ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 75 ฝนกำลังมา

บทที่ 75 ฝนกำลังมา

บทที่ 75 ฝนกำลังมา

“ไม่อนุญาตให้ไป! หยุดอยู่ตรงนั้นนะ!” หวางหงหลิงโกรธจนกัดฟัน และมองตามหลังหลินอิ่งด้วยความเกลียด

“คุณดูถูกหวางจื่อเหวินแบบนี้ นี่เป็นความแค้นแห่งเลือดแล้ว! ถ้าไม่ได้ฉันปกป้องคุณ คุณยังจะอยู่ที่เมืองชิงหยูนได้เหรอ” หวางหงหลิงพูดด้วยความโกรธ

“ความคิดเหมือนเด็ก”

หลินอิ่งพูดเบาๆ โดยไม่ได้หันหลังกลับไป

หวางหงหลิงทำหน้าบูด หายใจเข้าลึกๆ มองหลินอิ่งเดินจากไป รู้สึกโกรธจนจะระเบิดออกมา!

“ฉันความคิดเหมือนเด็กงั้นเหรอ” หวางหงหลิงรู้สึกคิดไม่ถึง “ไอ้หก ไอ้เจ็ด พวกคุณว่าคนคนนี้เป็นคนประหลาดไหม ”

ไอ้หกทำหน้าลังเล อยากจะบอกว่าคุณหนูความคิดเหมือนเด็กมากต่อหน้าหลินอิ่ง… แต่ก็ไม่กล้าพูด …

“คุณหนูครับ ตอนที่คุณกับไอ้เจ็ดยังไม่มา ผมเห็นกับตาเลยว่า หลินอิ่งเผชิญหน้ากับมือปืนสิบกว่าคน โดยไม่กะพริบตาเลย ทำเหมือนเป็นแค่คนที่มีกำลังน้อยอยู่ตรงหน้าเขา” ไอ้หกพูดอย่างจริงจัง “ท่าทางแบบนี้ไม่มีทางแสร้งทำได้”

หวางหงหลิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ถามด้วยความสงสัย “คุณรู้ได้ยังไงว่าเขาไม่ได้ตกใจกลัวจนโง่ นิ่งอยู่กับที่ไม่กล้าขยับ”

“คุณหนู ผมฝึกฝนอยู่ที่ต่างประเทศเป็นเวลาหลายปี ฉากต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ก็เคยเห็นมาแล้ว แต่หลินอิ่งคนนี้ทำให้รู้สึกถึงความน่ากลัวมาก มันอันตรายกว่าที่ฉันเคยตกเป็นเป้าซุ่มยิงจำนวนมากอีกนะ!ฉันคิดว่าเขาไม่ได้พูดโกหก” ไอ้หกพูดอย่างเคร่งเครียด “เขาดูมีความมั่นใจที่จะเผชิญหน้ากับพวกมือปืนนับสิบนี้!”

ไอ้หกรู้สึกตกตะลึงกับหลินอิ่งมาก เขาคิดไม่ออกว่า หลินอิ่งจะจัดการกับปืนที่เล็งมาจากทิศทางต่างๆในระยะใกล้ขนาดนี้ได้อย่างไร

แต่หลินอิ่งแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในตัวเองมากขนาดนั้น ทำให้เขาเชื่ออย่างสนิทใจว่า หลินอิ่งนั้นไม่เกรงกลัวเลย และสายตายังดูติดตลกด้วย ทำเหมือนว่าในมือของพวกมือปืนฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่ปืน แต่เป็นเศษเหล็ก……

หวางหงหลิงดวงตาส่องเป็นประกาย นิ้วงามของเธอจับที่คาง พลางคิดอะไรบางอย่าง

“หรือเขามีความสามารถนี้จริงๆ” หวางหงหลิงพูดกับตัวเอง

เมื่อนึกถึงร่างของชายคนนั้น ใบหน้าของเธอก็แดงขึ้นมาทันที

……

ตอนกลางคืน ณ วิลล่าหิมะมังกร

หลินอิ่งกลับไปที่วิลล่าสุดหรูของเขา ยืนพิงระเบียบอยู่ที่ชั้นสาม สายตาที่ลึกล้ำ มองไปที่แม่น้ำชิงหยูนอันเก่าแก่

ตึง ตึง ตึง!

ในตอนนี้ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

“เข้ามา” หลินอิ่งพูดเสียงเรียบๆ

เสิ่นซานสวมเสื้อเชิ้ตลายดอก ในมือถือสร้อยลูกประคำ กับกระเป๋าถือสีเงิน เดินไปที่ระเบียงด้วยท่าทีนอบน้อม

“ท่านหลินครับ งานที่คุณสั่งทำเสร็จแล้ว” เสิ่นซานยืนอยู่ข้างๆ โค้งตัวเล็กน้อยอย่างนอบน้อม และพูด “ฉันตรวจสอบชัดเจนแล้วว่า หัวหน้าแก๊งผู้ลี้ภัยทางตะวันออกของเมืองมีชื่อว่าโจปิน ซึ่งเป็นลูกหลานทางสายเลือดโดยตรงของตระกูลโจ และเป็นลูกชายคนที่สองของตระกูลโจ ตอนวัยรุ่น โจปินเรียนอยู่ที่อเมริกาใต้ ต่อมาก็อยู่ที่นั่นเพื่อขยายอิทธิพล นอกจากแก๊งชาวต่างชาติที่เขาพากลับมาแล้ว ยังมีอีกสามคนเป็นคนประเทศหลุง เป็นที่รู้กันว่ามีฝีมือด้านศิลปะการต่อสู้ของจีน สามารถผ่าหินให้แตกได้ด้วยมือเปล่า การต่อสู้ก็มีฝีมือมาก”

“นอกจากนี้ นี่คือรายชื่อธุรกิจและทรัพย์สินของเขตตะวันออกของเมืองที่ได้ทำลายลง หลังจากที่เซควนเสียชีวิต” เสิ่นซานพูดด้วยความนอบน้อม นำกระเป๋าถือสีเงินวางบนโต๊ะน้ำชา และเปิดด้วยความระมัดระวัง

ในกระเป๋าถือ เป็นหนังสือสัญญาซื้อขายหุ้นของบริษัทต่างๆในเขตตะวันออกของเมือง เอกสารการถือหุ้น100%สำหรับสถานบันเทิงหลายสิบแห่ง และบัตรธนาคารอีกกองใหญ่

หลินอิ่งเหลือบมองไปที่กระเป๋าถือ และถาม “คุณได้นัดหมายการเจรจากับโจปินแล้วหรือยัง”

“นัดหมายเรียบร้อยแล้ว โจปินตกลงที่จะออกมาต่อสู้เพื่อชัยชนะ ตัดสินกรรมสิทธิ์ในเขตควบคุมเขตตะวันออกของเมืองนี้” เสิ่นซานพูดอย่างเคร่งเครียด “พรุ่งนี้ไปที่ท่าเรื่อหลงหู่ แม่น้ำชิงหยูน”

“พรุ่งนี้ฉันจะไปปราบเขา” หลินอิ่งพูดเบาๆ “นอกจากนี้ ฉันต้องการให้คุณขยายอำนาจ แล้วรวมพวกใต้ดินไว้ด้วยกันให้เร็วที่สุด บนถนนเมืองชิงหยูน ให้เขียนรายชื่อคนที่คุณไม่สามารถควบคุมได้ตอนนี้ออกมาด้วย”

“ครับ! ฉันกลับไปแล้วจะรวบรวมกำลังคน!” เสิ่นซานพูดด้วยความฮึกเหิม “มีหลายพื้นที่ในเมืองชิงหยูนที่ฉันไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้ เช่นเขตตะวันตกของเมือง เขตเหนือของเมือง กลางเมืองและเขตชานเมืองอีกหลายแห่ง ฉันรู้ว่าใครเป็นหัวหน้าใหญ่ในพื้นที่เหล่านี้ ความหายของท่านคือ”

“ผู้คล้อยตามฟ้าจะราบรื่น ผู้ฝ่าฝืนฟ้าจะเสียหาย” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบๆ “ฉันจะช่วยให้คุณขึ้นนั่งตำแหน่งสูงสุดในเมืองตุงไห่ให้ได้”

“ครับ! ท่านหลิน! ฟังคำสั่งการของท่านทุกอย่าง!” เสิ่นซานพูดด้วยความฮึกเหิม และบ้าเลือด

ท่านหลินต้องการช่วยให้ตัวเองขึ้นนั่งตำแหน่งสูงสุดในเมืองตุงไห่ นี่เป็นโอกาสที่ดีมากจริงๆ!

ก่อนที่จะรู้จักท่านหลิน เขาเป็นเพียงหนึ่งหัวหน้าในเมืองหนานเฉิงคนหนึ่งเท่านั้น แต่หลังจากอาศัยพึ่งพาท่านหลิน ก็ได้รับผลประโยชน์ในเขตตะวันออกของเมืองทุกสัปดาห์ อำนาจก็ขยายตัวออกไปด้วย!

เขาไม่สงสัยเลยว่าท่านหลินมีอำนาจขนาดนี้หรือไม่ เพราะไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้!

“เอาล่ะ คุณกลับไปก่อนเถอะ” หลินอิ่งพูดอย่างเฉยเมย

“ครับ!” เสิ่นซานโค้งตัว และออกจากวิลล่าด้วยความนอบน้อม

หลินอิ่งหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมา และจิบ

ใช้เวลาไม่นาน เสิ่นซานและเจียงฉีทั้งสองคน ก็จะได้เป็นผู้นำในเมืองตุงไห่ในนามของเขา

เขาต้องการวางอำนาจของตัวเอง

หลินอิ่งลุกขึ้นและมองทิวทัศน์ของแม่น้ำชิงหยูน ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำให้เขานึกถึงฉากที่ฉีเหอถูสนทนากับตัวเองอย่างปลาหลาด และรู้สึกว่าคำพูดของฉีเหอถูไม่ปกติเป็นอย่างมาก

เพล้ง!

จู่ๆแก้วชาในมือก็ร่วงหล่นที่พื้น แตกละเอียดเป็นชิ้นๆ

สีหน้าของหลินอิ่งเปลี่ยนไปเล็กน้อย รู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก

เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะจับถ้วยน้ำชาไม่แน่น

ตั้งแต่อายุยังน้อยเขาเรียนรู้วิชาแพทย์ ไปจนถึงการทำนายดวงจากอาจารย์ ดังนั้น นี่ มันเป็นสัญญาณที่ไม่ดี….

หลินอิ่งระมัดระวังตัวอยู่เสมอ ศัตรูของเสิ่นซาน พวกอ่อนแอไร้ค่าพวกนั้น ไม่สามารถคุกคามตัวเขาได้แน่นอน

แล้วปัญหาเกิดจากอะไรกันแน่

ในเวลาเดียวกัน

ณ โรงแรมชิงหยูน ใจกลางเมืองชิงหยูน

ดวงจันทร์มืดมิดและลมพัดแรง

ที่ห้องโถงนิทรรศการบนชั้นยี่สิบหก บรรยากาศมืดสนิท และมีกลิ่นเลือด

ตูม! ตูม! ตูม!

ตู้เซฟที่มุมห้อง ถูกยิงให้เปิดออกด้วยปืน

เงาคนในชุดดำคนหนึ่ง หยิบของในตู้เซฟออกมา แล้ววางลงบนโต๊ะทำงาน

ข้างๆโต๊ะทำงาน ยังมีเงาคนในชุดดำอีกหกคนยืนอยู่ข้างๆ

“ฉีเหอถูค่อนข้างดีกับลูกชายที่พลัดพรากจากกันไปกว่าสิบปีคนนี้ เขารู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย และยังเตรียมเงินมรดกไว้ให้ลูกชายเขาจำนวนไม่น้อย” คนในชุดดำพูดเสียงแหบ

“แต่ทำไมลูกชายของฉีเหอถูถึงไม่ได้มาเอาของเหล่านี้ละ” คนในชุดดำอีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นเสียงทุ้มต่ำของผู้หญิงถามอย่างสงสัย “ไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน หรือยังไม่รู้กันนะ”

“จากข้อมูลที่เรามีในตอนนี้ สามารถยืนยันได้ว่าลูกชายของฉีเหอถูรู้เรื่องเงินทรัพย์สินก้อนนี้แล้ว แต่ฉีเหอถูทำงานรัดกุมมาก จัดการร่องรอยไม่มีเหลือ และหลังจากที่เขาซื้อโรงแรมแห่งนี้ ก็ได้กำจัดเทปบันทึกกล้องวงจรปิดของหนึ่งปีก่อนหน้านี้ทิ้งไปทั้งหมด” ร่างในชุดดำพูดอย่างไม่พอใจ “ถ้าไม่ใช่เพราะคนวงในของฉีเหอถูบอกมา ฉันก็ยังไม่รู้ว่าเขาเคยมาที่เมืองตุงไห่ และยังไปที่เมืองชิงหยูนอีกด้วย”

“น่าเสียดาย ที่วันนี้จับตัวหลี่ผูไม่ได้ เพราะนอกจากไอ้หมาแก่ตัวนี้แล้ว ก็ไม่มีใครรู้เรื่องสายเลือดสุดท้ายตระกูลฉีของตี้จิงนี้แล้ว ฉีหยิ่นคนนี้ เป็นใคร! และซ่อนตัวอยู่ที่ไหนกัน!” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ตามคำสั่งก่อนหน้า เราต้องขุดรากถอนโคน และฆ่าพวกมันทั้งหมด! ไม่ว่าทายาทตระกูลฉีของตี้จิงจะอยู่ที่ไหน ก็ต้องจัดการฆ่าให้หมด! หากทำภารกิจไม่สำเร็จ พวกเราก็ไม่ต้องกลับไปที่ตี้จิงอีกตลอดชีวิต!” คนในชุดดำพูดด้วยเสียงเย็นชา “ในเมื่อไอ้หมาแก่หลี่ผูยังอยู่ในเมืองชิงหยูน ก็แสดงว่า ฉีหยิ่นก็ยังอยู่ในเมืองชิงหยูน เหมือนกัน!”

“พวกแกไปตามล่าหลี่ผูต่อ เอาตัวไอ้หมาแก่ตัวนี้ออกมาให้ได้! อีกอย่าง ให้ตรวจสอบตัวตนตอนนี้ของฉีหยินมา! ไม่ว่าคนจะอยู่ที่ไหนก็ตาม! ก็ให้ส่งคนไปเฝ้าที่ตึกสำนักงานนี้ ถ้ามีบุคคลที่น่าสงสัยเข้าไปในโรงแรมชิงหยูน ให้จับตัวมาได้ทันที”

“ครับ!”

คนชุดดำที่อยู่ในเหตุการณ์ รับคำและพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท