ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 76 ข่าวการเสียชีวิต

บทที่ 76 ข่าวการเสียชีวิต

บทที่ 76 ข่าวการเสียชีวิต

ดวงอาทิตย์ยามเช้ากำลังโผล่ขึ้นจากทิศตะวันออก

หลินอิ่ง ออกมาจากวิลล่าหิมะมังกร และนั่งรถไปยังย่านใจกลางเมือง

ที่เบาะหลังของรถ หลินอิ่งมีสีหน้าที่ปกติ และความเยือกเย็นภายในดวงตา

เมื่อเวลาเช้าตรู่ เขาได้รับข้อความทางโทรศัพท์ว่า: เจอกันที่ฝูหมั่นโล๋ หลี่ผู

เป็นข้อความที่ส่งมาจากหมายเลขที่ไม่รู้จัก ถูกส่งผ่านIPคอมพิวเตอร์ที่ไม่รู้จัก และไม่พบแหล่งที่มา

หลินอิ่งมองผ่านกระจกมองหลังเห็นรถAudiคันสีดำที่ไม่คุ้นตา อยู่ห่างไปเพียงร้อยเมตร และยิ้มที่มุมปาก

รถแท็กซี่ขับไปได้สักพัก เมื่อผ่านซอยเล็กซอยหนึ่ง ก็กลับรถ ขับมาที่ซูเปอร์มาร์เก็ตเล็กๆแห่งหนึ่ง และหยุดอยู่หน้ารถ Audiสีดำคันนั้น

ในที่นั่งด้านหน้าของรถAudiสีดำ ชายชุดดำทั้งสองคนสีหน้าแปลกใจ และลดกล้องส่องทางไกลของทหารลง และมองไปที่รถแท็กซี่ที่กำลังใกล้เข้ามาด้วยความไม่อยากเชื่อ

“เป็นไปได้ยังไง หลินอิ่งพบพวกเราได้อย่างไร” ไอ้เจ็ดถามอย่างสงสัย

“เขาให้แท็กซี่เลี้ยวรถกลับมา คงไม่ได้กลับมาจัดการพวกเราหรอกนะ” ไอ้หกอย่างเป็นกังวล

พวกเขาทำตามคำสั่งของหวางหงหลิง ภารกิจประจำวันคือติดตามและเฝ้าสังเกตดูปัจจัยสี่ในการดำรงชีวิตของหลินอิ่ง

คนขับรถแท็กซี่สูงอายุลงมาจากรถ และมองไปที่ไอ้หกกับไอ้เจ็ดที่อยู่ในรถด้วยรอยยิ้ม

“อรุณสวัสดิ์เถ้าแก่ทั้งสองคน เถ้าแก่คนเมื่อกี้ในรถบอกว่า ให้ฉันส่งกระดาษนี่ให้พวกคุณ” คนขับพูดและหัวเราะเบาๆ และส่งกระดาษแผนนั้นให้

“แล้วเขาไปไหนแล้วละ” ไอ้หกถามอย่างสงสัย และรับกระดาษสีขาวแผ่นนั้นมา

“ไม่รู้เหมือนกัน เขาลงจากรถไปแล้ว พวกคุณเป็นเพื่อนเขา ก็โทรไปถามสิ” คนขับรถพูดด้วยรอยยิ้ม และกลับไปที่เบาะคนขับแท็กซี่ เลียนิ้วและนับเงินปึกสีแดงในมือ อย่างมีความสุข

แค่ช่วยเถ้าแก่ส่งจดหมาย ก็ได้เงินตั้งหนึ่งพันหยวน เงินที่ลำบากทำงานมาก็หามาได้แล้ว!

“นี่คือ” ไอ้หกหลิวดูประหลาดใจ นี่หลินอิ่งคลาดสายตาพวกเขาไปแล้วหรือ

การติดตามคนเป็นความสามารถพิเศษของพวกเขา! หลายวันมานี้เขาเฝ้าตามหลินอิ่งอย่างระมัดระวัง แล้วมีข้อบกพร่องตกไหนกันนะ

ไอ้หกเปิดดูกระดาษสีขาว บนกระดาษมีเพียงประโยคเดียว ที่เขียนด้วยหมึกสีดำว่า

“วันนี้พวกคุณสองคนไปพักเถอะ พักผ่อนให้เต็มที่”

ไอ้หกและไอ้เจ็ดหน้าแดง และรู้สึกอาย ที่แท้หลินอิ่งก็รู้ว่าพวกเขากำลังเฝ้าติดตามอยู่หลายวันแล้ว แต่แค่ไม่ได้พูดอะไร….

“พวกเราจะทำยังไงดี หรือจะกลับไปที่อาคารเป่าติ่ง” ไอ้เจ็ดถาม

“กลับไปรายงานคุณหนูก่อนก็แล้วกัน” ไอ้หกพูดด้วยสีหน้านิ่งๆ

ในฐานะนักฆ่ามืออาชีพที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศ แต่กลับทำคนหลุดมือไป สิ่งนี้ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจในอาชีพของพวกเขามาก แล้วต่อไปจะพูดยังไงต่อหน้าคุณหนูละ

ไอ้หกไอ้เจ็ดทำหน้ามุ่ย สลดใจและขับรถออกไปจากถนนสายนี้……

อีกด้านหนึ่ง หลินอิ่งมาที่ฝูหมั่นโล๋

ฝูหมั่นโล๋เป็นร้านเก่าแก่ที่เปิดมานานกว่าสามสิบปี ในเขตเมืองเก่าชิงหยูน การตกแต่งค่อนข้างทรุดโทรม ไม่มีใครอยู่ในอาคาร และที่ประตูมีป้ายแขวนไว้ว่าปิดกิจการ

หลินอิ่งหยิบกุญแจจากด้านหลังป้าย เปิดประตูขึ้นไปชั้นสาม และเดินไปที่ห้องห้องหนึ่ง

“คุณชาย! คุณมาแล้ว!”

ทันทีที่หลินอิ่งเปิดเข้าไปในห้อง ก็เจอกับชายชราผมสีเทา ใบหน้าซีดเซียวอิดโรย ตะโกนออกมาด้วยสายตาประหลาดใจ

เขาคือหลี่ผู พ่อบ้านเก่าแก่ของตระกูลฉี ซึ่งก่อนหน้าก็เคยมาหาเขาพร้อมกับฉีเหอถู หลี่ผูทำงานให้กับตระกูลฉีด้วยความภักดีมาตลอดชีวิต

“คุณหาฉันมีธุระอะไร” หลินอิ่งถาม

เขาไม่เข้าใจ ว่าทำไมครั้งก่อนหลี่ผูไม่กลับไปที่ตี้จิงพร้อมกับฉีเหอถู แต่ยังอยู่ที่เมืองชิงหยูน และยังใช้วิธีหลบซ่อนติดต่อกับตัวเขาเองเช่นนี้

“คุณชาย พูดแล้วเรื่องมันยาว” หลี่ผูถอนหายใจเบาๆ และพูดอย่างร้อนรน “คุณรีบออกจากประเทศหลุงเถอะ! ผมเตรียมตั๋วเรือไปยุโรปให้คุณแล้ว และมีเงินจำนวนหนึ่งเพียงพอที่จะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในต่างประเทศไปตลอดชีวิต”

“หมายความว่าอะไร” หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย และมองไปที่หลี่ผู

หลี่ผูหน้าซีด ลมหายใจอ่อนแรง ดูเหมือนตะเกียงไร้น้ำมัน บนตัวมีกลิ่นแปลกๆของยาแผนปัจจุบัน และยังได้กลิ่นเลือดจางๆอีกด้วย

“ไม่มีเวลาอธิบายแล้ว คุณชาย ตราบใดที่คุณยังอยู่ในเมืองชิงหยูน ยังอยู่ในประเทศหลุง คุณอาจถูกลอบสังหารได้ทุกเมื่อ!” หลี่ผูพูดด่วยความร้อนรน “มีมือสังหารจำนวนมากกำลังตามหาที่อยู่ของคุณ และต้องการที่จะกำจัดคุณ”

“แค่กๆ!”

ขณะพูด หลี่ผูก็ไออย่างรุนแรง และอาเจียนออกมาเป็นเลือด

หลินอิ่งหรี่ตาลง เดินไปที่ตรงหน้าหลี่ผู เปิดเสื้อคลุมของเขา เห็นด้านหลังของเขามีผ้าพันแผลเปื้อนเลือด และเต็มไปด้วยบาดแผลที่เป็นหนอง ดูแล้วน่าตกใจมาก

“ยังมีกระสุนอยู่ในร่างของคุณงั้นเหรอ” หลินอิ่งถาม “เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

“เฮ้อ….ฉันไม่กล้าไปเอากระสุนออกที่โรงพยาบาล เพราะกลัวว่าคนกลุ่มนั้นจะตามเจอเบาะแส และฉันคงไม่มีโอกาสได้แจ้งข่าวให้คุณชายทราบแน่ๆ!” หลี่ผูพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “คุณอย่าถามมากเลย เรื่องพวกนี้คุณจัดการไม่ได้หรอก”

“ฉันคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่วันแล้ว ของแค่ครั้งนี้คุณชายฟังคำแนะนำของคนรับใช้แก่ๆคนนี้ อย่าอยู่ในประเทศหลุงอีกต่อไปเลย รีบหนีไปต่างประเทศเถอะ!” หลี่ผูพูดอย่างอ้อนวอน

หลินอิ่งเดาอะไรได้บางอย่าง แต่ยังไม่กล้ายืนยัน

“ฉีเหอถูถูกไล่ออกจากตระกูลฉีใช่ไหม” หลินอิ่งถาม

หลี่ผูหน้าตาดูเศร้าหมอง และพูด “ตระกูลฉีของตี้จิงจบสิ้นลงแล้ว ไม่มีอีกแล้ว คนของตระกูลฉีถูกฆ่าตายหมดแล้ว……คุณท่านที่ที่เป็นอัมพาตนอนติดเตียงก็เสียชีวิตไปแล้ว ตระกูลฉีเหลือแค่คุณชายทายาทเพียงคนเดียวเท่านั้นแล้ว!”

“ตระกูลฉีถูกกำจัดหมดแล้วงั้นเหรอ” หลินอิ่งดูตกใจมาก จนดวงตาแข็งทื่อ

คนตระกูลฉีตายไปหมดแล้วจริงเหรอ

หลินอิ่งยังตกใจกับข่าวที่ได้ยินนี้

ตระกูลฉีของตี้จิงเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่มีธุรกิจมากมายของครอบครัว ขยายสาขาไปนับไม่ถ้วน และอำนาจที่ครอบครองอยู่นั้นก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจจินตนาการได้ พูดได้ว่าร่ำรวยเทียบเท่าประเทศเลย!

ยืนอยู่ที่จุดสุดยอดของประเทศหลุงมาหลายร้อยปี ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีในทุกๆราชวงศ์ เป็นตระกูลชนชั้นสูงของสมัยนั้น และเป็นตระกูลที่ร่ำรวยติดอันดับหนึ่งในห้าของประเทศหลุง!

แต่กลับถูกกำจัดตายยกตระกูลเนี่ยนะ

คุณปู่ก็อายุสั้น ฉีเหอถูก็ตายไปแล้ว…..

แม้ว่าเขาจะไม่รู้จักฉีเหอถู แต่เขาก็ทนไม่ได้ที่มีคนฆ่าฉีเหอถู! ยิ่งทนไม่ได้ที่มาตามฆ่าตนด้วย!

ในใจของหลินอิ่งรู้สึกโกรธมากๆ และถามออกมาด้วยความใจเย็น “ใครเป็นคนทำ เกิดอะไรขึ้นกับตระกูลฉีของตี้จิงกันแน่”

หน้าของหลี่ผูดูเศร้าหมอง และพูดอย่างขมขื่น : “ช่วงนี้ผมรับคำสั่งจากนายท่านให้อยู่ที่เมืองชิงหยูน แต่ผมไม่รู้รายละเอียดที่ชัดเจน ก่อที่ผมจะมาเมืองตุงไห่ ความขัดแย้งภายในตระกูลฉีนั้นรุนแรงมาก นายท่านสาม นายท่านห้า และนายท่านหก ทั้งสามแทบรอไม่ไหวที่จะเข้าควบคุมเป็นผู้ดูแลตระกูลฉี ต่อมาก็ฆ่าลุงสามของคุณชายตาย คุณท่านสูญเสียลูกไปในปีต่อมา และโรคชราก็กำเริบ จนหมดสติและนอนเป็นอัมพาตอยู่บนเตียง….”

“แต่ผมก็ไม่คาดคิดว่า ในเวลาชั่วข้ามคืน ครอบครัวใหญ่ของตระกูลฉีและคนในตระกูลย่อยจะถูกกำจัดไปทั้งหมด แม้แต่ไก่หรือสุนัขก็ไม่เหลือไว้ และธุรกิจภายใต้ชื่อตระกูลฉีทั้งหมดก็เปลี่ยนเจ้าของไปหมดแล้ว” หลี่ผูพูดพร้อมกับถอนหายใจ “นายท่านทั้งสามคนนั้นได้ต่อสู้กับนายท่าน ส่งผลให้ลูกหลานของพวกเขาสามชั่วอายุคน ถูกพรากชีวิตไปทั้งหมด สุดท้ายมือที่สามก็ได้รับผลประโยชน์ไป! ”

หลินอิ่งถามอย่างเยือกเย็น : “สุดท้ายแล้วใครจะได้ผลประโยชน์จากเรื่องนี้

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท