ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 97 คุณคือพ่อ

บทที่ 97 คุณคือพ่อ

บทที่ 97 คุณคือพ่อ

“แก!แกเป็นใครกันแน่?” ลู่กวงมองดูหลินอิ่งด้วยใบหน้าเหลือเชื่อ ในใจหวาดหวั่นไม่หยุด

จะยังไงเขาก็คิดไม่เข้าใจ ชายหนุ่มเสื้อเชิ้ตสีขาวคนนี้ฆ่าขึ้นมาได้ยังไงกัน?

มือปืนยี่สิบกว่าคนที่เฝ้าหน้าประตูลิฟต์ไปไหนกันอีก?

ต่อให้ปะทะเข้ากับเหตุการณ์ใหญ่ งั้นก็ควรจะรีบโทรศัพท์มาหาตนเองสิ?

นอกเสียจากว่า คนที่เฝ้าประตูยี่สิบกว่าคนนั่น เพียงชั่วพริบตาก็ถูกกำราบแล้ว แม้กระทั่งโอกาสที่จะโทรศัพท์รายงานข่าวคราวก็ยังไม่มี?

ลู่กวงยิ่งคิดลึก ก็ยิ่งรู้สึกหวาดหวั่น ตัวสั่นไปทั่วทั้งร่างกาย

“มึงแม่งเป็นใคร? กล้ามาแตะต้องพี่ใหญ่ลู่?” ชายร่างใหญ่คนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่โมโห จ้องเขม็งไปที่หลินอิ่งด้วยสายตาที่เยือกเย็น

“รีบปล่อยพี่ใหญ่ลู่ ไม่อย่างนั้นวันนี้แกออกไปจากอาคารไห่หยางไม่ได้แน่!”

ลูกน้องหลายคนของลู่กวงต่างก็โห่ร้องขึ้น ทยอยกันชักเอามีดสั้นออกมาจากช่วงเอว จ่อไปทางหลินอิ่ง

หลินอิ่งหัวเราะขึ้นอย่างประชดประชันทีหนึ่ง ถีบลู่กวงที่อ่อนปวกเปียกเหมือนหมาตายออก จากนั้นร่างกายก็ระเบิดพุ่งชน ทะยานเข้าไปในทันที

“จัดการมัน!”

“แม่งเอ๊ย คนเดียวกล้าผยองขนาดนี้ รนหาที่ตาย!”

ชายร่างใหญ่สิบกว่าคนต่างก็เป็นคนโหดเหี้ยมที่เลียเลือดบนปลายดาบกันทั้งนั้น แผดเสียงออกมาด้วยความโกรธ อาศัยที่จำนวนคนมากกว่าชักเอามีดสั้นออกมาพุ่งไปทางหลินอิ่งในทันที

ในมุมมองของพวกเขา หลินอิ่งต่อให้คือคนที่ฝึกวิทยายุทธแล้วจะยังไงได้อีก? มือเปล่าไร้อาวุธยังจะสามารถพลิกฟ้าได้?

พวกเขาสิบกว่าคนเสเพลกันอยู่ที่โลกภายนอก ใครไม่มีความสามารถ?

ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง!

จากนั้นชายหนุ่มร่างใหญ่สิบกว่าคนก็พุ่งรบเข้ามา เวลาไม่ถึงหนึ่งนาที ภายในออฟฟิศขนาดใหญ่ก็สะท้อนเสียงหมัดกระทบเนื้อดังออกมาไม่หยุด

ร่างกายของหลิงอิ่งราวกับปีศาจ หมัดเท้าไร้เงา ฟึ่บฟั่บๆ กำลังของเขาเดิมทีก็แกร่งจนถึงสามารถล้มควายทั้งตัวได้อย่างง่ายดาย ลื่นไหลแม่นยำ หมัดนึงเท้านึงก็ทำให้ชายร่างใหญ่ตีลังกาล้มลงกับพื้น มือกุมท้องร้องโวยเสียงดัง!

“อ๊าก!โอ๊ย!”

สิ่งที่ตามมาติดๆก็คือเสียงร้องอันน่าเวทนา ชายร่างใหญ่สิบกว่าคน อ่อนปวกเปียกอยู่กับพื้นทั้งหมด ไม่มีกำลังในการสวนหมัดเลยแม้แต่น้อย ก็ความรวดเร็วของพวกเขา หยิบมีดสั้นขึ้นมาจะยังไงก็แทงไม่ถึงหลินอิ่ง

“เป็นไปได้ยังไง? พลังของแกทำไมถึงรุนแรงขนาดนี้?” ลู่กวงตาลอยมองดูฉากนี้

เขาเห็นเพียงแค่ลูกน้องทั้งหมดตีลังกาลงกับพื้นไปทีละคนๆ ร่างกายที่กำยำสูงใหญ่ อยู่ต่อหน้าเด็กหนุ่มเสื้อเชิ้ตสีขาวคนนี้ คิดไม่ถึงว่าจะกรอบจนเหมือนกับกระดาษแผ่นนึงยังไงอย่างงั้น หมัดเดียวก็ทนไม่ไหว?

“พี่ใหญ่ลู่ มัน มันช่างเหี้ยมโหดจริงๆครับ!” หนุ่มร่างใหญ่คนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยเสียงหอบ

ในสายตาของพวกเขา ชายหนุ่มที่มาอย่างกะทันหันคนนี้ เรียกได้ว่าเป็นปีศาจจริงๆ!

ลู่กวงก็ถอนหายใจยาวออกมาเช่นเดียวกัน สีหน้าขมขื่น

ในใจคิดว่าหากพกปืนมาด้วยก็คงจะดี ก็จะไม่ถึงขั้นถูกคนบุกเดี่ยวกำราบเรียบ

อาวุธที่สามารถโหลดกระสุนได้ ก็ใส่เอาไว้ในหลังกระโปรงรถออฟโรดที่อยู่ลานจอดรถชั้นใต้ดินหมดแล้ว ไม่ได้พกขึ้นมาด้วยเลย

ก่อนหน้านี้ก็คิดไม่ถึงเลยแม้แต่น้อย อาคารไห่หยางต่างก็ถูกปิดล้อมเอาไว้หมดแล้ว เพียงแค่รับมือกับเจียงฉีไอ้คนอ่อนแอที่นั่งอยู่ในห้องทำงานทุกวันนี่ จะต้องใช้คนจริงที่ไหนกัน?

หลินอิ่งเดินมาถึงริมหน้าต่าง แก้ลวดเหล็กออก ดึงเจียงฉีกลับมาจากด้านนอกหน้าต่าง

“ฮู่ ประธานหลิน คราวนี้โชคดีที่คุณออกโรงช่วยเหลือ ผู้น้อยไร้ความสามารถ หาเรื่องวุ่นวายมาให้คุณมากมายขนาดนี้” เจียงฉีถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าละอายใจ มองไปทางหลินอิ่งสายตาก็มีความช็อกเพิ่มขึ้นมาเช่นเดียวกัน

ก่อนหน้านี้เจียงฉีรู้เพียงแค่หลินอิ่ง ชาติตระกูลทำลายกฏของโลก ร่ำรวยมหาศาล แต่คิดไม่ถึงว่า หลินอิ่งยังมีความสามารถที่น่ากลัวขนาดนี้อีก?

ไม่ใช่ว่าเห็นด้วยตาเขายังไม่กล้าที่จะเชื่อ หลินอิ่งบุกเดี๋ยวเลยนะ แค่เท้าข้างเดียว ก็กำราบเรียบนักเลงมืออาชีพที่พกปืนสิบกว่าคน?

มองแค่รูปร่างที่สูงๆผอมๆของหลินอิ่งเพียงอย่างเดียว ก็ไม่เหมือนกับคนที่มีกำลังมากมายขนาดนี้เลยแม้แต่น้อย

“แกทำงานให้ฉัน ฉันไม่ได้พูดอะไร ก็ไม่มีใครสามารถแตะต้องแกได้ เข้าใจหรือเปล่า?” หลินอิ่งเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ ในน้ำเสียงเผยให้เห็นถึงความน่าเกรงขาม

“ครับ ประธานหลิน!ผู้น้อยเข้าใจ” เจียงฉีพยักหน้าด้วยความเคารพนบนอบ หัวใจสะท้าน ท่าทีที่สงบเยือกเย็นนี้ของหลินอิ่ง ให้ความมั่นใจในตนเองกับเขาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ในใจของเขาคิดว่า ในตอนแรกไหว้พระโพธิสัตว์ถูกองค์จริงๆ พึ่งใบบุญประธานหลินบุคคลใหญ่โตท่านนี้ ช่างเป็นการเลือกที่ทำออกมาถูกต้องที่สุดในชีวิตนี้จริงๆ!

หลินอิ่งเหลือบตามองไปยังสัญญาที่อยู่บนโต๊ะแวบหนึ่ง พอจะเข้าใจแล้วว่าคือสถานการณ์อะไร หันไปหาเจียงฉีเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ “แกไม่เลว”

ชัดเจนเป็นอย่างมาก ตระกูลซูนส่งลู่กวงคนกลุ่มนี้มายังที่นี่เพื่อบีบบังคับเจียงฉีให้ยอมเชื่อฟังคำสั่ง

แต่เจียงฉีคิดไม่ถึงว่าแม้กระทั่งถูกแขวนอยู่บนความสูงตึกสามสิบกว่าชั้น ก็ยังไม่ก้มศีรษะยอมแพ้ และก็เป็นการพิสูจน์เช่นเดียวกันว่าในตอนแรกตนเองไม่ได้มองคนผิด ไม่ได้เสียเวลาบ่มเพาะเขาไปโดยเปล่าประโยชน์

“ผู้น้อยละอายใจ” เจียงฉีก้มศีรษะลง เหงื่อผุดออกมาเต็มหน้าผาก

หลินอิ่งไม่ได้พูดอะไรอีก หมุนตัวไปด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉย เดินไปทางลู่กวงที่อ่อนปวกเปียกอยู่บนพื้นทีละก้าวๆ

“ประธานหลิน? เป็นไปได้ยังไงกัน!แกจะเป็นหลินอิ่งลูกเขยขยะที่โด่งดังของตระกูลจางได้ยังไง? แกเป็นใครกันแน่?” ลู่กวงมองดูหลินอิ่งเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ตื่นกลัว เอ่ยข้อสงสัยที่แสดงถึงความไม่ยินยอมออกมา

เขาในฐานะที่เป็นผู้ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชนในยุทธภพไม่มีใครสามารถหยุดยั้งได้ในเขตเหนือของเมือง

จะเชื่อได้ยังไงกันว่าตัวเองจะตกอยู่ในน้ำมือของขยะที่โด่งดังคนหนึ่ง

“ฉันเป็นใคร? เมื่อครู่นี้ในสายโทรศัพท์แกไม่ใช่ผยองมากหรอกหรอ?” หลินอิ่งมองดูลู่กวงด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉย

“หา!” ลู่กวงร้องเสียงหลงออกมา เบิกตาโพลงทั้งสองข้างมองดูหลินอิ่ง

“แก? แกคือหลินอิ่งจริงๆ?” ลู่กวงราวกับเห็นเรื่องอะไรที่น่าเหลือเชื่อ “เป็นไปได้ยังไงกัน แกเพิ่งจะโทรศัพท์เสร็จแค่ไม่กี่นาที ก็บุกขึ้นมาแล้ว?”

หลินอิ่งไม่ใช่เขยขยะของตระกูลจางที่โด่งดังในเมืองชิงหยูนหรอกหรอ?

ทำไมถึงได้เหี้ยมโหดขนาดนี้?

หากรู้มาก่อนว่าคือคนที่โหดเหี้ยมอำมหิตแบบนี้ เขาจะกล้าโห่ร้องปากเก่งกับหลินอิ่งในโทรศัพท์ได้ที่ไหนกัน?

ช่างน่าเสียดายที่เงินทองมากมายก็ยังหาซื้อคำว่าหากรู้มาก่อนได้ยาก ตอนนี้ไม่เพียงแต่ปากเก่งรนหาที่ตายล่วงเกินหลินอิ่งในโทรศัพท์ ยังถูกจับได้ต่อหน้า คราวนี้คงจบเห่แน่

“หรือจะบอกว่า คนที่คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังเจียงฉีคือแก?” ลู่กวงดูเหมือนคิดประเด็นสำคัญอะไรขึ้นมาได้

เหงื่อผุดเต็มหน้าผากอย่างบ้าคลั่ง นี่ก็ช่างน่าช็อกโลกเกินไปแล้วล่ะมั้ง?

เขาต่อให้ตอนนี้โทรศัพท์ไปหาคุณชายใหญ่ซูนเหิงแห่งตระกูลซูนรายงานข่าว บอกว่าหลินอิ่งมาที่อาคารไห่หยางกำราบคนไปหมดแล้ว เกรงว่าซูนเหิงก็คงจะไม่เชื่อหรอกมั้ง?

“ที่แกรู้ก็มากเกินไปแล้วล่ะมั้ง?” หลินอิ่งหัวเราะขึ้นอย่างเยือกเย็น สายตาโหดเหี้ยมอย่างหาใดเปรียบ

ปึ้ง!

หลินอิ่งใช้เท้าข้างเดียวถีบจนลู่กวงล้มกระแทกไปบนกำแพงอย่างรุนแรง กระดูกทั่วทั้งร่างกายแหลกลาญภายในชั่วพริบตา บนศีรษะปูดบวมเป็นลูกๆ ใบหน้าฟกช้ำไอแห้งกระอักเลือดสดออกมา

“ไม่!ผมไม่รู้ ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น!” ลู่กวงเอ่ยขึ้นอย่างหวาดกลัว มองเห็นสายตาเยือกเย็นที่เต็มไปด้วยจิตสังหารของหลินอิ่ง ทั่วทั้งร่างกายก็สั่นเทาไปหมด

“อย่าฆ่าผมเลย!หลินอิ่ง ไม่ คุณพ่อ คุณปู่ครับ!ขอร้องคุณล่ะ ปล่อยผมไปเถอะ ผมเป็นวัวเป็นควายให้คุณก็ได้หมด!”

ยังไม่รอให้หลินอิ่งพูดอะไรออกมา ลู่กวงก็ตุ้บคุกเข่าลงกับพื้นด้วยจิตสำนึกของตัวเอง ปังๆๆโขกศีรษะไปทางหลินอิ่ง

ความกล้าของลู่กวงถูกทำให้หวาดกลัวจนแตกไปโดยสมบูรณ์แบบ ตอนนี้ยังจะกล้าเผยความหยิ่งผยองแม้เพียงเล็กน้อยกับหลินอิ่งที่ไหนกัน?

ก็ด้วยท่าทางนี้ของหลินอิ่ง ท่าทีที่เทพมาขวางก็ฆ่าเทพนี้ พลังเท้าข้างเดียวที่ถีบมาบนร่างกาย ความรู้สึกก็ราวกับถูกรถยนต์ชนก็ไม่ปาน ไม่แน่เท้าต่อไปถีบมาถึงส่วนที่สำคัญ คนก็แย่เลยน่ะสิ!

ดังนั้น ลู่กวงต่อให้ยังมีไพ่ใบสุดท้ายเหลืออยู่ สามารถเอ่ยชื่อของพี่ใหญ่แห่งเขตเหนือของเมืองฉินฝู้กุ้ยออกมา ในเวลานี้ก็ไม่กล้าหยิบเอาอันนี้มาข่มขู่หลินอิ่ง

ถึงอย่างไร ความเป็นความตายถืออยู่ในมือของคน ขอเพียงแค่สามารถหลบภัยพิบัติตรงหน้านี้ไปได้ ต่อไปถึงจะมีโอกาสหาทางชนะกลับมาได้

หลินอิ่งหัวเราะอย่างประชดประชันขึ้นมา เอ่ยว่า “แกตอนนี้เรียกฉันคุณปู่? งั้นแกอธิบายกับฉันสักหน่อย เมื่อครู่นี้ในโทรศัพท์ แกพูดว่าอะไร?”

“ผม…ผม!” ศีรษะของลู่กวงชุ่มไปด้วยเหงื่อ กลัวจนถึงขีดสุด โขกศีรษะลงกับพื้นอย่างกะทันหัน

“หลินอิ่ง ไม่ ท่านหลิน ผมพูดผิดไปแล้ว คุณคือพ่อ คุณคือปู่ของผม!” ลู่กวงโขกศีรษะปึ้งๆ หน้าตาอะไรก็ไม่เอาแล้ว ร้องขอเพียงแค่หลินอิ่งสามารถไว้ชีวิตเขาได้

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท