ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 98 เขตเหนือของเมืองเกิดเรื่อง

บทที่ 98 เขตเหนือของเมืองเกิดเรื่อง

บทที่ 98 เขตเหนือของเมืองเกิดเรื่อง

หลินอิ่งหัวเราะอย่างเยือกเย็นไม่ได้พูดอะไรออกมา ลู่กวงไม่มีศักดิ์ศรีในตัวเองให้น่าพูดเลยแม้แต่น้อยจริงๆ

คนแบบลู่กวงนี่ยิ่งอยู่ในโทรศัพท์หรือโห่ร้องคอมเมนต์บนเว็บไซต์เก่งมากเท่าไร พอพบเข้ากับเจ้าของเรื่องตัวจริง ก็ยิ่งขี้ขลาดมากเท่านั้น ต่ำตมมากเท่านั้น!

“คือผมที่ปากเสีย พูดผิดคำแล้ว คุณปู่ คือคุณที่กำลังเอาแม่ของผม นอนอยู่บนเตียงของแม่ผม ผมสมควรถูกตี ผมตีตัวผมเอง ขอร้องคุณเพียงแค่อย่าฆ่าผมเลยนะครับ!” ลู่กวงคุกเข่าลงบนพื้น เพี้ยะๆๆๆตบลงบนใบหน้าของตัวเอง ตบแรงขึ้นเรื่อยๆ รอยนิ้วมือต่างก็ตบจนออกมาให้เห็นแล้ว

“แกแม่งไม่มีความเคารพตัวเองเลยจริงๆ คนที่ต่ำตมสุดๆแบบแกนี่ ประธานหลินจะมองแม่แกเข้าตา?”

เจียงฉีพุ่งเข้ามาก็ต่อยเตะลงไปหลายที อัดอั้นเต็มสุดกำลัง ฝ่ามือเพี้ยะๆสะบัดไปอย่างบ้าคลั่ง รองเท้าหนังจ่อไปที่ศีรษะของลู่กวงเตะไปอย่างเต็มที่

ก่อนหน้านี้เขาอัดอั้นไฟโกรธเอาไว้เต็มท้อง คราวนี้จะต้องระเบิดออกมาทั้งหมด หากไม่ใช่แม่ของตนเองยังอยู่ในมือของตระกูลซูนล่ะก็ เขาแทบอยากจะฆ่าลู่กวงไปซะตรงนี้!

หลังจากที่เจียงฉีซ้อมโดยที่อีกฝ่ายไม่มีกำลังจะสู้อย่างรุนแรงไปหนึ่งยก รองเท้าหนังสีดำต่างก็ใกล้จะเตะจนขาดแล้ว เตะจนลู่กวงเอามือกุมหัว น้ำมูกน้ำตาต่างก็ถูกซ้อมจนออกมาแล้ว กอดศีรษะเอาไว้น้ำตาไหล

“ฉันถามแก ลู่กวงไอ้คนไม่มีความเคารพในตนเอง แม่ของฉันถูกพวกแกจับไปไว้ที่ไหนแล้ว?” เจียงฉีเอ่ยขึ้นอย่างดุดัน ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ หยิบฟึ่บปืนพกกระบอกนั้นที่ลู่กวงทำตกเอาไว้ขึ้นมาจากโต๊ะทำงาน นำปากกระบอกจ่อเข้าไปในปากของลู่กวงในทันที

“ฉัน ฉัน…” ลู่กวงกลัวจนแทบตาย ปากกระบอกปืนต่างก็ค้างอยู่ในปากแล้ว ลิ้นที่ใช้พูดต่างก็กำลังสั่น

“แกจะพูดไม่พูด?” เจียงฉีเอ่ยขึ้นอย่างดุเดือด เส้นเลือดนูนกระจายเต็มหน้าผาก

เจียงฉีคนที่นั่งออฟฟิศมาเป็นระยะเวลายาวนาน ไม่เคยจับอาวุธของจริงมาก่อนคนนี้ ในเวลานี้ก็ได้เปิดเผยด้านที่โหดเหี้ยมน่ากลัวออกมาเช่นเดียวกัน

เขาได้รับได้รับการกดขี่รังแกจากตระกูลซูนมามากเกินไปแล้วจริงๆ!

คราวนี้ยิ่งเป็นการถูกตระกูลซูนบีบจนเกือบจะบ้านแตกคนในครอบครัวล้มตาย ตัวเองถูกแขวนอยู่กลางอากาศของตึกสูงสามสิบกว่าชั้น แม้กระทั่งแม่ที่อายุใกล้จะหกสิบก็ยังถูกไอ้พวกเดรัจฉานกลุ่มนี้จับตัวไป!

“ผมพูด!ผมพูด ท่านประธานเจียง ผมก็เป็นเพียงแค่คนที่ทำงานให้ฉินฝู้กุ้ยพี่ใหญ่ฉินเท่านั้น!” ลู่กวงเอ่ยพร้อมด้วยน้ำมูกน้ำตาที่ไหลลงมา “พี่ใหญ่ฉินกับตระกูลซูนคุยกันยังไงผมไม่ชัดเจนเลยแม้แต่น้อย!แม่ของคุณก็คือพี่ใหญ่ฉินส่งคนอีกกลุ่มไปจับ ผมไม่รู้เลยครับว่าอยู่ที่ไหน!ขอร้องคุณล่ะ เอาไอ้นี่วางลงเถอะ จะทำให้คนกลัวจะตายอยู่แล้วนะครับ!”

“พวกแกไอ้สัตว์เดรัจฉานกลุ่มนี้ มีวิธีการอะไรพุ่งมาที่กูนี่!มีปัญญาก็ฆ่าฉันให้ตายสิ ไม่มีความสามารถสู้คนอื่นไม่ได้ ก็ไปจับตัว? แกแม่งยังนับว่าเป็นอะไร? ขยะ!เดรัจฉาน!คนไร้ประโยชน์!กากเดนสังคม!”

“พวกแกสุนัขรับใช้ของตระกูลซูนกลุ่มนี้ สมควรตายให้หมด!!”

เจียงฉีคำรามด้วยความโมโหไปหนึ่งยก ไฟโกรธทะลักสูง คนทั้งคนเกือบจะตกเข้าไปสู่ความบ้าคลั่ง แทบจะฆ่าลู่กวงให้ตายไปเสียตอนนี้!

สูดหายใจยาวเข้าไปเต็มปอดหลายที ลมหายใจของเจียงฉีสงบลงมา มองไปยังหลินอิ่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้บอส สีหน้าเรียบเฉยเล็กน้อย

เจียงฉีใจเย็นลงมาแล้ว เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่จริงจัง “ประธานหลิน ลำดับต่อไป คุณว่าควรจะจัดการยังไงดีครับ?”

หลินอิ่งจุดบุหรี่มวนหนึ่ง เอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ “แกไปพบฉินฝู้กุ้ยกับฉัน ให้เขาส่งมอบแม่ของแกออกมา”

“ตอนนี้ก็ไปหาฉินฝู้กุ้ยหรอครับ?” เจียงฉีเอ่ยถาม ในใจรู้สึกเซอร์ไพรส์ และก็มีความสงสัยอยู่เล็กน้อยเช่นเดียวกัน

เขายังจะเป็นห่วงความปลอดภัยของแม่ในเวลานี้มากกว่าใครๆ ประธานหลินบอกว่าตอนนี้ไปหาฉินฝู้กุ้ยบีบให้เขาส่งมอบคนออกมา ในใจแน่นอนว่าดีใจจนถึงขีดสุด

แต่ว่า แต่สิ่งที่เจียงฉีสงสัยในใจก็คือ ฉินฝู้กุ้ยจะพูดง่ายขนาดนั้น ยอมปล่อยคนออกมาหรอ?

ปะปนอยู่ในวงการธุรกิจที่เขตเหนือของเมืองมานานหลายปีขนาดนี้ แน่นอนว่าเขารู้จักฉินฝู้กุ้ยงูเจ้าถิ่นคนนี้ นั่งอยู่บนตำแหน่งสูงสุดในเขตเหนือของเมืองอย่างมั่นคง ชื่อเสียงกิตติคุณโด่งดัง มีเงินมีอำนาจ

อีกทั้ง ฉินฝู้กุ้ยยังคงเป็นตระกูลระดับขั้นที่สองที่สูงที่สุดของเมืองชิงหยูน ท่านรองของตระกูลฉิน กับพี่ใหญ่ของเขาหัวหน้าครอบครัวของตระกูลฉิน คนหนึ่งอยู่ในโลกธุรกิจ คนหนึ่งวนเวียนอยู่ในพื้นที่สีเทา ประสานมือกันอย่างแข็งแกร่ง ร่วมมือกันอย่างดีมาก

พูดได้ว่า ในสถานการณ์ที่สามตระกูลใหญ่ไม่ออกหน้า ทั่วทั้งท้องฟ้าในเขตเหนือของเมืองก็คือตระกูลฉินที่เรียกลมเรียกฝนได้!

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฉินฝู้กุ้ยตอนนี้ยังติดต่อสัมพันธ์กับตระกูลซูนอีก หลังพึ่งความยิ่งใหญ่ของตระกูลซูน ในเขตเหนือของเมืองที่ผืนนี้ ต่อให้เป็นตระกูลหวางกับตระกูลโจก็ยังกล้างัดข้อโดยสมบูรณ์แบบ

เจียงฉีไม่ได้สงสัยในกำลังความสามารถของประธานหลิน แต่ว่า ภายใต้สถานการณ์ในตอนนี้ ไปหาฉินฝู้กุ้ยบนอาณาบริเวณเขตเหนือของเมือง จะค่อนข้างเสี่ยงภัยเกินไปหน่อยแล้วหรือเปล่า?

“ท่านหลิน คนที่เฝ้าประตูอยู่ด้านล่าง ผมจัดการสะอาดเรียบร้อยแล้วครับ”

ในเวลานี้เอง ด้านนอกประตูออฟฟิศทำงาน มีชายวัยกลางคนที่หน้าตาน่าเกรงขาม สวมชุดฝึกวิชาสีขาวคนหนึ่งเดินเข้ามา

ที่ด้านหลังของเขา ยังมีผู้ชายสวมชุดสีดำสำหรับการต่อสู้สิบกว่าคนตามมาด้วย แต่ละคนไม่ได้แสดงความโกรธก็ยังมีความน่าเกรงขาม แค่ในด้านออร่าก็สามารถกดทับกากเดนกลุ่มนี้ของลู่กวงได้หมดแล้ว

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย เอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ “หลิวจุน คุณส่งคนพาพวกลู่กวงออกไป จากนั้นลงไปขับรถ พวกเราเตรียมตัวไปเขตเหนือของเมืองหาฉินฝู้กุ้ย”

“ครับ!ท่านหลิน!” หลิวจุนพยักหน้าด้วยความเคารพนบนอบ โบกมือเล็กน้อย บอดี้การ์ดผู้มีความสามารถสิบกว่าคนก็พุ่งเข้ามาเอาตัวลู่กวงและลูกน้องลากออกไปจนหมด

“เจียงฉี รอช่วยชีวิตแม่ของแกออกมาได้ ลู่กวงควรจะจัดการยังไง ฉันจะส่งให้แกจัดการด้วยตัวเอง” หลินอิ่งเอ่ยขึ้นอย่างนิ่งสงบ

“ครับ!ขอบพระคุณประธานหลิน!” เจียงฉีกระตือรือร้นมีชีวิตชีวา เลือดในร่างกายเดือดพล่าน

เขาตกอยู่ในอาการช็อก ในตอนที่เห็นหลิวจุนเดินเข้ามาในออฟฟิศ ก็คิดได้โดยสมบูรณ์แบบแล้ว นี่คือสถานการณ์อะไรกัน!

ตัวเจียงฉีเองก็คือบุคคลหมายเลขหนึ่งที่ปะปนอยู่ในแวดวงผู้ที่มีชื่อเสียง จึงรู้จักหลิวจุนสามพี่น้อง

หลิวจุนสามพี่น้องก่อนหน้านี้ถูกคุณชายใหญ่ตระกูลโจ โจปิน จ่ายเงินจำนวนมหาศาล เชิญไปทำหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญระดับสูง ต่อมาได้ยินว่าโจปินตกอยู่ในมือของเสิ่นซาน หลิวจุนก็ติดตามท่านเสิ่นซานผู้รุ่งโรจน์ ภายใต้มือของท่านเสิ่นซานได้รับหน้าที่ที่สำคัญ กลายเป็นหัวม้า เป็นคนโปรด!

แม้แต่หลิวจุนก็ยังเรียกประธานหลินว่าท่านหลิน? ยังเชื่อฟังการจัดการของท่านหลิน?

นี่แค่คิดก็รู้ถึง…อำนาจใต้ดินของท่านหลิน อย่างน้อยที่สุดก็มีถึงระดับของท่านเสิ่นซานล่ะ!ท่านเสิ่นซานตอนนี้เป็นถึงหัวมังกรที่มั่นคงของเมืองชิงหยูน ถึงขั้นใกล้จะได้นั่งบนตำแหน่งพี่ใหญ่ของเมืองตุงไห่

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านเสิ่นซานเดิมทีเป็นเพียงแค่งูเจ้าถิ่นของเมืองหนานเฉิง อยู่ๆมีอำนาจขึ้นมาอย่างกะทันหัน เบื้องหลังนี้มีอะไรน่าสงสัยใช่หรือเปล่า?

นี่ก็เหมือนกันกับตัวเอง มีประธานหลินคอยค้ำอยู่เบื้องหลัง แม้แต่ตระกูลซูนแห่งสามตระกูลใหญ่ก็ยังกล้าแข็งข้อ

เจียงฉีเป็นคนที่นิดหน่อยก็ซึมผ่านได้คนหนึ่ง ไม่เช่นนั้นก็คงจะไม่วนเวียนอยู่ในโลกธุรกิจราวกับปลาได้น้ำเช่นนี้ คิดเชื่อมโยงไปถึงตนเองถูกหลินอิ่งคอยสนับสนุน ไม่ช้าก็คาดเดาอะไรขึ้นมาได้ คิดหาคำตอบขึ้นมา ในใจรู้สึกช็อกถึงขีดสุด!

“พวกแกทำอะไร? หลิวจุน? ตอนนี้แกไม่ใช่อยู่กับท่านเสิ่นซานหรอกหรอ?ทำไมถึงได้มาช่วยทำงานให้กับหลินอิ่ง?” ลู่กวงโวยวายเสียงดังขึ้นมา ใบหน้าเหลือเชื่อ

เดิมทีลู่กวงยังรู้สึกมีความโชคดีหลงเหลืออยู่ รอหนีรอดจากภัยพิบัติตรงหน้านี้ไปได้ ขอเพียงแค่ยังมีชีวิตก็ยังมีความหวัง กลับไปก็ไปรายงานพี่ใหญ่ฉิน ให้พี่ใหญ่ฉินช่วยล้างแค้น

แต่ในวินาทีที่มองเห็นหลิวจุนเรียกหลินอิ่งว่าท่านหลินนั้น จิตใจที่คิดล้างแค้นของเขาก็ดับลงภายในชั่วพริบตา…

“หึ ลู่กวง ฉันบอกแกให้ เรื่องทั้งหมดในวันนี้ แกกล้าเปิดเผยออกไปคำหนึ่ง แกก็จะหายไปจากเมืองชิงหยูนในทันที” หลิวจุนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น “แกต้องเข้าใจว่า ชีวิตน้อยๆของแกในตอนนี้ ท่านหลินได้ส่งมอบให้กับเจียงฉีแล้ว ความเป็นความตายของแก เจียงฉีเป็นผู้ตัดสิน!”

“ไม่!ผมไม่มีทางพูดอย่างเด็ดขาด ประธานเจียง ขอร้องปล่อยผมไปเถอะผมไม่มีทางหลุดรั่วข่าวคราวใดๆออกไปอย่างแน่นอน ผมให้ข้อมูลข่าวกับพวกคุณ ผมรู้ว่าปกติพี่ใหญ่ฉินชอบไปกินดื่มเที่ยวเล่นที่ไหน ขอร้องคุณล่ะ” ลู่กวงร้องขอความเมตตาอย่างรนหาที่ตาย

ปึ้ง!

หลินอิ่งลุกขึ้น ถีบลู่กวงจนมึน แล้วเดินออกจากออฟฟิศ จากนั้นจัดปกคอเสื้อเล็กน้อย รับเสื้อกันลมสีดำตัวหนึ่งมาจากในมือของหลิวจุน คลุมไว้บนร่างกาย ปิดบังรอยเลือดที่อยู่บนแขนเสื้อ

“ไปเถอะ ไปหาฉินฝู้กุ้ย” หลินอิ่งเอ่ยขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงประเด็นที่สำคัญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท