ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 78 สวรรค์ล่ม

บทที่ 78 สวรรค์ล่ม

บทที่ 78 สวรรค์ล่ม

ณ ท่าเรื่อหลงหู่ ริมแม่น้ำชิงหยูน เขตตะวันออกของเมือง

ซึ่งแตกต่างจากท่าเรือเฟยวูที่ถูกทิ้งร้าง แต่เป็นท่าเรือที่อาศัยการวิ่งเรือเป็นธุรกิจ ยังมีโรงงานและโกดังเก็บคลังสินค้าอีกจำนวนมาก

นี่คือกิจการทั้งหมดของตระกูลโจวแห่งเมืองชิงหยูน

คนงานที่ทำงานในโรงงานและท่าเรือไม่อยู่แล้ว และได้เคลียร์สนามดีแล้ว

บนพื้นคอนกรีตว่างเปล่าข้างท่าเรือ มีรถออฟโรดหลายสิบคันจอดอยู่ บนรถมีชายร่างใหญ่กำยำนั่งอยู่ รถของทั้งสองฝ่ายจอดหันหน้าเข้าหากัน

และมีโต๊ะน้ำชาวางอยู่ตรงกลาง คนสองคนนั่งอยู่ตรงข้ามกัน

เสิ่นซานสวมเสื้อลายดอก ถือสร้อยลูกประคำ ฝั่งตรงข้ามคือชายหนุ่มท่าทางเย็นชา สวมเสื้อแจ็คเก็ตสีน้ำตาล ดวงตาที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย

บนสังเวียน มีชายร่างใหญ่ถือมีดแมเชเทต่อสู้กับชายวัยกลางคนอายุเกือบๆสามสิบปี ทั้งสองต่อสู้ใช้หมัดเตะต่อย ใช้มีดฟันกันไปมา การเคลื่อนไหวต่อสู้โจมตีจุดสำคัญของฝ่ายตรงข้าม มันดูน่าตื่นเต้น

“กริ๊ง!”

ในเวลานี้ มีดแมเชเทในมือของชายร่างใหญ่ถูกหักออกเป็นสองท่อนด้วยมือเปล่าของฝ่ายตรงข้าม และตกลงที่พื้น หลังจากนั้นชายร่างใหญ่ก็ถูกเตะจนกระเด็นออกจากสังเวียน และล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง อาเจียนออกมาเป็นเลือดเต็มปาก จากนั้นก็หมดสติไป

แปะ แปะ!

ชายหนุ่มในแจ็คเก็ตสีน้ำตาลปรบมือและหัวเราะเสียงดัง

“ฝีมือต่อสู้ดีมาก!”

“นายท่านสาม ลูกน้องคุณไม่มีใครสู้ได้เลยเหรอ” โจปินพูดยิ้มเยาะ ใบหน้าเต็มไปด้วยชัยชนะ “ท่านหลิวแค่คนเดียวก็ล้มพวกคุณกี่สิบคนลงได้ แม้แต่พี่น้องของท่านหลิวยังไม่มีโอกาสลงมือเลย!”

สีหน้าของเสิ่นซานดูแย่มาก เขามองไปที่นักมวยใต้ดินและพวกนักสู้ฝีมือดีหลายสิบคนที่นอนอยู่ที่พื้นด้านหลังเขา ที่ยังดิ้นไปมาและส่งเสียงร้องครวญคราง ถูกหักมือหักขาจนพิการไปแล้ว

เสิ่นซานทำตามคำสั่งของหลินอิ่ง นัดโจปินออกมาทำการต่อสู้ ตามกฎเดิมของนักเลงแล้ว ทั้งสองฝ่ายต้องส่งคนไปต่อสู้ที่ท่าเรือ เพื่อตัดสินเขตอิทธิพลของเขตตะวันออกของเมือง แต่ผลที่ได้อย่างไม่คาดคิดว่า นักมวยใต้ดินฝีมือดี หรือพวกนักเลงที่เป็นศิลปะการต่อสู้ที่อยู่ในมือหลายคน จะไม่มีใครสามารถต่อสู้ชนะได้

นักสู้ทั้งสามคนของโจปิน ได้ยินมาว่าพวกเขาเป็นศิษย์พี่ศิษย์จากสำนักเดียวกัน เขาแค่ส่งศิษย์น้องหลิวที่ฝีมืออ่อนที่สุดออกมาสู้ ก็ชนะคนหลายสิบคนได้สบายๆ แต่คนของเขาเองใช้มีดมาสู้ก็ไม่สามารถเอาชนะคนที่สู้ด้วยมือเปล่าได้

“นายท่านสาม ฉันว่าคนของคุณคงไม่มีใครกล้าออกมาสู้แล้วละ” โจปินเป่าชาร้อนในแก้ว และพูดอย่างภูมิใจว่า “ฉันเคารพคุณในฐานะเจ้าพ่อพวกอั้งยี่รุ่นเก่าของเมืองชิงหยูน เอาอย่างนี้ละกัน เงินนี่ให้เป็นค่าน้ำชาแก่พวกพี่น้องทุกคนละกัน จากนี้ไป ก็อย่ามาที่เขตตะวันออกของเมืองอีก! ”

ขณะพูด โจปินดีดนิ้วเป็นเสียงสัญญาณ ด้านหลังมีผู้คุ้มกันชาวต่างชาติ นำกระเป๋าถือสีดำมาวางลงบนโต๊ะน้ำชา และเปิดกระเป๋าถือออกมา ข้างในเต็มไปด้วยเงินดอลลาร์

“นี่คือเงินหนึ่งล้านเหรียญสหรัฐ เอาเงินแล้วออกไป” โจปินพูดอย่างมีชัย ราวกับว่าจัดการเสิ่นซานได้สำเร็จ

“ฮึ! คุณต้องการที่จะยึดครองเขตตะวันออกของเมืองด้วยเงินเพียงเล็กน้อยนี้หรือ ฝันไปเถอะ!” เสิ่นซานตะคอกอย่างเย็นชา และไม่แม้แต่จะมองไปที่กระเป๋าเงินดอลลาร์บนโต๊ะด้วยซ้ำ “โจปิน ถ้าคุณไม่อยากตาย ก็รีบพาคนออกไปจากเขตตะวันออกของเมืองโดยเร็ว ถ้าช้ากว่านี้อาจไม่มีโอกาสนะ!”

โจปินยิ้มเยาะ และพูดด้วยเสียงเข้ม: “เสิ่นซาน จะในที่ลับที่แจ้งคุณก็ไม่มีทางชนะฉันหรอก แม้แต่บนสังเวียนคนของคุณก็ไม่มีใครสู้ทนได้เลย แค่หอกเหล็กไม่กี่อันของคุณ จะเอามาต่อกรกับฉันงั้นเหรอ”

“อย่าท้าทายกับความอดทนของฉัน! คุณยังไม่พาคนแล้วไสหัวไปจากเขตตะวันออกของเมืองอีกเหรอ รออะไรอยู่”

สีหน้าเสิ่นซานแย่มาก และพูดเสียงต่ำ “คุณต้องการยึดครองเขตตะวันออกของเมือง ต้องถามพี่ใหญ่ของฉันว่าจะยอมหรือไม่ยอม!”

“คุณขู่ฉันเหรอ” โจปินพูดและกระแทกถ้วยน้ำชาจนแตก

ปัง!

ชายวัยกลางคนสองคนในชุดกังฟูสีขาวข้างๆโจปิน ก็รีบวิ่งออกมา ท่าทางรุนแรง ทันใดนั้นก็จับที่ไหล่ทั้งสองข้างของเสิ่นซานกดลงบนโต๊ะน้ำชา จนไม่สามารถขยับได้

ทันทีที่ผู้คุ้มกันสองสามคนของเสิ่นซานหยิบปืนออกมา ก็ถูกเตะกลิ้งออกไปร้อยแปดสิบองศา ล้มลงกับพื้นและกระอักเลือดแกมา ปืนของพวกเขาก็ลอยออกไปไกลกว่าสิบเมตร

“ขู่ฉันเหรอ ฉันเป็นคนของตระกูลโจ ท่าเรือตรงนี้ก็เป็นสมบัติของตระกูลโจ!” โจปินมองไปที่เสิ่นซานด้วยท่าทีขบคิด และพูด “พี่ใหญ่คุณเป็นใครเหรอ ฮ่ะ ใหญ่กว่าตระกูลโจของฉันได้ไหม”

“พี่ใหญ่ของฉันไม่มา คุณกล้าลงมือกับฉันไหม” เสิ่นซานพูดอย่างเย็นชา แม้ว่าเขาจะถูกกดลงบนโต๊ะก็ตาม แต่ท่าทีก็อ่อนตาม

มีรถคันใหญ่สีดำกว่ายี่สิบคันในระยะไกลขับเข้ามา และจอดอยู่ข้างหลังเสิ่นซาน คนบนรถต่างก็ขยับตัวไปมา

โจปินหรี่ตา และถาม “พี่ใหญ่ของคุณเป็นใคร”

“หลินอิ่ง” เสิ่นซานตอบ

“หลินอิ่งเหรอ” โจปินท่าทางคิดอย่างระมัดระวังและรอบคอบ เขาคิดถึงชายร่างใหญ่แซ่หลินแห่งเมืองชิงหยูนคนนั้น เป็นคนที่แม้แต่เสิ่นซานแห่งเมืองหนานเฉิงยังเรียกว่าพี่ใหญ่ ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ

“พี่ใหญ่หลินอิ่งที่คุณพูดถึงคงไม่ใช่ลูกเขยขยะของตระกูลจากแห่งเมืองชิงหยูนใช่ไหม” จู่ๆโจปินก็นึกขึ้นได้ ทำสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม และหัวเราะ “เสิ่นซาน คุณจะขู่คนก็ไม่รู้จักเลือกคนที่ใหญ่กว่านี้หน่อยละ ฉันเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศก็ได้ยินชื่อเสียงของไอ้ขยะหลินอิ่งจากวงข่าวครอบครัวมาแล้ว เขาดังมากๆเลย!”

เสิ่นซานหัวเราะแต่ไม่พูดอะไรออกมา พวกที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของท่านหลินว่าโหดเพียงใด แล้วยังกล้าเรียกเขาว่าไอ้ขยะ คนพวกนี้ไม่เคยลงเอยด้วยดีสักคน!

“น่าสนใจ! คุณไปเรียกหลินอิ่งมา ฉันอยากเห็นความไอ้ขยะที่เลื่องลือนั่นจริงๆ” โจปินพูดด้วยท่าทีเหยียดหยาม

วีดๆๆๆ!

ในเวลานี้ ก็มีเสียงดังรบกวนมาจากทางอากาศ

บนแม่น้ำชิงหยูน คลื่นพายุกำลังโหมกระหน่ำ และมีเฮลิคอปเตอร์ลำสีดำได้หมุนใบพัด และค่อยร่อนลงอย่างช้าๆ

โจปินหรี่ตา จ้องไปที่เฮลิคอปเตอร์ และผู้ชายทุกคนที่นั่งอยู่บนรถออฟโรด ก็จ้องมองไปตรงนั้นเช่นกัน

บนเฮลิคอปเตอร์ หลินอิ่งสวมเสื้อโค้ทสีดำรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น ท่าทางเคร่งขรึม เต็มไปด้วยความอาฆาต ดับควันบุหรี่ในมือ และเดินไปตรงประตูห้องโดยสาร เปิดประตูออกลมกระโชกแรง ลงพัดผมสีดำกระเซิง

“ท่านหลิน ท่านเสิ่นซานกำลังเจรจาอยู่กับโจปินข้างล่าง เฮลิคอปเตอร์จะลงจอดได้ในอีกสามนาที คุณนั่งรออีกสักครู่นะครับ” คนขับชื่อเฟยหู่พูด เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าท่านหลินเองต้องการจะทำอะไร

“ไม่รอแล้ว”

หลินอิ่งท่าทางเย็นชา พูดและถอยห่างออกไป แล้วหันหน้าไปต้านลม

“อ๊า!” เฟยหู่หัวใจเต้นแรงด้วยความตกใจ มือทั้งสองของเขาเกือบสูญเสียการควบคุม เฮลิคอปเตอร์แกว่งไปมา เขาจ้องมองไปที่ประตู ด้วยสายตาที่ไม่น่าเชื่อ

เขาเหลือบมอง ใบหน้าของเขาซีดเซียว ยังมีความสูงแค่หลายสิบเมตรก่อนที่เฮลิคอปเตอร์จะลงจอด ระดับความสูงเกือบสิบชั้นนะ! แต่คนที่ยังมีชีวิตกลับกระโดดลงไปแบบนี้เนี่ยนะ

โจปินที่อยู่ด้านล่างก็ตกตะลึงเช่นกัน ทุกคนต่างตะลึงจนตาค้าง มองไปที่ร่างที่ตกลงมาจากเฮลิคอปเตอร์

ความสูงนี่มันเกือบสิบชั้นเลยนะ คนปกติตกจากตึกแค่สองสามชั้นก็ตายแล้ว!

ปัง!

ชายหนุ่มคนหนึ่งตกลงมาจากท้องฟ้า และร่วงลงบนพื้นคอนกรีต เขางอตัวใช้มือข้างหนึ่งดันพื้นไว้ เสื้อกันลมปลิวไหว จากนั้นยืดตัวขึ้น

เขาสวมถุงมือสีดำถือกระเป๋าถือสีขาวเงิน เดินเข้าไปหาโจปินทีละก้าว

ชายคนนี้สวมเสื้อกันลมสีดำ ปลายเสื้อปลิวไสว ผมปลิวยุ่งเหยิงไปตามลม ดวงตาส่องประกายความเย็นชาที่มีเจตนาฆ่าคนอันน่าสะพรึง

โจปินตกใจกลัวแทบตาย ดวงตาของเขาเบิกกว้าง และจ้องมองชายลึกลับที่กำลังตกลงมาจากท้องฟ้า

“คุณ! คุณเป็นคนยังไงกันแน่”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท