ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 109 กงซุนชิวอวี่

บทที่ 109 กงซุนชิวอวี่

บทที่ 109 กงซุนชิวอวี่

“หา? คุณจะไปทำธุระที่ต่างจังหวัดเหรอ?”จางฉีโม่ถามด้วยความสับสน “ฉันเป็นเจ้านายของคุณ ทำไมฉันไม่รู้”

หลินอิ่งกล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องที่คณะกรรมการกรุ๊ปส่วนตัวจัดการ”

“ฮึ!”จางฉีโม่ฮึอย่างเย็นชา “แม้ว่าเรื่องที่จัดวิลล่าให้ฉัน ฝั่งประธานอูและคณะกรรมการ ก็ไม่ได้แจ้งให้ฉันทราบ แต่ให้คุณทราบก่อน คุณนี่คิดแผนที่เลวร้ายจริงๆ?”

หลินอิ่งยิ้มและกล่าวว่า“โธ่ ก็เพราะว่างานวิจัยเครื่องประดับของคุณสำคัญเกินไป สำหรับคณะกรรมการก็ไม่ดีที่จะเบี่ยงเบนความสนใจของคุณไปที่สิ่งเล็กน้อยเหล่านี้ แน่นอนก็ต้องให้ผู้ช่วยตัวน้อยอย่างฉันไปทำ”

จางฉีโม่ทำตาขาวกับหลินอิ่ง “กะล่อน”

แม้ว่าเธอพูดอย่างนี้ต่อหน้า แต่ในใจเธอก็รู้สึกดี

“แล้วคุณจะไปทำธุระที่ไหน? ไปทำเรื่องอะไร?”จางฉีโม่ถามอย่างจริงจัง

“ไปที่ตี้จิง และพูดคุยเรื่องกับลูกค้า”หลินอิ่งกล่าว

“โอ้”จางฉีโม่พยักหน้า แล้วก็ไม่ถามหลินอิ่งอะไรมากนัก

หลินอิ่งจะไปต่างจังหวัดก็ดีแล้ว ไม่งั้นอยู่ในเมืองชิงหยูนก็จะถูกไอ้หวางหงหลิงจีบ

“ไปนานแค่ไหน? พรุ่งนี้ก็ต้องไปที่นั่นแล้วเหรอ? อย่าลืมถ้าถึงที่นั่นแล้วโทรหาฉันเพื่อรายงานความปลอดภัยด้วย”จางฉีโม่กล่าว

หลินอิ่งพยักหน้าและกล่าวว่า “ใช่ เครื่องบินจะไปพรุ่งนี้ ไปประมาณสิบวันหรือครึ่งเดือน”

“เดี๋ยว คุณเก็บสองเบอร์นี้ไว้ นี่คือเพื่อนสนิทของฉัน ถ้าคุณมีอะไรก็โทรหาพวกเขาได้” หลินอิ่งกล่าวอย่างจริงจังและยื่นบันทึกให้จางฉีโม่

ตัวเลขในบันทึกเป็นของเสิ่นซานและเจียงฉี

ก่อนหน้านี้ให้เสิ่นซานและเจียงฉีได้ติดตั้งโทรศัพท์มือถือใหม่ ก็เพื่อรับสายโทรศัพท์ระหว่างเขาและจางฉีโม่

หลินอิ่งก็กลัวว่า เวลาที่ทำธุรกิจในตี้จิงอาจจะไม่สะดวกที่จะรับโทรศัพท์ หากฉีโม่พบเจอเรื่องอะไรบางอย่าง ตัวเขาก็อาจจะสั่งคนไม่สะดวกได้ในเวลานั้น

ด้วยความฉลาดของเสิ่นซานและเจียงฉี พวกเขาก็รู้วิธีจัดการกับสิ่งต่างๆ และพวกเขาก็อาจจะรู้วิธีที่คบค้าสมาคมกับฉีโม่

“โอ้ฉันเข้าใจ” จางฉีโม่พูดอย่างไม่ใส่ใจ แต่ใส่กระดาษในกระเป๋าอย่างเคร่งขรึม

เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าองค์กรเพื่อนของหลินอิ่งมีใคร แต่เมื่อเห็นหลินอิ่งเป็นแบบนี้ ดูเหมือนว่าเขาพัฒนามนุษยสัมพันธ์เล็กๆ น้อยๆ ในเมืองชิงหยูน

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองก็คุยกันเรื่องบ้าน กินและดื่ม

ดูเหมือนว่าจางฉีโม่ ไม่ได้คุยกับหลินอิ่งมานานแล้ว วันนี้เธอพูดอย่างกระตือรือร้นมาก เธอเริ่มก่อนที่จะพูดคุยเกี่ยวกับหลังจากที่เธอได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นรองประธานของกรุ๊ปและความตื่นเต้นที่เธอได้เจอหน้าพนักงานหลายคน และยังพูดคุยเกี่ยวกับเครื่องประดับหลายชิ้นที่เธอเพิ่งออกแบบ

หลินอิ่งพูดคุยเกี่ยวกับผลงานการออกแบบเครื่องประดับกับจางฉีโม่อย่างจริงจังและให้คำแนะนำ

หลังจากรับประทานอาหาร จางฉีโม่ก็ไปที่ห้องนอนสุดหรูที่เลือกและเดินไปรอบ ๆ อีกครั้งชื่นชมวิลล่าสุดหรูแห่งนี้ รู้สึกว่ามันสวยงามเกินไป

หลินอิ่งมาที่ระเบียงชั้นสาม เก็บมือไว้อยู่ข้างหลังมองไปไกลๆ เห็นแม่น้ำชิงหยูนและเมืองชิงหยูนที่เจริญรุ่งเรืองและอาคารสูงเรียงรายที่อยู่ภายใต้แสงจันทร์

“คุณชายครับ คุณต้องไปที่ตี้จิงจริงๆหรือ?”หลี่ผูยืนอยู่ข้างหลังด้วยความเคารพและก้มตัวลงถาม สีหน้าของเขาซับซ้อนมาก

“จริงๆแล้ว ชีวิตของคุณชายตอนนี้ก็ดีมากแล้ว ตอนนี้คุณมีอาชีพการงานและมีคุณหญิงที่มีคุณธรรมด้วย” หลี่ผูกล่าว“แม้ว่าถ้าคุณนายท่านเเละคุณนายเห็นชีวิตปัจจุบันของคุณ พวกเขาก็จะรู้สึกมีความสุข และไม่อยากให้คุณเพื่อแก้แค้น ไปที่ตี้จิงที่เหมือนถ้ำเสือบึงมังกรนั้น”

หลี่ผูกล่าวอย่างจิตใจที่ซื่อสัตย์และจงรักภักดี เขากังวลคุณชายจริงๆมาก คุณชายก็แสดงแรงผลักดันและทักษะที่ไม่ธรรมดา

แต่คุณชาย สิบกว่าปีที่ผ่านมา ก็อาศัยอยู่ในเมืองชิงหยูนเท่านั้น ไม่ว่าเขาจะมีพลังมากเพียงใด แม้ว่าคุณชายจะสามารถเล่นจังหวัดตุงไห่ให้อยู่ในมือเขา แหวกฟ้าคว้าฝน

แต่เมื่อที่ไปถึงตี้จิง มันก็เปรียบเทียบกันไม่ได้! ยิ่งไปกว่านั้น เขายังต้องต่อสู้กับตี้จิงตระกูลเหวินที่กำลังทรงพลังใหญ่อีก

รู้ไหมว่า ตระกูลฉีเป็นตระกูลที่ใหญ่ขนาดไหน มีสาขามากมายนับไม่ถ้วน และมีคนที่มีความสามารถมากมายขนาดไหน? อำนาจใหญ่แค่ไหน? เคยมือเดียวบังฟ้าในประเทศหลุง

ในสุดท้าย ทั้งตระกูลก็ถูกฆ่า ไม่เหลือสักคน รากฐานก็ตระกูลถูกตัดขาดโดยตระกูลเหวิน

อย่างไงคุณชายก็เป็นแค่คนคนเดียว เขาจะแหวกฟ้าของเมืองตี้จิงได้อย่างไร?

“”ลูกผู้ชาย มีสิ่งควรทำ มีสิ่งไม่ควรทำ”หลินอิ่งกล่าวเบา ๆ

“ถ้าแม้กระทั่งสถานที่ที่บรรพบุรุษเหลือไว้ยังรักษาไม่ได้” หลินอิงมองไปที่ลี่ผูอย่างเฉยๆ “งั้น มีอะไรแตกต่างกับศพล่ะ?”

ริมฝีปากของหลี่ผูขยับ เขาอยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูด เขาไม่สามารถชักชวนเขาได้อีกแล้ว ในสายตาที่เงียบสงบของคุณชาย ไม่รู้ว่าซ่อนคลื่นที่โหมซัดสาด ฟ้าร้องกลิ้งที่ดังขนาดไหน

“งั้น ผมก็ขอให้คุณชายได้พอชักธงรบก็ชนะศึกเลย!” หลี่ผูกล่าวอย่างจริงจัง “เรื่องที่อยู่ในเมืองชิงหยูน ผมก็จะช่วยคุณชายดูแลให้ดี”

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อยและไม่พูดอะไรอีก

วันถัดไป เที่ยง.

สนามบินนานาชาติชินหยูน

หลินอิ่งขึ้นเครื่องบินที่ไปตี้จิง

ยังคงเป็นการเดินทางที่ไม่อวด ไม่มีขบวนรถ ไม่มีใครมาพบด้วย ก็นั่งในห้องโดยสารธรรมดา เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยว

คงไม่มีใครคิดว่าชายที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว คนเดียว จะทำให้เมืองตี้จิงเกิดกลิ่นเคาวเลือดอันคละคลุ้งแค่ไหน

หลินอิ่งไม่ได้บอกจุดประสงค์ที่แท้จริงกับใคร และไม่ได้ระดมกำลังคนหรือกองกำลังมือใด ๆ

ฝั่งตี้จิงตระกูลหนิงของตี้จิง เขาไม่ได้กล่าวให้ทราบเช่นกัน

หลินอิ่งรู้ว่า เขาเคลื่อนไหวแค่นิดเดียวก็จะส่งผลไปทั้งหมด และคราวนี้ที่เขาไปที่เมืองตี้จิง ไม่ใช่ว่าจะสู้ชนะตี้ชิงตระกูลเหวินอย่างเดียว มันคือต้องการตัดหัวเพื่อประท้วง แก้แค้นมันด้วยเลือด!

หากระดมพลังจากแก๊งมังกร ทำลายตี้จิงตระกูลเหวินได้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก

แต่ว่า หลินอิ่งเป็นเจ้าของแก๊งของแก๊งมังกร จะไม่ระดมสำนักอู่เหมินสิบสิงหรือองค์รักษ์มังกรที่อยู่แฝงเป็นเวลานานได้อย่างง่าย

เรื่องที่เกี่ยวกับแก๊งมังกร ไม่นี่ขยับ ถ้าระดมก็ต้องทำให้ตกใจทั้งโลก! ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายขนาดนั้น เกี่ยวกับเรื่องลักษณะการจัดรูปแบบของโลกด้วย ห้ามใช้งานอย่างมั่ว

แม้ว่าหลินอิ่งจะมีฝีมือการต่อสู้ที่ใกล้จะถึงจุดสุดยอด ยังคงไม่อยากให้สังคมทั่วโลกเกิดความวุ่นวายขึ้น

บนที่นั่งในห้องโดยสารในเครื่องบิน หลินอิ่งหลับตาอยู่และพักผ่อน โดยไม่มีสิ่งอะไรและไม่มีกระเป๋าเดินทางอะไรเลย

“เฮ้ คุณมาจากจังหวัดตุงไห่เหรอ”

ทันใดนั้นมีเสียงที่ไพเราะและน่าฟังก็ดังขึ้น การออกเสียงเป็นภาษาอังกฤษ

หลินอิ่งค่อยๆลืมตาขึ้นและเห็นผู้หญิงที่อยู่ข้างๆเขา ใส่ชุดเดรสยาวสีเหลืองอ่อน ร่างเธอเรียว ใบหน้าที่เล็กๆ หน้าตาสวย ผิวของเธอเหมือนครีม และเธอสวมแว่นตาสีทองคู่หนึ่ง

ทั้งตัวของเธอก็ดูเหมือนปัญญาชน ฮิปสเตอร์ เรียบร้อยมาก

“คุณกำลังจีบฉันหรือเปล่า?” หลินอิ่งถามเบา ๆ

หญิงสาวมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย เธอดันแว่นตาสีทองที่จมูกของเธอ เธอไม่ได้โกรธ แต่เธอยิ้มและพูดว่า “ฉันชื่อกงซุนชิวอวี่ แล้วคุณล่ะ?”

กงซุนชิวอวี่ยังคงพูดภาษาอังกฤษด้วย น้ำเสียงที่ซุกซนมาก

หลินอิ่งเข้าใจ ยิ้ม แต่ไม่พูด

กงซุนชิวอวี่กดมุมปากเล็กน้อย หันหัวและพึมพำว่า “shite”

ถ้าเธอไม่คิดว่าเธอน่าเบื่อที่ต้องบินคนเดียวและเห็นผู้ชายใส่ชุดเสื้อเชิ้ตสีขาววัยเดียวกันหน้าตาน่ามอง เธอก็ไม่สนใจที่จะพูดกับเขา ตอนแรกเธอคิดว่าเขาเป็นคนที่น่าสนใจ แต่แม้ภาษาอังกฤษเขาก็ฟังไม่รู้เรื่อง เบื่อจริงๆ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท