ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 99 ฉินหยุนโล๋

บทที่ 99 ฉินหยุนโล๋

บทที่ 99 ฉินหยุนโล๋

เขตเหนือของเมือง เขตใจกลางที่คนพลุกพล่าน ถนนไฟแดง ทั้งสี่ด้านต่างก็เป็นคาราโอเกะสถานบันเทิง โรงแรมเล็กใหญ่ที่สวยงามแต่ภายนอก บนถนนยังมีผู้หญิงขายบริการที่แต่งตัวเปิดเผยยั่วยวนโยกไปโยกมา

ฉินหยุนโล๋ หรืออีกชื่อหนึ่งราชวงศ์ฉินหยุน

อาคารสิบกว่าชั้น สูงตระหง่านอยู่บนอาณาเขตที่ผู้คนพลุกพล่านมากที่สุดของถนนไฟแดง ผู้คนไปมาสัญจร กิจการเจริญรุ่งเรือง

นี่เป็นสถานที่ที่เที่ยวสนุกที่สุดของเขตเหนือของเมือง สถานบันเทิงที่สนุกที่สุด

ฉินหยุนโล๋ทุกชั้นต่างก็เป็นรูปแบบความบันเทิงที่แตกต่างกัน ร้านอาหารจีน ร้านอาหารยุโรป บาร์ไวน์เหล้าฝรั่ง ห้องเล่นไพ่รับรองพิเศษระดับVIP ลานสนุ๊กขนาดใหญ่ ผับ บาร์นั่งฟังเพลง ห้องโรงแรมเพรสซิเดนท์ระดับสูงสุด สระว่ายน้ำ สนามบอลสนามออกกำลังกาย ห้องที่ใช้สำหรับดูบอลแข่งม้าโดยเฉพาะ

เขตเหนือของเมืองลือไว้หนึ่งประโยค ขอเพียงแค่มีเงิน อยู่ที่นี่อยากจะเล่นยังไงก็เล่น มีหมดทุกสิ่งที่ต้องการ สถานที่ใช้จ่ายเงินจำนวนมากของจริง

ที่นี่ไม่เพียงแต่เป็นเขตอิทธิพลของฉินฝู้กุ้ยหัวมังกรเขตเหนือของเมือง ยังเป็นธุรกิจที่ตระกูลฉินลงทุนที่เมืองชิงหยูน ถุงเงินที่ใหญ่ที่สุดของตระกูลฉิน

ตระกูลระดับขั้นที่สองของเมืองชิงหยูนสิบกว่าตระกูล กระจายไปในแต่ละเขตเมืองรวมไปถึงเขตชานเมือง ตระกูลฉินก็ถือว่าเป็นตระกูลที่สูงขึ้นมาหน่อยในหมู่ตระกูลเล็กๆ สร้างชื่อเสียงตระกูลระดับขั้นที่สองที่แข็งแกร่งที่สุดของเมืองชิงหยูนออกมา

ถึงอย่างไร ตระกูลฉินก็มีพื้นฐานกิจการแค่ไม่กี่สิบปี แม้ว่าเงินเยอะอำนาจมาก แต่อิทธิพลก็จำกัดเพียงแค่ในเมืองชิงหยูน จำกัดเฉพาะที่เขตเหนือของเมือง ยังห่างไกลไม่อาจจะตีเสมอกับสามตระกูลใหญ่ตระกูลระดับขั้นที่หนึ่งที่อิทธิพลแผ่ขยายไปทั่วเมืองตุงไห่แบบนั้นได้

แลนด์โรเวอร์สีดำคันหนึ่งจอดลงที่หน้าประตูฉินหยุนโล๋ เจียงฉีดึงประตูรถออกก่อน หลินอิ่งลงมาจากรถ ทั้งสองคนคนหนึ่งหน้าคนหนึ่งหลัง เดินเข้าไปถึงฉินหยุนโล๋

ในเวลานี้ บนชั้นที่แปดของฉินหยุนโล๋ ภายในห้องรับรองพิเศษส่วนตัวขนาดใหญ่ของร้านอาหารจีน มีคนโต๊ะหนึ่งกำลังกินกันอย่างคึกคัก เหมือนกับกำลังจัดงานฉลอง ชายอ้วนที่สวมสร้อยทองห้อยพระที่ทำจากหยกคนหนึ่ง ในมือถือถุงกระสอบขนาดใหญ่เอาไว้ นำธนบัตรสีแดงเป็นปึกๆคว่ำลงบนโต๊ะ ให้ความรู้สึกตื่นเต้นบนอวัยวะสัมผัสของคนรุนแรงเป็นอยากมาก

ห้าหกคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง ดวงตาต่างก็เปล่งประกายเป็นสีทอง จ้องตาเป็นมันไปยังเงินที่อยู่บนโต๊ะ ท่าทางคลั่งไคล้ไม่หยุด

หนึ่งกระสอบอย่างน้อยที่สุดมีเงินสดสองสามล้าน ในห้องรับรองพิเศษนี้ ก็วางเต็มไปด้วยกระสอบใหญ่ยี่สิบกว่าถุง แทบจะบรรจุเต็มห้องแล้ว

“ท่านฉิน ล็อตนี้ทำได้สะใจจริงๆ!ช่างคุ้มเหลือเกิน!” ชายวัยกลางคนที่หน้าลีบคางแหลมหัวเราะร่าพร้อมกับเอ่ย ยกนิ้วโป้งขึ้นมา “นี่แม่ง ตระกูลซูนหยิบเงินออกมาก็คือใจกว้างจริงๆ!เงินมัดจำก็ธนบัตรลายตามากมายขนาดนี้ ให้คนส่งเงินเข้ามาให้เลย ซูนเหิงคุณชายใหญ่ตระกูลซูน สไตล์นี้ ไม่มีอะไรจะพูด!”

“จุ๊ๆ โหสาม เงินแค่นี้ก็ทำให้แกตาบอดแล้วหรอ? แกนี่มันไม่ได้เรื่องจริงๆ อยู่กับกู ไม่เคยเห็นโลกหรอ?” ฉินฝู้กุ้ยหัวเราะคิกคักพร้อมกับเอ่ย พูดจาเสแสร้ง ในสายตากลับเผยความโลภเอ่อล้นออกมา เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี

“แหะๆ ที่ไหนกัน ผมโหสามวิสัยทัศน์แคบ ไม่อย่างนั้นทำไมท่านฉินคุณเป็นหัวมังกร ผมมาเป็นลูกน้องของคุณล่ะครับ” ในมือโหสามนับธนบัตร ปากไม่ลืมที่จะประจบสอพลอ

“แต่ว่า ท่านฉินครับ คุณชายใหญ่ซูนเหิงของตระกูลซูนนี่ ทำไมถึงทำใจลงเงินจำนวนมหาศาลขนาดนี้ได้? เงินสดหนึ่งพันล้านส่งมาให้ก่อน หลังจากเสร็จเรื่อง ยังมีอีกหนึ่งพันล้าน?” โหสามเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย “ไม่ใช่แค่ช่วยกำจัดเจียงฉีหมาของตระกูลซูนตัวนั้นทิ้งหรอกหรอครับ? ลักพาตัวแค่นั้นเอง เรื่องเล็กแค่นี้ไม่ถือว่ายากลำบากเกินไปหรอกมั้ง”

“นี่แกก็ไม่เข้าใจแล้วล่ะมั้ง?” ฉินฝู้กุ้ยนั่งพิงไปบนเก้าอี้ตัวใหญ่ ดูดซิการ์โรมิโอกับจูเลียตหมายเลขสอง หัวเราะด้วยสีหน้าที่เย้ยหยัน “หากเจียงฉีเล็กๆเพียงแค่คนเดียวต่อต้าน งั้นตระกูลซูนจะทำใจลงเงินนี้ได้? ยังจะต้องติดต่อฉันผู้ที่เข้มงวดแบบนี้?”

“ไม่ใช่แค่เจียงฉีหรอกหรอครับ?” โหสามเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“แกนี่โง่จริงๆ ตระกูลซูนกลุ่มเงินทุนแบบนั้น เงินของพวกเขาหาง่ายขนาดนั้นเลยหรอ?” ฉินฝู้กุ้ยดูดซิการ์ไปหนึ่งคำ ท่าทางเข้าใจแจ่มแจ้ง “ก่อนหน้านี้ตระกูลซูนให้ฉันตรวจสอบเจียงฉี หลังจากที่แกตรวจสอบอย่างชัดเจนแล้ว เจียงฉีช่วงก่อนหน้านี้แอบเคลื่อนไหวลับหลังไม่หยุด เพื่อที่จะกินบริษัทโอเชี่ยนอสังหาริมทรัพย์ รับซื้อหุ้น ค่อยรับซื้ออาคารนิติบุคคลบางส่วน รวมไปถึงการประมูล แอบรับเอาสิทธิและผลกำไรของหุ้นส่วน แกลองเดาดู เจียงฉีลงทุนเงินเข้าไปดำเนินการทั้งหมดเท่าไร?”

“อย่างน้อยที่สุดสองหมื่นล้านนะ!” ฉินฝู้กุ้ยเอ่ยขึ้นเสียงดัง ท่าทางตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง

“ฉันในตอนนั้นก็ตัดสินใจตบโต๊ะพูดกับตระกูลซูน กำจัดเจียงฉีทิ้ง อย่างน้อยที่สุดฉันจะแบ่งสองพันล้าน” ฉินฝู้กุ้ยแกว่งสองนิ้วไปมา เอ่ยขึ้นอย่างได้ใจเป็นอย่างยิ่งม”ก็รอข่าวดีของไอ้ลู่กวงนั่นแล้ว เจียงฉีจะช้าจะเร็วต้องเชื่อฟังคำสั่งและให้ความร่วมมือ สัญญากี่สิบฉบับเซ็นหมดแล้ว เงินเหล่านั้นก็หล่นเข้าไปในกระเป๋าของซูนเหิงทั้งหมด”

“สองหมื่นล้านหรอ? งั้นเจียงฉีนี่เห็นได้ชัดว่ามีคนอยู่เบื้องหลังน่ะสิ ความเสี่ยงของพวกเราค่อนข้างสูงนะครับ” โหสามเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง คิดถึงปัญหาสำคัญขึ้นมาได้ในทันที

“มีความเสี่ยงอะไร? เมืองชิงหยูนยังมีคนสามารถกัดตระกูลซูนให้ตายได้อีกหรอ? ต่อให้เป็นคนของตระกูลหวางตระกูลโจทำเรื่องบ้าๆลับหลัง ฉันก็ไม่กลัว!แตะต้องถุงเงินของตระกูลซูน ใครมาก็ทำอะไรไม่ได้” ฉินฝู้กุ้ยเอ่ยขึ้นอย่างได้ใจ “ฉันได้ลงเรือลำเดียวกับซูนเหิงแล้ว รับประกันว่าจะจบเรื่องนี้ให้กับเขา ไม่อย่างนั้นซูนเหิงอาศัยอะไรมาให้กับฉันสองพันล้าน? เงินเหล่านี้เดิมทีก็หล่นลงมาจากฟ้า ไม่ใช่ของเขา ดังนั้นถึงทำใจแบ่งได้ ไม่มีฉันฉินฝู้กุ้ย เขาทำสำเร็จไม่ได้เลยแม้แต่น้อย!”

ฉินฝู้กุ้ยสูบซิการ์ด้วยความได้ใจสุดๆ ในใจชื่นชมยินดีไม่หมด

คราวนี้เขาได้เดิมพันเต็มกำลังบนตัวของซูนเหิงแล้ว

ช่วยกินบริษัทโอเชี่ยนอสังหาริมทรัพย์สองหมื่นกว่าล้าน ขอเพียงแค่เจียงฉีเซ็นสัญญาจนหมด แผนการที่สมบูรณ์แบบไร้ตะเข็บ ไม่ว่าเบื้องหลังของเจียงฉีจะเป็นใคร ใครมาก็ไม่มีประโยชน์ บทสรุปถูกกำหนดเอาไว้แล้ว

ต้องรู้ว่า ตระกูลซูนยืนอยู่ที่ด้านหลังต่อต้านจนถึงที่สุด ในพื้นที่เมืองตุงไห่ ฉินฝู้กุ้ยคิดไม่เข้าใจ จะมีใครที่สามารถกลืนถุงเงินของตระกูลซูนไปได้ในคำเดียว?

ต่อให้เป็นนิ่งซื่อกรุ๊ปของเมืองตุงไห่ที่วิธีการมากมาย มังกรที่แข็งแกร่งจากเมืองหลวงที่กล้าข้ามผ่านแม่น้ำแบบนั้น เกรงว่าก็ไม่กล้าไปกินหัวใจที่สำคัญที่สุดของตระกูลซูนอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้หรอกมั้ง? นี่เป็นการขุดรากถอนโคนตระกูลซูนโดยสมบูรณ์แบบ!

อีกทั้ง ขอเพียงแค่เรื่องนี้ทำสำเร็จแล้ว เงินมาถึงมือไม่ว่า ต่อไปกับซูนเหิงก็คือพี่น้องที่สนิทแนบแฟ้นกันแล้ว

ทำเรื่องที่สวยงามขนาดนี้เสร็จ ซูนเหิงก็ตอกตะปูผู้สืบทอดของตระกูลซูนเอาไว้ได้อย่างมั่นคง ผู้แย่งชิงหลากหลายคนภายในบ้านในก่อนหน้านี้ก็ไม่มีหวังแล้ว!

ในขณะที่คิด ฉินฝู้กุ้ยก็ยิ้มขึ้นมาอย่างปลื้มปริ่ม เอ่ยขึ้นว่า “โหสาม แกโทรศัพท์ไปหาลู่กวง ถามมันว่าเกิดอะไรขึ้น? จัดการเจียงฉีคนเดียวยังต้องนานขนาดนี้?”

โหสามหยิบโทรศัพท์ออกมา กดโทรออก เอ่ยขึ้นอย่างสงสัย “ดูเหมือนสัญญาณจะไม่ค่อยดี โทรไม่ติด ผมออกไปลองโทรหามันดู”

ในขณะที่พูด โหสามก็เดินออกจากประตู

ปึ้ง!

ยังไม่ทันจะเดินออกนอกประตูถึงสามวินาที ทั้งตัวของโหสามก็กระเด็นกลับมา ล้มไปบนถุงกระสอบใบหนึ่งอย่างรุนแรง พลังโจมตีที่มหาศาลทำเอาถุงกระสอบขาดหมด ธนบัตรสีแดงไหลลื่นทะลักออกมา

“พวกแกไม่ต้องโทรศัพท์ไปหาลู่กวงแล้ว”

หลินอิ่งเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉย นั่งลงอย่างอาจหาญ เจียงฉียืนอยู่ที่ข้างกายของเขา มองดูฉินฝู้กุ้ยด้วยสายตาที่เยือกเย็น

“แกแม่งเป็นใคร? เข้ามาได้ยังไงกัน?” ผู้ชายตัวกำยำที่ใบหน้าเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อคนหนึ่งคำรามขึ้นด้วยความโมโห

เสียงเพี้ยะดังขึ้น หลินอิ่งสะบัดมือจานเหล็กใบหนึ่งลอยไปบนใบหน้าของเขา ตีลังกากลางอากาศไปในเวลานั้น ล้มลงกองกับพื้น ไอกระอักเลือด เผยสีหน้าที่เหลือเชื่อออกมา

ฉินฝู้กุ้ยสีหน้าประหลาดใจ มองสังเกตหลินอิ่งครู่หนึ่ง เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “พี่น้อง มาจากสายไหนกัน? ไม่ทราบว่าฉันคนตระกูลฉินไปล่วงเกินคุณที่ไหน?”

หลินอิ่งหัวเราะขึ้นอย่างเยือกเย็น จุดบุหรี่มวนหนึ่งอย่างเชื่องช้า

“เจียงฉี แกมาพูดกับเขาเถอะ”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท