ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่93 คุกเข่าสารภาพผิด

บทที่93 คุกเข่าสารภาพผิด

บทที่93 คุกเข่าสารภาพผิด

“พวกมึงเป็นใคร? จะทำอะไร? รู้ไหมว่ากูเป็นใคร?” หวางจื่อเหวินพูดด้วยความหวาดกลัว มองกลุ่มชายบึกบึนเต็มไปด้วยรังศีสังหาร ก็ลนลานขยับตัวถอยหลังหนีไม่หยุด

เสียงดังพลั่ก ในขณะที่จิตใจร้อนรนไม่หยุด หวางจื่อเวินตกลงมาจากรถ ร่างเขากลิ้งไปกับพื้นเหมือนลูกหมาจุกตูดก็ไม่ปาน เขาจับประตูรถพยุงตัวลุกขึ้น

“เหอะๆๆ เนี่ยหรอคุณชายแห่งตระกูลหวาง? ล้อเล่นป้ะวะ?” ชายร่างกำยำคนหนึ่งหัวเราะเยาะ

“แกรู้ว่าฉันคือคุณชายตระกูลหวาง?” หวางจื่อเหวินมีสีหน้าแปลกใจรมถึงมีคำถามในคราวเดียวกัน เขามองหลินอิ่งไม่อยากเชื่อสายตา สลับกับมองชายร่างใหญ่ทั้งสาม

เป็นไปได้ยังไง? ไอ้พวกนี้มันรู้สถานะของฉัน แต่ยังกล้าลงมือซ้อมบอร์ดี้การ์ด รวมทั้งทำร้ายร่างกายเขาอีก?

ไอ้สวะอย่างหลินอิ่ง มันไปเอาคนพวกนี้มาจากไหน?

ในใจของหวางจื่อเหวินสับสนอย่างหนัก

“เป็นคุณชายตระกูลหวางแล้วไง?” ชายกำยำพูดอย่างไม่แยแส

“รู้ว่าฉันเป็นคุณชายตระกูลหวางแต่ยังกล้าทำฉัน?” หวางจื่อเหวินตอบ ทั้งตกใจทั้งโมโห “พวกแกมันโง่ ที่ทำกับฉันแบบนี้เพื่อไอ้สวะอย่างหลินอิ่ง? กูจะจำหน้ามึงให้หมดทุกคน กูจะไม่ให้มึงตายดีแม้แต่คนเดียว!”

หลินอิ่งแค่นหัวเราะ หวางจื่อเหวินวันๆก็ดีแต่พร่ำว่าตัวเองเป็นคุณชายตระกูลหวาง สงสัยตายไปก็ยังไม่พ้นพูดคำนี้

“หลิวจุน ทางนี้ให้นายจัดการแล้วกัน” หลินอิ่งพูดนิ่งๆ แล้วหมุนตัวเดินจากไป เขาขึ้นไปนั่งบนรถแลนด์โรเวอร์แล้วออกไปจากชุมชนสุ่ยหยวน

“จะจัดการให้เรียบร้อยแน่นอนครับ!” หลิวจุนพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง

พูดจบหลิวจุนก็หันกลับมา ฝ่ามือใหญ่กระชากร่างของหวางจื่อเหวินจนลงไปกองกับพื้น

“มึงเป็นใคร? กล้าดียังไงมาตีกูวะ?!” หวางจื่อเหวินกุมใบหน้าแดงเถือกจากรอยถลอก โกรธแค้นอย่างถึงที่สุด

เขาเป็นถึงคุณชายใหญ่แห่งตระกูลหวาง พ่อของเขาคือหวางกั๋วคางผู้มีอิทธิพลเป็นอันดับสองแห่งตระกูลหวาง อยู่ในเมืองชิงหยูนมาตั้งหลายปี เขาเคยต้องก้มหัวให้ใครรังแกที่ไหน?

แต่เหมือนว่าตั้งแต่เขาทำผิดต่อหลินอิ่ง ผ่านไปไม่ถึงเดือน เขาก็ขายขี้หน้าจะไม่เหลือชิ้นดี โกรธจนอยากจะอักเป็นเลือด! เรื่องซวยซ้ำซวยซ้อนต่างๆล้วนโดนมาหมด

อย่างต่ำๆก็ถูกฉีกหน้าโดยคนไม่ซ้ำหน้ากันสามสี่คน!

ผั๊วะ ผั๊วะ!

หลิวจุนตรงเข้ามาบ้องหูอีกสองที แรงสะบัดจากฝ่ามือทำให้ปากของหวางจื่อเหวินบวมเป่ง

จากนั้น ชายร่างบึกมีสีหน้าไม่แยแส เขาขากเสลดลงพื้น จากนั้นมองหน้าหวางจื่อเหวินด้วยสายตาเย็นชา

“ดูท่ามึงยังไม่เข้าใจสถานะของตัวนี้! ไอ้เวรนี่มึงลองปากดีอีกทีสิ ถ้าไม่ยอมแพ้ วันนี้กูจะตบบ้องหูมึงจนกว่าจะสาแก่ใจ!” หลิวจุนพูดเสียงเย็น วอร์มมือรอ

หวางจื่อเหวินเห็นหลิวจุนท่าทางโอหัง สลับกับกลุ่มชายกำยำที่นั่งอยู่ในรถออฟโรดหลายคัน ในใจก็หวิวขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “พี่ชาย พวกพี่เป็นใครมาจากไหน? ผมไม่เคยทำอะไรให้พี่ไม่พอใจหรอกใช่ไหม?”

หลิวจุนสะบัดฝ่ามือออกไปอีกรอบ แล้วพูดตะคอก “ไม่เคยทำอะไรให้? มึงไม่เคยทำผิดต่อกู จะบอกว่ากูก็ห้ามทำอะไรมึงงั้นสิ?”

เดิมทีหลิวจุนก็เป็นนักต่อสู้มือฉมังอยู่แล้ว ยิ่งผสมกับทักษะฝ่ามือทลายก้อนอิฐเข้าไปอีก แรงตบครั้งเดียวก็มากพอที่จะทำให้หวางจื่อเหวินโลกหมุน สมองตื้อไปหมด

หวางจื่อเหวินแทบจะหดหัวเข้าคอ กลัวตายสุดขีด

“อย่าทำผมเลย! ไม่ไหวแล้ว! พ่อผมคือหวางกั๋วคัง! ระดับชื่อเสียงของพ่อในเมืองชิงหยูนคงมีประโยชน์กับพวกพี่บ้างล่ะ” หวางจื่อเหวินยังคงทำใจดีสู้เสือ “พี่ชาย พี่อยากได้เงินหรืออยากได้อะไรล่ะ ผมจะโทรหาพ่อให้เดี๋ยวนี้ ให้พ่อผมเอามาให้ ขอแค่พี่อย่าทำผมอีกเลย!”

เมื่อพูดจบ หลิวจุนก็จู่โจมเข้ามาหยุดปากของหวางจื่อเหวินด้วยฝ่ามือหนักๆที่ตบเข้าตรงบ้องหูทั้งสองข้างสลับไปมา เมื่อเหวี่ยงมือออกไปทีก็ตบอีกฝ่ายติดต่อกันหลายครั้งราวกับเสพติดไปแล้ว

“มึงยังพูดถึงหวางกั๋วคังอีกใช่ไหม? คิดจะขู่กูงั้นสิ?” หลิวจุนถุยน้ำลาย พูดโต้อย่างไม่เกรงกลัว

เขาถึงกับผ่านความโชกโชนมาด้วยตัวเองภายใต้น้ำมือของท่านหลิน ความสามารถที่สะเทือนปฐพีแบบนั้น อย่าว่าแต่หวางกั๋วคังอะไรนั่น ไม่ว่าใครในเมืองชิงหยูนก็ไม่มีประโยชน์!

ก่อนจะมาอาศัยบารมีของหลินอิ่ง ตอนที่เขายังเป็นมือขวาให้โจปินคุณชายใหญ่แห่งตระกูลโจ เขาก็ไม่เคยให้ค่ากับไอ้วันๆที่ดีแต่สำมะเลเทเมาอย่างหวางจื่อเหวิน ยิ่งตอนนี้ที่เขามาติดสอยห้อยตามหลินอิ่งยิ่งไม่ต้องพูดถึง

หวางจื่อเหวินตัวสั่นระริก ไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป

เขาที่นับว่าเป็นคุณชายที่ปกติทำอะไรก็ไม่คำนึงถึงเหตุถึงผล ใครจะคิดว่าวันนี้จะต้องมาเจอคนที่ไม่มีเหตุผลหนักกว่าตัวเอง ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรล้วนกลายเป็นวอนโดนตบไปซะหมด แถมแรงก็อย่างกับช้าง ใครมันจะไปทนไหว

“กูชื่อหลิวจุน เคยได้ยินชื่อนี้ไหม?” หลิวจุนแสยะยิ้ม เขามองหวางจื่อเหวินด้วยสีหน้ากวนๆ

“หลิวจุน?” หวางจื่อเหวินขมวดคิ้ว ค่อยๆรำลึกความทรงจำ ก่อนจะมีสีตกใจเล็กน้อยเมื่อนึกออก “นายคือหนึ่งในสามอัศวินสกุลหลิวแห่งเมืองชิงหยูน?”

สามพี่น้องหลิวจุนที่มีทักษะการต่อสู้ขั้นสูงมีชื่อเสียงมาอย่างยาวนานในเมืองชิงหยูนกับเรื่องการสู้ปราบปราม ทั้งยังก่อตั้งศูนย์ศิลปะการต่อสู้ของสกุลหลิวขึ้นที่ใจกลางเมือง เพื่อถ่ายทอดวิชากังฟูประจำตระกูล ซึ่งเป็นวิชาที่หาเรียนได้ยาก และเป็นทักษะที่สามารถฆ่าคนได้ง่ายๆ

เพราะแบบนั้นสามพี่น้องสกุลหลิวเองก็ถือว่าเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง แม้แต่คนดังหรือเศรษฐีในเมืองชิงหยูนก็ยังต้องเกรงใจ

“นึกว่าไอ้ลูกหมาหางจุกตูนอย่างแกจะตังลอยขึ้นฟ้า ไม่สนใจแม้แต่ชื่อเสียงเรียงนามของฉันซะอีก” หลิงจุนพูดโอหัง

“นายเป็นคนของโจปินหรือเปล่า?” หวางจื่อเหวินสงสัย “ฉันได้ยินมาว่าระยะนี้นายมาอาศัยบารมีของท่านเสิ่นซาน หรือว่าท่านเสิ่นซานส่งนายมา?”

หวางจื่อเหวินเคยปะทะกับสามพี่น้องหลิวจุน เมื่อตอนงานเลี้ยงต้อนรับโจปินเพิ่งกลับจากต่างประเทศ

ในแวดวงไฮโซของเมืองตุงไห่ หวางจื่อเหวินจ่ายเงินเพื่อให้ตัวเองได้ไต่ระดับขึ้นเป็นคุณชายผู้ร่ำรวยชั้นหนึ่ง แต่ถ้าเทียบกับโจปินแห่งตระกูลโจ พื้นเพของทั้งสองครอบครัวถือว่าไม่ต่างกันนัก แต่อำนาจและความสามารถกลับต่างกันอย่างชัดเจน อำนาจและความสามารถของเขาต่ำต้อยกว่าโจปินจนแทบเทียบไม่ติด

ก่อนหน้านี้ที่โจปินเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ แถมยังพาพวกนักฆ่าโหดๆกลับมาด้วย เรียกว่าเป็นมาเฟียประจำเมืองไปอย่างสมบูรณ์ เขาลั่นวาจาจะกำราบมาเฟียทุกคน และครองเมืองชิงหยูนให้ได้ภายในหนึ่งเดือน พร้อมกับลับมีดด้วยการเปิดศึกกับเสิ่นซานของเมืองหนานเฉิง

แต่ใครจะคิด โจปินที่ผ่านคู่ต่อสู้มามากมายขณะอยู่ต่างประเทศ ผู้ที่มีเงินมีอำนาจมีลูกน้อง ไหนจากมีตระกูลโจแบ็คอัพ กลับต้องพ่ายแพ้ให้กับน้ำมือของเซียนอันดับหนึ่งแห่งเมืองชิงหยูนอย่างเสิ่นซาน แพ้คาบ้านไปซะดื้อๆ

หลังจากจบเหตุการณ์นั้น แม้แต่ตระกูลโจก็ไม่กล้ากลับไปแก้แค้นเสิ่นซาน เหตุการณ์นี้สร้างความตกอกตกใจแก่แวดวงคนดังในเมืองชิงหยูนเป็นอย่างมาก

ท่านเสิ่นซานกลายเป็นคนดังในชั่วข้าวคืน เหล่ามาเฟียแห่งเมืองชิงหยูนแค่ได้ยินชื่อ ก็ต่างพากันก้มหัวให้ บารมีของเขาแผ่ขยายไปไกลจากแค่เขตเล็กๆในเมืองหนานเฉิง กลายเป็นเงามืดที่แม้แต่สามตระกูลใหญ่แห่งเมืองชิงหยูนต้องหวาดกลัว!

“พี่หลิว คงไม่ใช่ท่านเสิ่นซานสั่งให้พี่มาหรอกใช่ไหม?” หวางจื่อเหวินเริ่มหน้าซีด แววตาสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว

หากเป็นเสิ่นซานในสมัยก่อน กะอีแค่ทุบเมืองหนานเฉิงทิ้ง ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับคุณชายแห่งตระกูลหวางอย่างเขา

แต่ตอนนี้ แม้แต่โจปินท่านเสิ่นซานก็กำจัดมาแล้ว มิหนำซ้ำตระกูลโจยังไม่กล้าหือ แล้วเหวางจื่อเหวินอย่างเขาจะไปเหลืออะไร?

นี่ถ้าท่านเสิ่นซานหมายหัวเขาเข้าจริงๆ คงมีแต่ตายกับตายเท่านั้น!

“หึ กลัวเป็นเหมือนกันหรอวะ?” หลิวจุนแสยะยิ้ม “เบื้องบนเขาสั่งมา แก ไอ้หวางจื่อเหวินไปนั่งคุกเข่าหน้าประตูชุมชนสุ่ยหยวนหนึ่งชั่วโมง! จะไว้ชีวิตให้แค่ครั้งนี้!”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท