ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 81 ลงมือก่อนได้เปรียบ

บทที่ 81 ลงมือก่อนได้เปรียบ

บทที่ 81 ลงมือก่อนได้เปรียบ

เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก ภายในนั้นกลับว่างเปล่า

ชายในชุดสีดำนั้นอึ้งไป ได้แต่ยืนจ้องเข้าไปในลิฟต์ที่ไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิต

ชายหนุ่มเป็นเป้าหมายที่เขาไล่ตาม ต้องนั่งลิฟต์นี้ขึ้นมาไม่ผิดแน่

แล้วคนหายไปไหน?

ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ชายหนุ่มก็รู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมา ขนลุกไปทั้งตัว ราวกับว่ากำลังถูกสัตว์ร้ายตัวหนึ่งจ้องอยู่ด้านหลังยังไงอย่างนั้น

ผัวะ!!

มีอะไรบางอย่างกระแทกชายชุดดำจากทางด้านหลัง แรงส่งอันมหาศาลที่ปะทะเข้ามา ทำให้เขากระเด็นไปกระทบกับกำแพงเข้าอย่างแรง กระดูกแตกหมด

“แค่กๆ” ชายชุดดำสำลักเลือดออกมาทางปาก หันไปมองชายหนุ่มที่โจมตีมาจากทางด้านหลังด้วยแววตาที่ตกตะลึง “นี่คุณออกจากลิฟต์มาได้ยังไง? แล้วเป็นใครกันแน่?”

“ถามว่าผมเป็นใครอย่างนั้นเหรอ?” หลินอิ่งขำออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ “พวกคุณกำลังตามหาผมอยู่ไม่ใช่เหรอ?”

“คุณ? หรือคุณคือลูกชายที่ถูกตระกูลฉีทอดทิ้ง ฉีหยิ่นอย่างนั้นเหรอ?” ชายชุดดำทำหน้าตกตะลึง ไม่นึกเลยว่าคนที่องค์กรกำลังตามล่าอยู่ ชายคนที่ถูกตระกูลฉีทอดทิ้งมาเป็นเวลาสิบกว่าปีที่ จะมีความเก่งกาจและความสามารถมากขนาดนี้!

หลินอิ่งเดินเข้ามา ชกกำปั้นเข้าที่ใบหน้า จนชายชุดดำสลบลงไปนอนกองกับพื้น เขาค้นตัวของชายคนนั้น และพบเข้ากับรูปในหนึ่งและมือถืออีกหนึ่งเครื่อง

มองดูรูปของฉีเหอถูตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ สีหน้าของหลินอิ่งดูเคร่งเครียดมากยิ่งกว่าเดิม เขาลากตัวชายชุดดำเข้าไปในห้องประชุมที่อยู่บนชั้น26 จากนั้นก็เข้าไปในห้องจ่ายไฟของโรงแรมชิงหยูนอย่างรวดเร็ว

ก่อนที่จะมา หลินอิ่งก็ต้องเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีอยู่แล้ว เขาได้ศึกษาแบบแปลนของโรงแรมชิงหยูนมาเป็นอย่างดีแล้ว

ในเมื่อคนที่ตระกูลเหวินส่งมายังคงใช้แผนเดิมแบบซ้ำซากอยู่ คือการที่รอเขาขึ้นไปรับสมบัติที่ชั้น26

เขาจึงใช้โอกาสที่ผิดพลาดเกี่ยวกับตัวตนของเขาที่พวกเขาได้รับมาให้เป็นประโยชน์

ตอนที่หลินอิ่งเข้าลิฟต์ไป เขาก็รีบกดไปที่ชั้น26 รอจนลิฟต์ขึ้นไปถึงที่ชั้น23 เขาก็ได้ปีนออกจากลิฟต์โดยใช้ประตูน้ำฉุกเฉินที่อยู่ทางด้านบน จากนั้นก็ปีนออกไปทางหน้าต่าง แล้วรีบอ้อมไปทางห้องประชุม ที่อยู่บนชั้น26 มันก็ยังถือเป็นการสอดแนมและยืนยันไปในเวลาเดียวกันอีกด้วย เมื่อเห็นท่าไม่ดี เขาก็สามารถจัดการกับชายชุดดำคนนี้ได้จากทางด้านหลังได้เลย

ปั้ง!

หลินอิ่งเดินเข้าไปยังห้องจ่ายไฟ ปิดประตูลงในทันที

หลังจากนั้นสิบวินาที โรงแรมชิงหยูนอันใหญ่โตที่กำลังสว่างไสวก็ตกอยู่ในความมืดมิดในทันที

“เกิดอะไรขึ้น? ไฟดับเหรอ?”

จู่ๆ ไฟในห้องล็อบบี้ก็ดับลง ทุกอย่างตกอยู่ในความมืดมิด ทำเอาพนักงานต้อนรับสองคนที่อยู่ตรงนั้นถึงกับตกใจ

ในตอนนั้นเอง ไฟสปอร์ตไลท์ดวงหนึ่งก็ถูกเปิดขึ้น มีชายคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาจากทางประตูหน้าอย่างเคร่งขรึม เป็นชายร่างใหญ่ที่มาในชุดดำ ข้างๆ ยังมีชายใส่สูทอีกสามคนที่ดูเป็นการเป็นงานเดินตามมาอีกด้วย

“พวกคุณเลิกงานได้และกลับบ้านเดี๋ยวนี้!” ชายชุดดำพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม และไล่พนักงานต้อนรับของโรงแรมออกไป

ผู้จัดการของห้องล็อบบี้ก็เป็นคนที่พวกเขาเพิ่งจ้างมา ดังนั้นตอนนี้โรงแรมชิงหยูนทั้งหลังก็ได้ตกอยู่ในการควบคุมของพวกเขาโดยสมบูรณ์แล้ว

“พี่เหวินเป้า พี่มาได้สักที! เมื่อกี้พี่หมาป่าก็เพิ่งสั่งให้ผมเฝ้าประตูของโรงแรมให้ดี แล้วยังสั่งให้ผมโทรหาพี่ด้วย และไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นจู่ๆ สายก็ตัดไป ผมว่ามันแปลกๆ นะ” อาซื๋ฮทำหน้าจริงจัง

“จะมีอะไรน่าแปลก? เมืองชิงหยูนที่เล็กจ้อยนี้ ยังมีคนกล้ามาทำอะไรพิเรนทร์เมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเราอีกงั้นเหรอ?” เหวินเป้าขำออกมาอย่างไม่สงบอารมณ์ ท่าทางดูมั่นอกมั่นใจเป็นอย่างมาก

“ไป ไปดูที่ห้องควบคุมกัน ไม่รู้ว่า หมาป่ากำลังทำอะไรอยู่กันนะ?”

พูดจบ ชุดดำห้าคนก็เดินเข้าไปทางบันไดหนีไปอย่างรวดเร็ว

เหวินเป้าเดินนำ คนทั้งหมดเดินขึ้นบันไดไปถึงชั้นเก้าอย่างรวดเร็ว คาดว่าในเวลาสามนาทีพวกเขาก็น่าจะไปถึงห้องควบคุมแล้ว

พุ่ง!

ท่ามกลางความมืดมิด ได้มีเสียงหนึ่งดังขึ้น เป็นเสียงที่ชวนตกใจเป็นอย่างยิ่ง!

“โอ้ย!”

ในขณะที่เหวินเป้ายังไม่ทันตั้งตัว นักฆ่าทั้งสี่คนก็ได้ส่งเสียงร้องออกมา แล้วได้พากันกลิ้งลงบันไดไป

“ใครเป็นคนทำ?” เหวินเป้าก้มลงไปสัมผัสลูกน้องที่นอนอยู่ข้างล่างด้วยความหวาดระแวง

คำถามที่ถามไปไร้ซึ่งคำตอบ เขาเริ่มกระวนกระวายใจ!

รอบๆ มืดมน มองไม่เห็นแม้กระทั่งนิ้วมือ เม็ดเหงื่อผุดออกจากหน้าผากของเหวินเป้า เขารู้ซึ่งเลยว่าตัวเองเจอกับยอดฝีมือเข้าแล้ว

“ไม่ทราบว่าเป็นยอดฝีมือท่านไหน? น้องชายคนนี้อาจจะไปล่วงเกินท่านเข้าโดยไม่รู้ตัว แต่ว่าตี้จิงตระกูลเหวินของเรานั้นไม่ใช่ตระกูลที่ใครก็จะสามารถมามีเรื่องด้วยได้นะ!” เหวินเป้าพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง โดยที่ยังคงระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา

“ตระกูลเหวิน งั้นก็ไม่ผิดแน่”

เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้น

เหวินเป้ากำลังจะพูดสวนไป แต่แล้วแรงปะทะขนาดใหญ่ก็ได้กระแทกเข้าที่ใบหน้าของเขา เขาหน้ามืดและล้มลงในทันที

สามนาทีหลังจากนั้น บนดาดฟ้าชั้นบนสุดของโรงแรมชิงหยูน

สายลมเย็นๆ

หลินอิ่งกับใบหน้าที่เคร่งขรึม เสื้อคลุมที่สวมใส่กำลังปลิวไสว สองมือวางอยู่บนราวระเบียง บรรดาตึกที่ใหญ่โตตั้งตระหง่านอยู่รอบๆ

หลังจากที่บี้บุหรี่ที่อยู่ในมือไปแล้ว เขาก็เตะถังเหล็กถังหนึ่งจนล้มลง

ซ่าาา

น้ำเย็นถังหนึ่งราดลงบนหัวของเหวินเป้า เหวินเป้าสะดุ้งตื่นในทันที

“คุณเป็นใคร? คุณกล้าดียังไงมาทำร้ายผม?” เหวินเป้าโกรธจนควันออกหู จ้องเขม็งไปยังชายปริศนาที่ยืนอยู่ตรงหน้า

เขารีบเด้งตัวขึ้นมา พอลุกขึ้นได้ก็จะสวนกลับในทันที

พรึบ!

หลินอิ่งกระโดดถีบใส่จนเหวินเป้ากระอักเลือดไม่หยุด กระดูกดังไปทั้งตัว เหวินเป้ากลิ้งลงไปนอนกองกับพื้น ไม่หลงเหลือแรงที่จะโต้กลับเลยแม้แต่น้อย

ด้วยฝีมือแค่นี้ยังกล้าเสนอหน้ามาไล่ล่าผมอีกเหรอ?” หลินอิ่งบีบเข้าไปที่คอของเหวินเป้า จนเหวินเป้าลอยขึ้นจากพื้น แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยือกว่า “บอกเรื่องทุกอย่างที่คุณรู้เกี่ยวกับตระกูลเหวินมาให้หมด แล้วผมจะส่งคุณไปอย่างสบายๆ”

เหวินเป้าทำหน้ากระวนกระวาย มองชายปริศนาที่กำลังแผ่รังสีอำมหิตออกมาอย่างน่าเหลือเชื่อ

เขาเป็นถึงหนึ่งในหัวหน้ากลุ่มนักฆ่าของตี้จิงตระกูลเหวินเลยนะ ถ้าให้เทียบฝีมือของนักฆ่าในตี้จิงแล้วละก็เขาเองก็อยู่ในระดับแนวหน้าเลยนะ! แต่เขากลับมาพลาดท่าในเมืองชิงหยูนเนี่ยนะ? ถูกคนถีบจนกระดูกร้าว แม้แต่แรงที่จะโต้กลับยังไม่มีเลยงั้นเหรอ?

“ตระกูลเหวินงั้นเหรอ? คุณอยากรู้เรื่องของตระกูลเหวิน?” เหวินเป้าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ แววตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น “หรือว่า? คุณคือลูกชายที่ถูกตระกูลฉีทอดทิ้งไปเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว และซ่อนตัวอยู่ในเมืองชิงหยูน คุณคือฉีหยิ่นเหรอ?”

“คุณทายถูกแล้ว แต่ชื่อของผมคือหลินอิ่งไม่ใช่ฉีหยิ่น” หลินอิ่งพูดด้วยรอยยิ้มที่แสนเย็นชา

“เป็นไปไม่ได้!” เหวินเป้าทำหน้าตะลึง “ทำไมคุณถึงมีฝีมือที่ร้ายกาจขนาดนี้ได้? ถึงขนาดกล้ามาหาเรื่องเราถึงที่เลยเนี่ยนะ?”

เหวินเป้าเชื่อไม่ลงเลยจริงๆ ว่าเป้าหมายที่พวกเขาตามล่ามาตลอดจะเป็นคนที่เก่งกาจขนาดนี้ และที่คาดไม่ถึงมากที่สุดก็คือ หลังจากลูกชายที่ถูกตระกูลฉีทอดทิ้งคนนี้ได้รู้เรื่อง เขาไม่เพียงไม่หนีไป แถมยังกล้าเข้ามาประชันหน้ากับพวกเขาซึ่งๆ หน้าแบบนี้ด้วย

พวกเขาเพิ่งมาถึงที่เมืองชิงหยูนได้แค่สองวันเองนะ! ยังไม่ทันได้ไปตรวจสอบตัวตนของฉีหยิ่นที่อยู่ในเมืองชิงหยิ่นเลยก็ถูกฉีหยิ่นชิงลงมือก่อนจนทำให้พวกเขาต้องมาเสียท่าแบบนี้

“หลี่ผูเป็นคนส่งข่าวให้คุณรู้ใช่ไหม? หรือว่าตระกูลฉีคอยให้การสนับสนุนคุณอย่างลับๆ มาโดยตลอดอย่างนั้นเหรอ?” เหวินเป้าถามออกมาด้วยใบหน้าที่ตื่นตกใจ

ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่การใช้ไหวพริบที่เฉียบคมของหลินอิ่ง ภายหลังจากที่ไฟในโรงแรมดับลงแล้ว เขาก็รีบมาดักรออยู่ที่บันไดหนีไฟ เพื่อรอการมาถึงของพวกเขา ไหนจะฝีมือที่ร้ายกาจของเขาอีกล่ะ! น่ากลัวเป็นบ้าเลย

ด้วยไหวพริบในการแก้ปัญหาที่เขามี เขาคงมีอนาคตที่ไกลแน่

ชายหนุ่มที่ความสามารถโดดเด่นขนาดนี้ องค์การตระกูลใหญ่ในตี้จิงก็คงหาได้ยาก! แล้วทำไมถึงถูกตระกูลฉีไล่ออกมาตั้งแต่ต้นล่ะ?

หลินอิ่งยิ้มอย่างไม่สบอารมณ์ ไม่มีคำอธิบายใดๆ เพียงแค่ยื่นมือขึ้นไปจับคอหอยของเหวินเป้าเอาไว้ แกร็ก บิดข้อมือ เส้นเอ็นที่อยู่ใต้คางของเหวินเป้าขาดกระจุย ตอนนี้ปากของ เหวินเป้าชาไปหมดแล้ว ทำให้เขาไม่สามารถกัดลิ้นตัวเองได้ จากนั้นหลินอิ่งก็ได้ล้วงเอาตะเกียบไม้สีดำคู่หนึ่งที่หยิบมาจากโรงแรมออกมา

“นี่ คุณคิดจะทำอะไร?” เหวินเป้าทำหน้าหวาดผวา มองดูแววตาที่เย็นเยือกของหลินอิ่ง มันเยือกเย็นเหมือนกับน้ำแข็ง เห็นแล้วทำให้รู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว!

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท