ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 65 จากบ้าน

บทที่ 65 จากบ้าน

บทที่ 65 จากบ้าน

“แม่ค่ะ แม่ทำเกินไปแล้ว….” จางฉีโม่เผยสีหน้าไม่พอใจขึ้น และช่วยพูดแทนหลินอิ่งว่า “บ้านหลังนี้หลินอิ่งเป็นคนซื้อ แม่ลืมไปแล้วหรอ?”

“หลินอิ่งซื้อบ้านอะไรกัน? ไม่ใช่แม่บอกลูกตั้งนานแล้วหรอ? หากไม่มีลูกที่ช่วยทำให้เขากลายเป็นรองผู้จัดการ เขาจะเอาอะไรซื้อบ้านได้ ตอนนี้คงอยู่ริมข้างถนนแน่!” ลู่หย่าฮุยพูดด้วยสีหน้าดูถูกขึ้น “อีกอย่างชื่อของเจ้าของบ้านไม่ใช่ของลูกหรอ?”

“แม่ค่ะ ไม่ว่าจะพูดยังไง หลินอิ่งก็เป็นคนซื้อบ้านให้กับหนู ซึ่งเงินที่ซื้อเป็นของเขา” จางฉีโม่พูดขึ้น และรู้สึกว่าเรื่องนี้แม่ทำเกินไป

แต่ลู่หย่าฮุยมีความคิดไม่เหมือนกับจางฉีโม่เลย เธอคิดว่าการที่หลินอิ่งซื้อบ้านให้กับพวกเขาถือเป็นเรื่องสมควร

“ฉันบอกตั้งนานแล้วว่า นี่เป็นค่าตอบแทนที่หลินอิ่งกินอยู่กับเรามาสองปี การตอบแทนถือเป็นคุณธรรมที่ต้องปฏิบัติ!” ลู่หย่าฮุยพูดขึ้น “อีกอย่าง บ้านในราคาสองล้านคิดอะไรมาก! ลูกไม่เห็นหรอ ของขวัญแรกพบที่หวางจื่อเหวินมองให้มีราคากว่าหลายล้าน?”

“ลูกแม่ หวางจื่อเหวินสนใจลูกขนาดนี้ ต่อไปลูกก็คบกับเขาดีๆนะ บ้านราคาสองล้านไม่มีค่ามากหรอก” ลู่หย่าฮุยยิ่งพูดแทงใจดำมากขึ้น “อีกอย่างบ้านหลังนี้เราสมควรได้รับ! หากเปรียบเทียบกับความลำบากที่หลินอิ่งทำต่อลูก และครอบครัวเรา เงินแค่นี้สามารถแก้ปัญหาได้หรอ?”

หลินอิ่งส่ายหน้า เขารู้มาตั้งนานแล้วว่า ลู่หย่าฮุยเป็นคนบ้านเงินทอง แต่ดูเหมือนครั้งนี้ หลังจากเธอได้รับของขวัญจากหวางจื่อเหวิน เธอดูตื่นเต้นเป็นพิเศษเลย

“พูดแบบนี้ไม่ได้ แม่ค่ะ หนูกับหวางจื่อเหวินคนนั้นเพิ่งเจอกันแค่ครั้งเดียวเอง” จางฉีโม่พูดด้วยน้ำเสียงจนปัญญาขึ้น

“คุณหวางจื่อเหวินรักลูกตั้งแต่ครั้งแรกที่พบ ไม่เช่นนั้นเขาจะมอบของขวัญราคาหลายล้านกับลูกทำไม? ขนาดถูกหลินอิ่งคอยสร้างปัญหา เขายังไม่มากล่าวโทษต่อครอบครัวเราเลย” ลู่หน้าฮุยพูดต่อว่า “ดูสิ วันนี้ถือว่าลูกได้เห็นธาตุแท้ของหลินอิ่งแล้ว ไม่มีความสามารถ แล้วยังไปก่อปัญหาต่อครอบครัวของเราอีก ยังไม่รวมกับที่ไม่มีจิตสำนึกแอบไปมัวกับผู้หญิงข้างนอกอีกนะ! แม่คิดว่า คุณหวางจื่อเหวินต้องการช่วยลูกให้มีชีวิตที่ดีขึ้น อยากให้ลูกหลุดพ้นจากคนใจจืดใจดำอย่างหลินอิ่ง ป้าสองของลูกเองก็เคยพูดแล้วว่า หากสามารถปรองดองกับตระกูลหลงได้ ชีวิตในอนาคตคงมั่นคงอย่างแน่นอน!”

จางฉีโม่กัดริมฝีปากไม่ยอมพูด เมื่อเห็นแม่ของตัวเองลุ่มหลงชีวิตที่อยู่ในภาพลวงตา และถูกของขวัญของหวางจื่อเหวินทำให้สมองเลอะเลือน เธอเลยไม่อยากพูดอะไร เพราะต่อให้พูดมากแค่ไหนก็ไม่เข้าหูหรอก

“อีกอย่างฉีโม่! พ่อของลูกก็มีสภาพหัวใจไม่ดีอยู่แล้ว ยิ่งต้องมาเจอกับเรื่องที่หลินอิ่งสร้างความวุ่นวายอีก อาการของเขาคงทรุดแย่ลงแน่” ลู่หย่าฮุยพูดเกลี้ยกล่อมด้วยคำพูดแทงใจดำขึ้น “ลูกยังอยากให้หลินอิ่งอยู่บ้านสร้างปัญหาอีกหรอ แม่กับพ่อของลูกทนดูเขาต่อไปไม่ได้แล้ว ถ้าหากพ่อของลูกอาการกำเริดอีกจะทำยังไง?”

จางฉีโม่เผยสีหน้าลังเลเล็กน้อย และถอนหายใจ เธอกล้าหันหน้ามองหลินอิ่ง ไม่สามารถพูดเกลี้ยกล่อมพ่อกับแม่ได้แล้ว และไม่อยากพูดอะไรอีกด้วย ดังนั้นเลยเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง

“หืม! หลินอิ่ง นายเห็นหรือยัง เรื่องที่นายก่อขึ้นในวันนี้ แม้แต่ฉันโม่ก็รู้สึกผิดกับนาย” ลู่หย่าฮุยพูดประชดประชันขึ้น

พูดจบ เธอก็หันหน้ามองหลินอิ่ง และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า : “คนของตระกูลจางปรึกษาหารือกันเสร็จแล้ว อีกสักพักมีการประชุมที่คฤหาสน์พี่ใหญ่ของตระกูลจาง เพราะเรื่องของนาย ทำให้พวกเราต้องวุ่นวายกันขนาดนี้”

“นายไปหาความสุขข้างนอกเถอะ อย่ามาสร้างปัญหาให้กับคนอื่นเลย อีกไม่กี่วันไปประชุมที่คฤหาสน์พี่ใหญ่ของตระกูลจางด้วย หลังจากจุดธูปตัดนายออกจากตระกูลต่อหน้าบรรพบุรุษเสร็จ ก็จะได้ดำเนินการหย่านายกับฉีโม่สักที!”

หลินอิ่งไม่พูดอะไร นอกจากหยิบกุญแจวางลงบนโซฟา แล้วหันหลังเดินจากไป

“ฮ่าฮ่า กล้าทำหน้าทำตาใส่ฉันหรอ?” ลู่หย่าฮุยจ้องมองร่างเงาที่จากไปของหลินอิ่ง

“ในที่สุดที่บ้านของเราก็สงบสุขสักที” ลู่หย่าฮุยนั่งลงบนโซฟาด้วยสีหน้าสบายใจ แล้วหยิบผลไม้ขึ้นมากินเล็กน้อยพลาง และดูโทรทัศน์พลางด้วย ขณะเดียวกันวาดฝันว่าฉีโม่แต่งงานกับหวางจื่อเหวิน ส่วนคัวเองก็เป็นแม่ยายของตระกูลใหญ่ เธอใช้ชีวิตอยู่ในคฤหาสน์ และมีคนรับใช้คอยปรนนิบัติ

ไม่ว่าจะเป็นจางหงจุน จางหงซวนหรือว่าใครก็ตามก็ต้องปฏิบัติตัวต่อเธออย่างถ่อมตัว!

……

อีกด้าน หลินอิ่งออกจากชุมชนสุ่ยหยวนในช่วงตอนกลางคืนที่หนาวเย็น และมีใบไม้ปลิวลอยบนถนน

หลินอิ่งจุดบุหรี่ม้วนหนึ่งขึ้น แล้วหยิบโทรศัพท์ออกมา ขณะจะโทรศัพท์

จู่ๆก็ได้รับข้อความหนึ่งขึ้น

ฉีโม่เป็นคนส่ง

“หลินอิ่ง เรื่องวันนี้ฉันขอโทษแทนพ่อกับแม่ของฉันด้วย นายอย่าได้โกรธพวกเขาเลยนะ ฉันจะรีบคิดหาวิธีการคืนบ้านหลังนี้ให้กับนาย อีกอย่างนายอยู่ข้างนอกระมัดระวังตัวด้วย”

หลินอิ่งอดใจยิ้มออกมาไม่ได้ แล้วพิมพ์บางอย่างขึ้น

“ครับ ผมก็ต้องการจัดการเรื่องบางอย่างพอดี คุณวางใจเถอะ ฝันดีนะครับ ฉีโม่”

หลังจากส่งข้อความเสร็จ สายตาของหลินอิ่งก็เปลี่ยนดุเข้มขึ้น

หวางจื่อเหวินรนหาที่ตายชัดๆ

แต่คืนนี้ต้องหาที่ซุกหัวนอนก่อน

ขณะที่คิด หลินอิ่งก็กดหมายเลขโทรศัพท์หนึ่งขึ้น เขาโทรศัพท์หาเจียงฉี ผู้จัดการสำนักงานใหญ่บริษัทโอเซี่ยนอสังหาริมทรัพย์

“ฮาโหล สวัสดีครับ ผมคือเจียงฉี ไม่ทราบว่าตอนนี้คุณมีธุระอะไรหรอครับ?” ในสายเป็นเสียงเกรงอกเกรงใจของเจียงฉีดังขึ้น ดูเหมือนเขายังคงทำงานอยู่

“ผมสนใจดูคฤหาสน์สักหลังครับ ผมต้องการเข้าอยู่คืนนี้เลย คุณช่วยจัดการให้ผมตอนนี้เลยได้ไหมครับ” หลินอิ่งพูดด้วยสีหน้าจริงจังขึ้น

“ครับ! ไม่มีปัญหาครับ! ผู้จัดการหลิน ผมจะรีบไปดำเนินการให้คุณตอนนี้เลยครับ!” เจียงฉีพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นขึ้น

“คุณมาพบผมที่หน้าประตูชุมชนสุ่ยหยวนล่ะกันครับ” หลินอิ่งพูดขึ้น

หลังจากวางสาย ห้านาทีต่อมา

มีรถยนต์ยี่ห้อมาเซราตินสีขาวคันหนึ่งขับผ่านมา จากนั้นเจียงฉีก็เดินลงมาเปิดประตูรถยนต์ให้กับหลินอิ่ง เขาสวมชุดสูทสีดำอย่างเป็นทางการ และหันน้ายิ้มต่อหลินอิ่งด้วย

หลินอิ่งเดินมานั่งเบาะหลังของรถยนต์อย่างไม่เกรงใจ

จากนั้นคนขับรถเฉพาะของเจียงฉีก็สตาร์ทรถยนต์ขึ้น แล้วขับจากไป

“ประธานหลินครับ ปล่อยให้คุณรอนานเลยนะครับ เมื่อกี้ผมติดงานนิดหน่อย” เจียงฉีพูดขึ้น

หลินอิ่งยื่นมือหยิบบุหรี่ และซักถามขึ้นว่า : “คฤหาสน์ระดับหรูสุดในเมืองชิงหยูนมีที่ไหนบ้าง?”

เมื่อได้ยินแบบนี้ เจียงฉีก็เผยสายตาเป็นประกาย และพูดขึ้นว่า “คฤหาสน์ระดับหรูสุดในเมืองชิงหยูนก็ต้องเป็นวิลล่าหิมะมังกรเลยครับ นี่เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกฐานะ มีเงินก็ไม่สามารถซื้อได้ ส่วนใหญ่ต้องผ่าจากการประมูล”

“แต่ถ้าหากประธานหลินต้องการซื้อ สบายใจครับ ทุกอย่างเดียวผมจัดการให้เอง คืนนี้สามารถเข้าพักได้เลยครับ” เจียงฉีพูดด้วยสีหน้ามั่นใจขึ้น

ในฐานะบริษัทอสังหาริทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดสาขาเขตเหนือ และผู้จัดการของสำนักงานใหญ่บริษัทโอเซี่ยนอสังหาริมทรัพย์ ถึงแม้เขาไม่ใช่ผู้มีอิทธิพลในวงการธุรกิจ แต่เครื่องอสังหาริมทรัพย์ เขามีเส้นสายกว้างขวางมา

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท