ่งมีเรื่องกับลูกชายคนเดียวของน้องคนที่สี่ของตระกูลหวางมา หวางจื่อเหวิน แต่กลับบอกว่า คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลหวางเชิญนายไปรับตำแหน่งรองผู้จัดการภายใต้บริษัทตระกูลหวางหรอ?”

จางซิ่วเฟิงอารมณ์ขึ้นทันที เพราะรู้สึกเหมือนกับหลินอิ่งกำลังดูถูกปัญญาของคนรอบครัวตัวเอง!

“ฉันขอพูดคำพูดที่ไม่น่าฟังสักหน่อยนะ หลินอิ่ง ตอนนี้นายเป็นไอ้ขยะที่มีชื่อเสียงของเมืองชิงหยูน ใครต่างไม่กล้าเข้าใกล้” จางซิ่วเฟิงพูดอย่างไม่เกรงใจว่า “หากใครเข้าใกล้นายก็หมายถึงมีปัญหากับหวางจื่อเหวินด้วย เข้าใจไหม? แล้วใครกันเพื่อนาย จะยอมไปมีปัญหากับคนตระกูลหวาง?”

จางซิ่วเฟิงกับลู่หย่าเฟิงพูดจนเมื่อยปากเสร็จ ก็เดินกลับไปนั่งบนโซฟาด้วยอารมณ์คับแค้นคับใจ ขณะเดียวกันก็แค่นเสียงประชดต่อหลินอิ่ง

แน่นอนว่า นี่ไม่ใช่เพราะปัญหาเรื่องด้านสติปัญญา แต่พวกเขาคาดไม่ถึงต่างหาก ใครต่างก็คิดไม่ถึงว่า หลินอิ่งทำให้หวางหงหลิงออกหน้าเชิญเขาทำงานด้วยตัวเอง……

“หลินอิ่ง นายยังคงไม่ยอมรับว่าแอบไปมีผู้หญิงข้างนอก เรื่องนี้ฉันไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว!” จางซิ่วเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงทุ่มต่ำขึ้น “ฉันขอบอกนายให้รู้เลยว่า เพราะเรื่องที่นายก่อขึ้นมา ทำให้ครอบครัวของฉันต้องแบกรับความกดดันมหาศาล!”

“ฉีโม่ คุณลุงใหญ่ ป้าสอง ลุงสาม ลุงสี่ ฮาหก น้องสะใภ้เจ็ด!” ยิ่งจางซิ่วเฟิงพูดก็ยิ่งรู้สึกโมโห “ทุกคนต่างโทรศัพท์มาถามฉัน ถามฉันว่าทำไมปล่อยให้นายไปหมิงเป่าซวน? ทำไมถึงไปมีเรื่องกับตระกูลหวาง ต้องการสร้างความลำบากต่อพวกเขาหรอ?”

“แล้วจะให้ฉันเอาหน้าไปไว้ที่ไหน! ซึ่งล้วนเกิดมาจากสิ่งที่นายก่อขึ้นมาทั้งหมด ตอนนี้ฉันกลายเป็นที่เกลียดชังของตระกูลแล้ว!” จางซิ่วเฟิงพูดความคับอกคับใจ “พวกเขากำลังข่มขู่ครอบครัวของพวกเรา!”

“หลินอิ่ง หวางจื่อเหวินออกปากพูดออกมาแล้ว!” ลู่หย่าฮุยพูดต่อว่า “ตอนนี้เขากำลังข่มขู่ตระกูลจางอยู่ และซักถามว่าหลินอิ่งเป็นคนของตระกูลจางหรือเปล่า? แถมยังเพิ่มความกดดันให้กับลุงใหญ่ และลุงสามของฉีโม่ด้วย หากพูดตามความจริงว่านายยังเป็นคนของตระกูลจางล่ะก็เขาคงถีบวงตระกูลของพวกเราทั้งหมดออกจากเมืองชิงหยูนแน่!”

“ดังนั้นพวกเขาเลยโทรศัพท์มากดดันครอบครัวของพวกเรา”

“ครอบครัวของเราใกล้กลายเป็นคนที่มีปัญหากับตระกูลจางแล้ว” จางซิ่วเฟิงส่ายหน้าถอนหายใจ “ฉันแก่มากแล้ว ไม่มีความสามารถอะไรแล้ว และไม่ถือสาคนตระกูลจางจะมาดูถูกฉันด้วย แต่ฉีโม่ยังอายุน้อย และยังอยู่ในช่วงวัยทำงาน ตอนนี้ตระกูลจางกำลังเกลียดชังครอบครัวเราอยู่ แล้วแบบนี้ในอนาคตเธอจะอยู่เมืองชิงหยูนได้ยังไงล่ะ?”

“ฉีโม่พึ่งพาความสามารถด้วยการออกแบบอัญมณีเลี้ยงตัวเอง แล้วต้องไปขอร้องใครหรอครับ?” หลินอิ่งพูดขึ้น “ส่วนเรื่องญาติพี่น้องตระกูลจาง หลายปีมานี้พวกเขาเคยช่วยฉีโม่อะไรมาบ้างหรอครับ? ทำไมต้องสนใจความคิดเห็นของพวกเขาด้วย?”

“นายพูดได้ง่ายดายมากเลย! นายรู้ไหมว่า ฉีโม่ก็มีแซ่จางเหมือนกัน!” จางซิ่วเฟิงรู้สึกไม่พอใจกับสิ่งที่หลินอิ่งพูด เลยพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองว่า “งั้นไม่พูดถึงเรื่องอิทธิพลของลุงใหญ่และป้าสองของฉี่โม่ มาพูดเรื่องที่นายมีปัญหากับหวางจื่อเหวินกันดีกว่า นายรู้ไหมว่าตระกูลหวางมีอิทธิพลในเมืองชิงหยูนมาแค่ไหน?”

“ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง! รู้แต่หาเรื่อง แอบมีผู้หญิงนอกบ้าน ฉันมองนายผิดไปจริงๆ นึกว่านายเป็นผู้ช่วยแล้วจะกลายเป็นคนมีความก้าวหน้า แต่ดูตอนนี้แล้ว นายได้โผล่หางจิ้งจอกออกมาแล้ว!”

“ช่างเถอะ ซิ่วเฟิง คุณไม่ต้องพูดกับเขาแบบนี้หรอก พูดอะไรเขาก็คงไม่ฟัง ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ทำเรื่องสร้างความลำบากให้พวกเราหรอก” ลู่หย่าฮุยพูดด้วยความไม่พอใจ “เขามีความคิดยังไง คุณยังมองไม่ออกอีกหรอ? เขาไม่สนใจใครหรอก ถึงยังไงเกิดเรื่องคนก็ไปหาพี่ใหญ่ตระกูลจาง ไม่ใช่มาหาเขาสักหน่อย จริงไหม?”

“ฉันขอบอกนายเลยนะ หลินอิ่ง นับตั้งแต่วันนี้ นายอย่าคิดเกาะฉีโม่กินอีก และอย่าคิดเอานามของตระกูลจางไปหาเรื่องข้างนอกอีก!” ลู่หย่าฮุยพูดขึ้น

“คืนนี้ป้าสองของฉีโม่จะมาหา พวกเราจะมาปรึกษาหารือกัน” ลู่หย่าฮุยพูดขึ้น “ฉันคิดว่า หวางจื่อเหวินคนนั้นเป็นเด็กรู้เรื่อง เขาบอกกับป้าสองของฉีโม่ว่า ไม่ชอบขี้หน้าหลินอิ่งเท่านั้น แต่ไม่ได้ต้องการเล่นงานคนอื่น แถมยังฝากบอกพี่สองด้วยว่า ไม่ต้องกังวล ขอเพียงหลินอิ่งออกจากตระกูลจาง เขาจะไม่สร้างความลำบากต่อคนอื่น”

“อีกอย่างหวางจื่อเหวินมีใจต่อฉีโม่มากด้วย ขนาดของขวัญเจอกันยังเป็นสินค้าฟุ่มเฟื้อยราคาหลายล้านเลย กระเป๋า นาฬิกาล้วนมีครบหมด” ลู่หย่าฮุยชี้ตรงกล่องที่ตกแต่งอย่างสวยงามใบหนึ่ง พร้อมพูดต่อว่า “นายคิดเอาเองล่ะกันว่า นายเคยซื้ออะไรให้กับฉีโม่บ้าง? นายอยู่ที่ตระกูลจางมาสองปีกว่าแล้ว ทำอะไรบ้างหรอ? เทียบกับหวางจื่อเหวินคนนอกที่เพิ่งรู้จักยังไม่ได้เลย แถมยังไปหาเรื่องเขาอีกหรอ?”

“นายดูฉีโม่สิ นับตั้งแต่นายเข้ามาอยู่ในบ้านของพวกเรา นายเคยซื้อสร้อยคอสักชิ้นไหม?” ลู่หย่าฮุยถอนหายใจเล็กน้อย พร้อมกับจ้องมองหลินอิ่งด้วยสายตาแหลมคม “ฉีโม่เองก็ดีกับนายมาก สามารถฉุดนายเข้ามาทำงานรองผู้จัดการในบริษัท แต่นายล่ะ คิดไม่ถึงหลังจากเกิดเรื่อง กลับไปหมกมุ่นกับผู้หญิงนอกบ้าน! แค่คิดฉันก็อยากจะระเบิดอารมณ์จริงๆ!”

หลินอิ่งส่ายหน้า และไม่พูดอะไร

“ถึงยังไงตอนนี้คุณท่านก็ไม่ได้อยู่แล้ว ดังนั้นคำสัญญาในตอนนั้นไม่นับว่ามีผล”ลู่หย่าฮุยพูดขึ้น พร้อมหันหน้ามองจางซิ่วเฟิง “ซิ่วเฟิง คุณคิดว่ายังไง? ดำเนินการตามการปรึกษากับป้าสองของฉีโม่ล่ะกันนะ”

จางซิ่วเฟิงขมวดคิ้ว และหันหน้ามองหลินอิ่ง

“เรื่องนี้ผมไม่ขอออกความคิดเห็น คุณปรึกษากับลูกสาวล่ะกัน” จางซิ่วเฟิงถอนหายใจและพูดขึ้น ในตอนนั้นคุณท่านเป็นคนเอาหยินอิ่งมาเข้าอยู่ในตระกูลจาง ในฐานะลูกชายของเขา เขาไม่สามารถขัดคำสั่งของพ่อได้!

“โอเค! ฉีโม่ งั้นเรื่องของวันนี้ลูกเป็นคนตัดสินใจ” ลู่หย่าพูดด้วยสีหน้าจริงจังขึ้น และไม่ให้โอกาสฉีโม่พูดเลย .

เธอจ้องมองหลินอิ่งด้วยสีหน้าเย็นชา และพูดประชดประชันว่า : “หลินอิ่ง ถ้าหากนายยังมีจิตสำนึก ก็น่าจะรู้ตัวว่าไม่ควรสร้างความลำบากต่อพวกเราอีก นายบอกว่า คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลหลงเชิญนายทำงานรองผู้จัดการที่บริษัทไม่ใช่หรอ? งั้นนายก็ไปสิ บ้านของฉันไม่เหมาะสมกับนายหรอก”

“นายชอบหมกมุ่นกับผู้หญิงข้างนอกไม่ใช่หรอ งั้นนายก็ไปเลยสิ นายไปฉลองวันเกิดกับผู้หญิงเมื่อคืนเลยสิ” ลู่หย่าฮุยพูดอย่างไม่ใยดีขึ้น “ถึงยังไงตอนนี้นายมีความสามารถแล้ว ไม่ต้องพึ่งพาให้ฉีโม่เลี้ยงดูแล้วไม่ใช่หรอ?”

“หลินอิ่ง นายเอากุญแจบ้านคืนให้ฉันตอนนี้เลย” ลู่หย่าฮุยพูดด้วยสีหน้าจริงจังขึ้น

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท