ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 96 ปากเก่ง

บทที่ 96 ปากเก่ง

บทที่ 96 ปากเก่ง

เจียงฉีกัดฟันแน่น ไม่ได้พูดอะไรออกมา สีหน้าเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง

“ทำไม? แกยังต้องลังเลอยู่อีก? หรือว่าแม้กระทั่งความเป็นความตายของแม่แท้ๆของแกก็ไม่สนใจแล้ว?” ลู่กวงซักถาม “ฉันเริ่มสงสัยขึ้นมาหน่อยแล้ว คือใครกันแน่ที่ให้เงินแกมากมายขนาดนี้ กล้าไปกลืนถุงเงินของตระกูลซูน ยังเฝ้าสินทรัพย์เอาไว้ให้เขาอย่างเต็มที่อีก?”

“แกจงรักภักดีขนาดนี้เลยหรอ? แม้แต่ชีวิตของแม่แกก็ไม่เอาแล้ว? จะช่วยคนที่อยู่เบื้องหลังคนนี้ปกป้องทรัพย์สินก้อนนี้สุดชีวิต” ลู่กวงเอ่ยด้วยสีหน้าเย้ยหยัน

เจียงฉีหัวเราะขึ้นอย่างประชดประชัน เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ “หรือว่าฉันเซ็นสัญญาแล้ว พวกแกก็จะปล่อย

ฉันกับแม่ฉันไป? เหอะๆ อย่าเห็นคนอื่นเป็นไอ้โง่ไปซะหมด!”

ก็ด้วยพฤติกรรมแบบนี้ของตระกูลซูน ต่างก็ทำเรื่องราวให้ไม่เหลือช่องว่างจนมาถึงจุดนี้แล้ว เขาทำงานหนักด้วยความยากลำบากเพื่อตระกูลซูนมาหลายปีขนาดนี้ สิ่งที่ได้กลับมากลับเป็นเขาควายคู่หนึ่ง

ตอนนี้ยิ่งนำแม่ของลูกเขยมาจับเป็นตัวประกันแล้ว ตระกูลซูนยังมีความเป็นไปได้ที่จะปล่อยตนเองอีกหรอ?

เพี้ยะ!

ลู่กวงโบกฝ่ามือลงบนใบหน้าของเจียงฉี เอ่ยขึ้นอย่างโหดเหี้ยม “กระทืบมัน!”

ชายหนุ่มร่างกายกำยำสูงใหญ่สิบกว่าคนนั้น เข้ามาก็สามหมัดสองเท้า สั่งสอนเจียงฉีอย่างรุนแรงไปหนึ่งยก กระทืบจนใบหน้าเขียวช้ำไปหมด

เจียงฉีจ้องลู่กวงอย่างเยือกเย็น กัดฟันแน่น ไม่ให้ตนเองส่งเสียงที่เจ็บปวดออกมา

“ดี!ประธานเจียง เจียงฉี แกนี่มันดื้อรั้นจริงๆ” ลู่กวงเอ่ยด้วยเสียงที่เยือกเย็น สีหน้าเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยมขึ้นมาจนถึงขีดสุด “แม้กระทั่งจับแม่ของแกเป็นตัวประกันก็ยังข่มขู่แกไม่ได้? ฉันน่ะแปลกใจขึ้นมาจริงๆแล้ว ว่าตอนนี้แกกำลังทำงานให้กับใคร? กล้าเป็นปรปักษ์กับตระกูลซูน ยังสามารถทำให้แกถวายตัวรับใช้อย่างสุดชีวิตแบบนี้ได้อีก?”

ลู่กวงรู้สึกสงสัยขึ้นมาจริงๆ เจียงฉีคือคนฉลาดที่รู้จักกาลเทศะคนหนึ่ง สามารถเก็บซ่อนความอดทนต่อการได้รับความอัปยศอดสูที่บ้านตระกูลซูนได้นานขนาดนี้ สุดท้ายอยู่ๆระเบิดออกหยิบเงินถุงใหญ่ของตระกูลซูนไป ตอนนี้ยังยืนกรานไม่ยอมปริปากขนาดนี้อีก?

“ฉันให้เวลาแกคิดไตร่ตรองเพียงหนึ่งนาที เซ็นสัญญาให้กูเร็วๆ!”

ลู่กวงล้วงเอาปืนกระบอกหนึ่งออกมา ปากกระบอกที่เย็นยะเยือกต่อไปบนขมับของเจียงฉีโดยตรง

จากนั้น เขาก็ใช้โทรศัพท์มือถือโทรออก สายโทรศัพท์ฝั่งนั้นสะท้อนเสียงร้องไห้ร้องขอให้ช่วยชีวิตของแม่เจียงฉีดังออกมา

“ตอนนี้แกมาตัดสินใจเถอะ ว่าอยากให้แม่ของแกไปก่อน หรือว่าแกไปก่อน?” ลู่กวงข่มขู่ “ก็แค่เซ็นชื่อเท่านั้นยากขนาดนี้เลยหรอ? อีกทั้งไม่ใช่เงินของแกเองสักหน่อย เซ็นชื่อเสร็จ แกยังสามารถรับเอาเงินรางวัลก้อนหนึ่ง ออกไปจากเมืองชิงหยูนใช้ชีวิตดีๆกับแม่ของแก”

“ฉันไม่มีทางเซ็นชื่อ!” เจียงฉีเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่เยือกเย็น เหงื่อตกพร้อมด้วยปากกระบอกปืนที่จ่อ

ความหวังเดียวที่อยู่ในใจของเจียงฉีตอนนี้ ก็คือประธานหลิน หลินอิ่ง นอกจากนี้แล้ว เขาก็ไม่มีทางเชื่อใครอีก

หากเซ็นสัญญาไป งั้นก็เท่ากับเป็นการบีบพลังชีวิตสุดท้ายให้ตายด้วยตัวเอง!

เขาเข้าใจจุดนี้เป็นอย่างดี นอกจากหลินอิ่งแล้ว ที่เมืองชิงหยูนไม่มีใครสามารถช่วยชีวิตเขาได้แล้ว

เผชิญหน้ากับตระกูลซูน เขาไม่มีกำลังที่จะต่อต้านเลยแม้แต่น้อย และก็ไม่มีใครจะยอมช่วยเขาไปตีเสมอกับตระกูลซูนเช่นดียวกัน

“แขวนมันขึ้นไป!” ลู่กวงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่เยือกเย็น

หนุ่มร่างใหญ่สิบกว่าคนพุ่งเข้าไปมัดตัวเจียงฉี ไม่นาน เขาทั้งตัวก็ห้อยหัวลงกับพื้น

แขวนไว้ที่ด้านนอกหน้าต่างกระจก ห้อยโหนอยู่กลางอากาศที่บนตึกสูงสามสิบกว่าชั้น

เลือดทั่วทั้งตัวภายในร่างกายของเจียงฉีไหลย้อนกลับ ภายในดวงตาเต็มไปด้วยไฟแห่งการแก้แค้น ด้านหน้าก็คือความสูงที่ว่างเปล่าสามสิบกว่าชั้น เหงื่อของเขาไหลนองเต็มทั่วทั้งใบหน้า

ติ๊ดๆๆ

ในเวลานี้เอง โทรศัพท์มือถือของเจียงฉีที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานก็ดังขึ้น

ลู่กวงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมามองดูแวบหนึ่ง สีหน้ายั่วเย้าขึ้นมา

“หลิงอิ่ง? เจียงฉี เพื่อนของแกโทรศัพท์เข้ามา?” ลู่กวงเอ่ยถามขึ้นอย่างสนใจเป็นอย่างยิ่ง คาบซิการ์แท่งหนึ่งขึ้นมา “ทำไมฟังชื่อนี้คุ้นหูขนาดนี้?”

“เพื่อนของแกคนนี้ คงจะไม่ใช่หลินอิ่งลูกเขยขยะผู้โด่งดังคนนั้นของตระกูลจางล่ะมั้ง?” ลู่กวงอยู่ๆคิดอะไรขึ้นมาได้ หัวเราะเยาะออกมา สีหน้าไม่แยแส

“ทางที่ดีที่สุดแกเอาโทรศัพท์มาให้ฉันรับ ความโมโหของหลินอิ่ง ไม่ใช่สิ่งที่แกจะสามารถรับไหว” เจียงฉีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น

“ฮ่าๆ!อั้ยยะ แกกำลังขู่ฉันหรอ? เป็นเพื่อนของแกจริงๆสินะ กาเข้าฝูงกา หงส์เข้าฝูงหงส์จริงด้วย ขยะกับขยะถึงได้มาคบกัน” ลู่กวงหัวเราะเสียงดังขึ้นมา “เจียงฉีน่ะนะ แม้ว่าตระกูลซูนจะไม่ได้ชื่นชอบแกเท่าไร แต่จะยังไงแกก็ยังคงเป็นถึงผู้จัดการใหญ่หรือเปล่าวะ? คิดไม่ถึงว่าจะคบค้าสมาคมเป็นเพื่อนกับไอ้ขยะที่โด่งดังแบบนี้ ช่างน่าสนใจจริงๆเลยว่ะ!”

ในขณะที่พูด ลู่กวงก็รับสายโทรศัพท์มือถือของเจียงฉีอย่างเย้าแหย่

ในเมื่อเจียงฉีไม่ยอมให้ความร่วมมือ งั้นก็ถือโอกาสนี้ เอาไอ้ขยะหลินอิ่งนี่มาฆ่าเวลาสักหน่อย

“เจียงฉี แกอยู่ชั้นที่เท่าไร?” สายโทรศัพท์ฝั่งนั้น ดังสะท้อนเสียงที่เยือกเย็นของชายหนุ่ม

“แกคือไอ้ขยะหลินอิ่งบ้านตระกูลจาง? หาเจียงฉีมีธุระอะไร?” ลู่กวงเอ่ยขึ้นอย่างหยอกเย้า

“แกเป็นใคร?” หลินอิ่งเอ่ยถาม

“ฉันคือพ่อของแก” ลู่กวงเอ่ยขึ้นด้วยความสนุก ผยองถึงขีดสุด

“แกอยู่ที่ไหน?” เสียงของหลินอิ่งยังคงนิ่งสงบเป็นอย่างยิ่ง

“ฉันอยู่บนเตียงของแม่แก” ลู่กวงเอ่ยพร้อมเสียงหัวเราะอย่างยั่วเย้า เอ็ดตะโรขึ้นมาอย่างไม่มีอารยธรรมเลยแม้แต่น้อย “ด่าแกว่าไอ้ขยะเลยไม่ยอมใช่ไหมล่ะ? จะมากัดฉันหรอ?”

“แกไอ้ขยะไม่พูดอะไรแล้ว? โกรธหรอ? บอกแกให้ ฉันพ่อของแกชื่อว่าลู่กวง แกไม่ยอมก็มาหาฉันที่เขตเหนือของเมืองได้ตลอดเวลา ก็แค่กลัวว่าแกจะไม่มีความกล้านั้น ใช่แล้ว ฉันเน้นอีกสักรอบ ฉันกำลังเอาแม่ของแกอยู่ ได้ยินหรือเปล่า? หากแกกล้าด่าตอบฉันสักประโยค ฉันก็จะไปจัดการแกที่บ้านตระกูลจาง!”

หลังจากที่ปากเก่งไปยกหนึ่ง สีหน้าของลู่กวงก็เต็มไปด้วยความได้ใจ เดิมทีก็ถูกเจียงฉีไอ้หัวแข็งนี่ทำจนเซ็งอยู่ตรงนี้ เรื่องที่ตระกูลซูนกำชับมาก็ยังทำไม่สำเร็จ

ไอ้ขยะหลินอิ่งนี่ยังโทรศัพท์เข้ามาพอดีอีก โอ๊ย สนุก ที่ระบายอารมณ์ส่งมาถึงที่ ด่าระบายอารมณ์ไปก่อนสักยกค่อยว่ากัน

ฮ่าๆ หลินอิ่งก็คงจะเป็นไอ้ขี้ขลาดจริงๆ ด่ามันแบบนี้ ยังไม่กล้าโต้กลับ

“ประธานหลิน ผมอยู่ที่ออฟฟิศท่านประธานคณะกรรมการชั้นสามสิบสาม!” เจียงฉีตะโกนเสียงดังออกไป

เสียงติ๊ดดังขึ้น สายโทรศัพท์ฝั่งนั้นวางลงแล้ว

“ประธานหลิน?” ลู่กวงหัวเราะอย่างประชดประชันขึ้นมา “เจียงฉีนี่แกกำลังขู่ฉันอยู่หรอ? ยังจะประธานหลินผมอยู่ที่ชั้นสามสิบสาม? ทำไม แกยังคิดจะเชิญหลินอิ่งไอ้ขยะนี่มาช่วยแกหรอ? มันกล้ามาไหม? ตลกฉิบหายเลย”

ลู่กวงสีหน้าไม่แยแส พูดอย่างบ้าคลั่งถึงขีดสุด ทั้งยังจุดบุหรี่ขึ้นมาอีกตัว

เพิ่งจะจุดบุหรี่ติดดูดไปสองคำ อยู่ๆลู่กวงก็พบว่า ลูกน้องสิบกว่าคนที่อยู่ตรงข้ามตนเอง บนใบหน้าต่างก็ปรากฏอาการช็อกออกมา

คิ้วของลู่กวงขมวดขึ้นเล็กน้อย เอ่ยขึ้นอย่างสงสัย พวกแกกำลังดูอะไร? สีหน้าเป็นอะไรไป?”

“พี่กวง ด้านหลังของพี่มีคนมา” ชายร่างใหญ่คนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างตื่นกลัว

“มีคนมาแล้ว?” ลู่กวงสีหน้าสงสัย หันศีรษะมองไปทางด้านหน้าประตู

ปึ้ง!

ลู่กวงเพิ่งจะหันศีรษะไป เห็นเพียงแค่ลายดอกของรองเท้าพุ่งเข้ามา จากนั้นพลังโจมตีขนาดมหึมาก็กระแทกลงบนใบหน้า เขากระอักเลือดออกมาในทันที พลิกตีลังกาสามร้อยหกสิบองศาจากบนเก้าอี้ ล้มลงบนพื้นอย่างรุนแรง

“มึงแม่งเป็นใคร? กล้าถีบกู?”

ใบหน้าของลู่กวงเต็มไปด้วยความโกรธ เงยหน้าขึ้นมองในทันที เห็นเพียงแค่ชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวคนหนึ่ง ดูเหมือนปกติไม่มีอะไรพิเศษ

“จัดการมัน…” ลู่กวงโบกมือใหญ่ขึ้น กำลังจะสั่งบอดี้การ์ดพุ่งเข้าไปจัดการ กลับพบขึ้นมาอย่างกะทันหัน ว่าบนแขนของเสื้อเชิ้ตสีขาวของชายหนุ่ม ย้อมเต็มไปด้วยรอยเลือดสีแดงสด ดูแล้วคนทั้งคนเต็มไปด้วยจิตสังหาร!

ลู่กวงสีหน้าหวาดกลัว ในดวงตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ เหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก รู้สึกได้ถึงความเยือกเย็นไปทั่วทั้งตัว

เขาคิดขึ้นมาได้แล้ว ทั้งอาคารไห่หยางต่างก็ถูกล็อคเอาไว้แล้วนี่นา ทางเข้าลิฟต์เพียงหนึ่งเดียวมีมือปืนยี่สิบกว่าคนดูประตูเอาไว้อยู่ ชายเสื้อเชิ้ตสีขาวนี่ขึ้นมาได้ยังไงกัน? นี่ก็ช่างแค่คิดอย่างละเอียดก็น่ากลัวถึงขีดสุดแล้วล่ะมั้ง?

ปึ้ง

หลินอิ่งพุ่งเท้าขึ้นมาถีบลู่กวงกระเด็นไปอีกครั้งหนึ่ง พื้นรองเท้ากดทับไปบนใบหน้าของลู่กวงอย่างรุนแรง บีบอัดจนเขากระอักเลือดติดต่อกันไม่หยุดอีกครั้ง

มุมริมฝีปากของหลินอิ่งปรากฏความอำมหิตขึ้น

“แกชอบปากเก่ง?

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท