ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่95 ไปเอาความกล้าขนาดนี้มาจากใคร?

บทที่95 ไปเอาความกล้าขนาดนี้มาจากใคร?

บทที่95 ไปเอาความกล้าขนาดนี้มาจากใคร?

เขตเหนือของเมือง ณ อาคารโอเชี่ยน บริษัทโอเชี่ยนอสังหาริมทรัพย์

ภายใต้แสงจันทร์ ภายในห้องทำงานชั้นสามสิบสามที่มืดสลัวไม่มีแม้แต่แสงสว่างเล็ดลอด

พนักงานในอาคารโอเชี่ยนต่างก็เลิกงานหรือได้รับแจ้งเตือนให้ออกจากสถานที่แห่งนี้ไปตั้งแต่เย็น

ที่ลานจอดรถด้านล่าง มีออฟโรดสิบกว่าคันจอดอยู่ ชายชุดดำนับสิบคนยืนเฝ้าประตูทางออกเดียวของอาคาร

ภายในห้องทำงานของผู้บริหารชั้นสามสิบสาม เจียงฉีนั่งอยู่ตำแหน่งของผู้บริหาร จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เหงื่อผุดทั่วใบหน้า เขารินน้ำชาไม่หยุด กระดกคำแล้วคำเล่า

ปึงปึงปึง!

ที่ด้านนอก มีคนจำนวนไม่น้อยพยายามพังประตู

“เจียงฉี!โผล่หัวออกมาสิวะ! มึงคิดว่าแค่ล็อกประตูมุดหัวอยู่ในห้องจะช่วยอะไรมึงได้หรอ?”

“ความตายมาเยือนแล้วมึงรู้ตัวหรือเปล่า? มึงมันไอ้้งูเห่าที่ตระกูลซูนเก็บมาเลี้ยง ริอาจแว้งกัดผู้มีพระคุณ มึงว่าคนแบบนี้หาเรื่องฆ่าตัวตายไหมวะ?”

เจียงฉีจุดบุหรี่มวนนึง แล้วสูดเต็มปอด แบกรับความกดดันมหาศาลนี้

บ่ายวันนี้เขาดำเนินการตามแผนที่วางเอาไว้เป็นเวลานาน เขาใช้เงินลงทุนจำนวนมากของหลินอิ่ง จากนั้นเข้าเก็บหุ้นทั้งหมดผ่านผู้ถือหุ้นรายหนึ่งอย่างลับๆ แล้วฮุบอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดไว้

เจียงฉีเตะคนของตระกูลซูนที่ส่งมาเพื่อคอยจับตาดูเขาออกในการประชุมบอร์ด แล้วเข้านั่งตำแหน่งท่านประธานของบริษัทโอเชี่ยนอสังหาริมทรัพย์ กำจัดคนทุกคนของตระกูลซูนออกไป

เขาลอบสูบถุงเงินจากอสังหาริมทรัพย์ของตระกูลซูน แต่ไม่คิดเลยว่า ตระกูลซูนจะลงมือเร็วเป็นสายฟ้าฟาดเหนือชั้นกว่าตัวเขาเอง การประชุมเพิ่งดำเนินไปได้ครึ่งทาง คนที่ตระกูลซูนส่งมาก็อยู่ระหว่างทางแล้ว ทันทีที่การประชุมจบคนทั้งหมดก็ปิดล้อมตึดนี้ไว้

วิธีการแบบนี้ เจียงฉีเคยเจอมาก่อน ตระกูลซูนคิจะบีบให้เขาตายทั้งเป็น!

และนี่ก็เป็นสิ่งที่เขากลัวมาตลอด ไม่อย่างงั้นระดับหัวธุรกิจอย่างเขา กะอีแค่ฮุบกิจการมือสมัครเล่นของตระกูลซูน เรียกว่าง่ายแค่ปอกกล้วยเข้าปาก แค่ใช้หัวนิดหน่อยก็ทำให้พวกนั้นแพ้ออกจากสนามได้สบาย

ถ้าไม่ใช่เพราะมีตระกูลซูนคอยหนุนหลัง ป่านนี้เชี่ยนอสังหาริมทรัพย์คงตกอยู่ในกำมือเขานานแล้ว

บริษัทอสังหาริมทรัพย์นี่เดิมทีก็เป็นเขาที่สร้างมากับมือ จะเรียกว่าในทุกส่วนของกิจการนี้ล้วนแลกมาด้วยเลือดทุกหยดของเขา!

ปึ้ง!

ตอนนี้เอง บานประตูไม้สักของห้องทำงานก็ปลิวออกไป มันถูกคนจำนวนมากด้านนอกทุบจนพัง

ชายร่างใหญ่สิบกว่าคนแผ่รังศีความดุดัน หนึ่งในนั้นเป็นชายหัวโล้น มีรอยสักที่แขนที่ดูจะเป็นหัวโจก

ชายร่างกำยำกรูกันเข้ามาล้อมรอบ ยืนเรียงกันอยู่หน้าโต๊ะทำงาน ชายหัวโล้นคนนั้นฉีกยิ้ม แล้วนั่งลงตรงข้ามกับเจียงฉีอย่างอาจหาญ

แววตาของเจียงฉีในเริ่มแรกเผยความตระหนก แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นสงบนิ่ง

สิ่งที่กังวลมาตลอดในที่สุดก็เกิดขึ้นตรงหน้าจนได้ เขาเองก็ไม่ได้กลัวมากขนาดนั้นแล้ว

“เจียงฉี แกมันก็แค่ไอ้หมาหัวเน่าที่โดนเมียสวมเขา ยังกล้าสูบเงินขากโอเชี่ยนอสังหาริมทรัพย์เข้าไปไม่กลัวตายเลยนะมึง ท้องมึงใหญ่แค่ไหนล่ะ? มีปัญญาสักเท่าไหร่?” ชายหัวโล้นเสยะยิ้มดูแคลน

“ลู่กวง! มึงพูดอีกทีสิ?” แววตาของเจียงฉีเต็มไปด้วยความโมโห คำพูดของคนหัวล้านเสียดแทงเข้าอย่างจัง

เรื่องที่ผู้หญิงตระกูลซูนคนนั้นสวมเขาให้เข้า เป็นความแค้นที่ฝังอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจเขามานาน!

ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ทิ้งความเจริญก้าวหน้า แล้วเดิมพันกับหลินอิ่ง ทำทุกวิถีทางเพื่อหวังจะฉุดตระกูลซุนให้ล้มไม่เป็นท่า!

“พูดอีกที? กูจะพูดสิบทีร้อยทีแล้วมึงจะทำไม?” ลู่กวงแสยะยิ้มมุมปาก ก่อนจะพูดต่อไม่แยแส “กดไอ้ลูกหมามีเขานี่ซะ!”

พูดจบ ชายร่างใหญ่หลายคนก็พากันแลกหมัดเข้ามา ต่อยจนเจียงฉีล้มลง เลือดออกจมูก ร่างทั้งร่างถูกกดลงกับโต๊ะ

ลู่กวงถุยน้ำลายลงบนหัวของเจียงฉี สะใจอย่างบ้าคลั่ง

“เจียงฉี ลองพูดมาซิว่าตัวเองทำอะไรผิดหรือเปล่า? เป็นผู้จัดการใหญ่ดีๆไม่ชอบ อยากจะมีเรื่องกับตระกูลซูน?” ลู่กวงหัวเราะ “ถ้ามึงไม่แส่หาเรื่องคิดจะฮุบบริษัทของตระกูลซูน เวลาเจอหน้ากูยังต้องเรียกมึงคุณเจียงเลยนะ”

“โอเชี่ยนอสังหาริมทรัพย์เดิมทีก็เป็นเลือดเนื้อของกู กูเป็นคนสร้างบริษัทนี้ขึ้นมา!” เจียงฉีกัดฟันกรอด “ตระกูลซูนใช้อำนาจเพื่อแย่งชิง ทำเรื่องชั่วๆมาตั้งเท่าไหร่?”

“เหอะๆ นั่นไม่เกี่ยวอะไรกับพวกกู กูก็แค่คนที่ได้รับคำสั่งมา” ลู่กวงหรี่ตามองเจียงฉี แล้วถามด้วยเสียงเย็นชา “กล้าสูบเงินก้อนโตไปขนาดนี้ มึงไปเอาความกล้าขนาดนี้มาจากใครวะ?”

เจียงฉีมองลู่กวงด้วยสายตาเย็นชา “รู้แล้วมึงจะหนาว!”

“โอ๊ยๆ ยังปากดีอยู่อีกนะมึง? เชื่อไหมล่ะว่ากูโยนมึงลงไปตั้งแต่ตอนนี้ก็ยังได้?” ลู่กวงพูดด้วยความดุดัน

“กูแอบติดเครื่องดักฟังไว้หมดแล้ว ถ้าวันนี้กูตายอยู่ที่อาคารนี้ พวกมึงทุกตัวไม่มีทางรอดไปได้!” เจียงฉีพูดเสียงหนักแน่น โดยที่ไม่ได้ข่มขู่แต่อย่างใด

ลู่กวงหัวเราะอย่างสนุกสนาน ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นแล้วกดเล่นคลิปอัดเสียง ในคลิปเป็นเสียงของหญิงวัยกลางคนร้องขอความช่วยเหลือ

ฟังจบ ใบหน้าของเจียงฉีก็ซีด ดวงตาขึ้นเส้นเลือดแดง แค้นใจอย่างถึงที่สุด “ไอ้้พวกสัตว์นรก! กูจะฆ่ามึง มาจับแม่กูทำไม?”

เขาคาดไม่ถึงจริงๆว่าตระกูลซูนจะจับตัวแม่ของเขาที่อยู่อำเภอบ้านเกิดเพื่อเล่นงานเขา!

ถึงแม้ที่ผ่านมาตระกูลซูนจะอบใช้วิธีต่ำช้าแบบนี้ แต่แม่เขาก็อายุจะหกสิบแล้ว คนแก่คนนึง แถมยังเป็นญาติคนนึงของตระกูลซูน มันก็ยังลงมือได้?

ชั่วช้าสารเลวเกินคน!

“มึงไม่กลัวตาย แล้วไม่กลัวแม่มึงจะตกใจตายงั้นสิ?” ลู่กวงพูดได้ใจ “เข้าเรื่องเลยแล้วกัน เซ็นสัญญาโอนหุ้นนี้แล้วบอกกูมา มึงไปเอาความกล้านี้มาจากใคร!”

“อย่างมึงจะมีปัญญาไปเอาเงินทุนมากมายขนาดนี้มาจากไหน?”

พูดจบ ลู่กวงก็โยนสัญญาหนาๆใส่หน้าเจียงฉี จากนั้นกดโทรออก เสียงปลายสายเป็นเสียงของแม่เจียงฉี

ในใจของเขาเกิดความขัดแข้งขึ้นในทันที หากไม่ทำตามที่ลู่กวงบอก แม่เขาอาจจะไม่รอด แต่ถ้าหากเซ็นสัญญาฉบับนี้ ยกโอเชี่ยนอสังหาริมทรัพย์ให้ซูนเหิง ก็นับว่าเขาได้ทำลายความเชื่อมั่นของหลินอิ่งไปจนหมดสิ้น

ทรัพย์สินจำนวนสิบกว่าล้าน ทั้งหมดนี้เป็นของประธานหลิน! ตอนนั้นประธานหลินไม่ได้ทำแม้แต่สัญญาหรือหลักฐานทางกฎหมาย นั่นก็บ่งบอกถึงความเชื่อใจที่มีต่อเขามันมากขนาดไหน?

หากเซ็นสัญญาฉบับนี้ ต่อไปในอนาคตประธานหลินจะใช้วิธีเอาเงินก้อนนี้คืน มันก็ไม่เหลือหลักฐานอะไรอีก เพราะเขาเป็นคนเซ็นชื่อเอง คงต้องมาเอากับเขาคนเดียวเท่านั้น!

เจียงฉีจ้องลู่กวงอย่างโกรธเกรี้ยว จ้องจนลูกกะตาแทบจะทะลุ

“อย่ามาใช้สายตาโกรธแค้นแบบนี้มองฉันสิ ฉันก็แค่ทำตามคำสั่งเขาอีกที แกคิดว่าวิธีนี้มันต่ำช้ามากหรอ งั้นแกก็ไปพูดกับคุณชายซูนเหิงสิ ฉันก็แค่ทำตามที่เขาสั่ง” ลู่กวงพูดสบายๆ “แกก็รู้ ฉันเป็นคนทางเขตเหนือนู่น นี่ก็แค่ทำหน้าที่มาเอาเงินคืนแทนตระกูลซูนก็เท่านั้น”

“รีบเซ็นสัญญาซะ แล้วบอกกูมาว่าใครอยู่เบื้องหลังคอยชักใยมึง แค่นี้มึงกับแม่ก็จะได้กลับไปเจอหน้ากันที่อำเภอเจียวไ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท