ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 69 จดหมายจากทนาย

บทที่ 69 จดหมายจากทนาย

บทที่ 69 จดหมายจากทนาย

“จริงสิ คุณหนู หลินอิ่งไม่ใช่คนธรรมดา เมื่อวานที่คุณหนูให้พวกเราแอบสุ่มสังเกต พวกเราพบว่า หลังจากเมื่อวานตอนกลางคืนเขาถูกที่บ้านไล่ออกจากบ้าน เขาได้ไปกับวิลล่าหิมะกับเจียงฉีด้วย” ไอ้เจ็ด พูดด้วยสีหน้าจริงจังขึ้น “แต่ระบบรักษาความปลอดภัยของวิลล่าหิมะมังกรดีมากเกินไป ทุกมุมแล้วมีกล้องวงจรปิดอยู่ พวกเราไม่สามารถสร้างความตกใจต่อพนักงานรักษาความปลอดภัยได้ ดังนั้นเลยไม่รู้เลยว่าหลินอิ่งทำอะไรบ้างข้างใน?”

ต่อมาผมไปสืบประวัติของเจียงฉีคนนั้น พบว่าเขาเป็นผู้จัดการของสำนักงานใหญ่บริษัทโอเซี่ยนอสังหาริมทรัพย์สาขาเหนือ นับว่าเป็นผู้มีอิทธิพลในวงการธุรกิจ” ไอ้หก พูดด้วยสีหน้าจริงจังขึ้น

“หืม คนที่น่าเวทนาอย่างเขาไปที่วิลล่าหิมะสามารถหมายถึงอะไรได้หรอ?” หวางหงหลิงพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจขึ้น แล้วส่ายมือเล็กน้อย “เห็นได้ชัดเจนว่า หลังจากที่คนน่าเวทนาถูกไล่ออกจากบ้าน ก็ถูกกดดันจากผู้ใหญ่ตระกูลจาง เพราะกลัวหวางจื่อเหวิน ดังนั้นเลยหาเพื่อนช่วยเหลือ ส่วนคนที่ชื่อเจียงฉีคนนั้นก็ไม่ใช่คนมีความสามารถอะไร แค่เป็นผู้จัดการบริษัทขนาดเล็กเท่านั้น เขาไม่กล้าช่วย เลยพากันไปตามหาบุคคลที่มีอิทธิพลที่วิลล่าหิมะมังกรช่วยเหลือก็เท่านั้น”

“อืม คุณหนูพูดมีหลักเหตุผลมากครับ คงเป็นแบบนี้แน่เลยครับ” ไอ้หก พยักหน้าเล็กน้อยและพูดขึ้น ขณะเดียวกันก็ยอมรับความคิดเห็นนี้

“พวกนายไม่ลองคิดดูหน่อยหรอว่า ใครบ้างในตระกูลหวางไม่มีความสามารถเข้าวิลล่าหิมะมังกรบ้าง? ตอนนี้ในเมืองชิงหยูนมีใครบ้างกล้าช่วยเขาหรอ?” หวางรงหลิงพูดด้วยท่าทางโอ้อวด “ดังนั้นตอนนี้ทั้งเมืองชิงหยูน นอกจากฉันแล้ว ไม่มีใครกล้าช่วยต่อกรกับหวางจื่อเหวินหรอก นอกจากฉันแล้ว ใครก็ช่วยหลินอิ่งไม่ได้!”

“แล้วเขาจะไปหาใครช่วยเหลืออีก หืม! ถ้าไม่มาหาฉันก็รอถูกหวางจื่อเหวินค่อยๆทรมานเล่นจนตายได้เลย” หวางรงหลิงแค่นเสียงประชดออกมาเล็กน้อย

เธอแอบหัวเราะในใจเงียบๆ เมื่อคืนหลินอิ่งกล้าบอกกับตัวเองว่าไม่มีใครเหมาะสมเป็นเพื่อนกับเขา แต่หลังจากกลับบ้าน คิดไม่ถึงว่าจะถูกไล่ออกจากบ้าน จนถึงขั้นรีบร้อนใจไปหาคนช่วย และถึงขั้นไปหาคนที่วิลล่าหิมะมังกรด้วย? ที่แท้ก็ทำเป็นปากแข็งนี่เอง!

ผู้ชายน่าโง่ ตัวเองยิ่งใหญ่เหมือนดั่งพระพุทธอยู่เบื้องหน้าขนาดนี้กลับไม่รู้จักไหว้สักการะ แต่กลับไปตามหาคนช่วยตั้งไกล? หืม รอให้หวางจื่อเหวินเล่นงานให้พอใจก่อน ก็จะได้รู้เองว่าตัวเองดีขนาดไหน ถึงตอนนั้นคงมาขอร้องตัวเองแน่ แล้วค่อยเล่นงานให้เขาอับอายระบายความโกรธเคืองสักหน่อย!

ขณะที่พูด บนใบหน้าของหวางหงหลิงก็ปรากฏรอยยิ้ม และสีหน้ามั่นอกมั่นใจ

“ถึงแม้หลินอิ่งคนนี้ไม่ค่อยเห็นคุณค่าของคนอื่นสักเท่าไหร่ และสมองก็ผิดปกติ แต่ความเขามีความสามารถการเก็บสะสมสูบมาก การอยู่ที่ตระกูลจางนับว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก ไม่มีพื้นที่แสดงความสามารถได้เต็มที่” หูหมิงหยินพูดขึ้น

เขาแอบครุ่นคิดในใจเงียบๆ ระดับความสามารถวิเคระห์อัญมณีของหลินอิ่งแล้ว ถ้าหากร่วมทำงานกับบริษัทของตัวเอง สามารถสร้างชื่อเสียงและเงินทองให้กับตัวเองแน่

“สมน้ำหน้าเขา” หวางหงหลิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น “ถูกพ่อตาและแม่ยายไล่ออกจากบ้านขนาดนี้แล้ว ยังหน้าด้านหน้าทนมาทำงานเป็นผู้ช่วยที่บริษัทจางซื่อกรุ๊ปอีก นายว่า สมองของเขามีน้ำเข้าหรอเปล่า? ทำไมช่างโง่เขลาแบบนี้!”

หูหมองหยินหัวเราะแห้งๆเล็กน้อย และพูดขึ้นว่า : “คุณหนู ถึงแม้หลินอิ่งคนนี้มีความสามารถอยู่บ้าง แต่ผมคิดว่า คุณหนูไม่เห็นจำเป็นต้องมาสนใจเขามากขนาดนี้เลย เรื่องแค่นี้มอบหมายให้ผมจัดการก็ได้แล้วครับ”

ถึงแม้หลินอิ่งจะมีความสามารถ แต่ไม่มีคุณค่ามากพอให้คุณหนูให้ความสำคัญมากขนาดนี้ เพราะอย่างหลินอิ่ง คนระดับอย่างเขาออกหน้าช่วยก็ถือเป็นการให้เกียรติเขามากแล้ว

อีกอย่างคุณหนูเองก็เหมือนกัน เพื่อหลินอิ่งไอ้ขยะที่มีชื่อเสียงเลื่องลื่อคนนั้น เธอถึงไม่ให้นักฆ่ามืออาชีพอย่าง ไอ้หก กับ ไอ้เจ็ด ทำงานสำคัญเลย แต่กลับให้มาแอบสอดส่องหลินอิ่ง และยังให้พวกเขามารายงานด้วยว่าทุกวันหลินอิ่งกินอะไร ทำอะไรมาบ้าง

แถมวันนี้ยังควักเงินตั้งหกล้านกว่าซื้อห้องนิทรรศการนี้ด้วย คิดไม่ถึงเพียงเพื่อสะดวกในสังเกตการณ์ และได้เห็นหลินอิ่งมากขึ้นด้วย….

นี่…..

รูปแบบการทำงานแบบนี้ไม่เหมือนกับคุณหนูที่ใจกล้า สุขุม และฉลาดหลักแหลมคนก่อนเลย……

หูหมิงหยินสับสนและวุ่นวายใจมาก ไม่รู้เลยว่าคุณหนูกำลังคิดอะไรอยู่ แต่เขาเองก็ไม่กล้าซักถามมาก

“พวกนายรอดูฉากสนุกเถอะ รอดูว่าฉันจะจัดการเจ้าคนน่าเวทนาคนนั้นยังไง” หวางหงหลิงพูดขึ้น

วันนี้เธอวางแผนทุกอย่างหมดแล้วสำหรับฉากสนุกนี้ เธออดใจไม่ไหวแล้วอยากเห็นหลินอิ่งพูดขอร้องต่อหน้าตัวเอง…..

……

อีกด้าน บริษัทเป่าติ่ง หลินอิ่งเดินขึ้นไปที่ห้องทำงานของพนักงานระดับสูง

ภายในห้องทำงานมีพนักงานสัญจรไปมาอย่างเร่งรีบ

หลินอิ่งกำลังคิดจะเดินไปที่ห้องทำงานของฉีโม่ แต่กลับพบว่ามีพนักงานระดับสูงจ้องมองตัวเองด้วยสายตาดูถูก

“ผู้ช่วยหลิน มาแล้วหรอ”

ทันใดนั้นก็มีน้ำเสียงคมเข้มดังขึ้น

หลินอิ่งหันหน้ามองกลับไป และเห็นเป็นผู้ชายวัยกลางคนสวมชุดสูทคนหนึ่งจ้องมองตัวเองด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

เขาคือคณะกรรมการจางหงจูน ส่วนด้านข้างมีจางหงซวนติดตามด้วย

หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย “มีอะไรหรอ?”

“หลินอิ่ง นายรู้จักกฎระเบียบบ้างไหม?” จางหงซวนแสดงท่าทางกำเริบสืบสานขึ้น “พวกเราสองคนเป็นผู้ใหญ่ แถมเป็นคนที่มีตำแหน่งสูงกว่านายที่บริษัทด้วย แต่นายพูดกับพวกเราแบบนี้หรอ? กล่าวทักทายก็ไม่เป็นหรอ?”

จางหงซวนจ้องมองหลินอิ่งด้วยสายตาเย็นชา แต่แอบหัวเราะเยาะในใจ

ครั้งที่แล้วตอนอยู่ที่สระว่ายน้ำ ไอ้ขยะหลินอิ่ง เขาทำให้ลูกชายต้องอับอายต่อหน้าครอบครัวของจางฉีโม่ แถมตอนนี้ยังกล้าแสดงท่าทางกำเริบสืบสานต่อหน้าตัวเองด้วย

ครั้งนี้ไอ้ขยะหลินอิ่งที่ไม่รู้จักเป็นรู้จักตาย คิดไม่ถึงกล้ายั่วโมโหหวางจื่อเหวินแห่งตระกูลหวาง ซึ่งนี่ถือเป็นการมอบโอกาสให้ตัวเองจัดการเขา

“มีเรื่องอะไรก็ว่ามา ผมไม่สนิทสนมกับพวกคุณ” หลินอิ่งพูดขึ้น

“นายนี่มันกำเริบสืบสานจริงๆ! กล้าพูดแบบนี้ต่อหน้าคณะกรรมการสองคนต่อหน้าได้ยังไง? ไม่รู้จักมารยาทเลยหรอ?” ผู้ใหญ่ของพนักงานระดับสูงคนหนึ่งพูดด่าทอขึ้น

“อยู่ต่อหน้าคณะกรรมการสองคนแบบนี้ หลินอิ่งยังกล้าพูดแบบนี้อีกหรอ? ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเลยจริงๆ”

“เขาไปเอาความกล้ามาจากไหนกัน? ถึงได้กล้ามากขนาดนี้?”

“ไม่ได้ยินมาก่อนหรอ? ขนาดคุณชายหวางแห่งตระกูลหวาง เขายังกล้ามีเรื่องเลย สำนวนพูดได้ดีมาก ปลาหมอตายเพราะปาก สุดท้ายเขาก็ต้องเดือดร้อนเพราะคำพูดและการกระทำของเขาเอง” พนักงานระดับสูงผู้หญิงคนหนึ่งพูดประชดขึ้น

พนักงานระดับสูงที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันพูดวิพากษ์วิจารณ์หลินอิ่งขึ้น

“หืม!” จางหงจูนถอนหายใจ และจ้องมองหลินอิ่งด้วยสายตาขุ่นเคืองขึ้น “พี่สาม ก่อนหน้านี้คุณบอกกับผมว่า เด็กคนนี้ดื้อรันมาก ขนาดอยู่ต่อหน้าลุงสามยังกล้ากำเริบสืบสานเลย คิดไม่ถึงว่าจะไม่รู้จักมารยาทด้วยจริงๆ”

“มิน่าถึงมีเรื่องกับคุณชายหวางแห่งตระกูลหวาง!” จางหงจูนพูดขึ้น พร้อมเผยสายตาโมโหจ้องมองหลินอิ่ง

ช่วงนี้ตระกูลของตัวเองประสบวิกฤตมากมาย และกว่าจะแบกบริษัทจางซื่อกรุ๊ปข้ามผ่านไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย แต่กลับถูกอูหยางกดดันจนหายใจไส่ออก ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อคืนยังถูกคุณชายหวางโทรศัพท์มาข่มขู่ด้วย

ตอนแรกเขาแค่ถูกอูหยางยั่วโมโห และเมื่อวานยังถูกข่มขู่ด้วย ดังนั้นวันนี้เขาต้องสั่งสอนระบายความโกรธกับหลินอิ่งให้สะใจ!

“หลินอิ่ง ดูให้ดี นี่เป็นจดหมายเตือนจากทนาย!” จางหงจูนพูดด้วยน้ำเสียงเข้มขึ้น แล้วโยนเอกสารใบหนึ่งลงบนโต๊ะเบื้องหน้าหลินอิ่ง

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท