ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่115 ทางออกของอูหยาง

บทที่115 ทางออกของอูหยาง

บทที่115 ทางออกของอูหยาง

“พวกคุณหลายคน มาที่นี่กันทำไม?” อูหยางพูดด้วยความไม่เกรงใจ

อูหยางมองคนพวกนั้นด้วยแววตาเรียบๆ แต่ในใจกลับมีความสงสัยเป็นอย่างมาก

โจวเสี่ยฉินเป็นลูกสาวของคุณชายตระกูลโจ แล้วก็เป็นพี่สาวแท้ๆ ของภรรยาของจางหงซวน สามารถพูดต่อหน้าคุณท่านตระกูลโจได้ว่า เป็นตัวแทนคนหนึ่งของธุรกิจต่างๆ ในตระกูลโจ มีชื่อเสียงไม่น้อยในเมืองชิงหยูน ถือว่าเป็นดอกไม้ที่โดดเด่นในแวดวงธุรกิจของชิงหยูน

แต่ซูนเจี่ยนเป็นน้องของซูนเหิง เป็นคนวิ่งเดินเรื่องต่างๆ ของตระกูลซูนเพื่อช่วยซูนเหิง ก่อนหน้านี้ก็ช่วยซูนเหิงดูแลโอเชี่ยนอสังหาริมทรัพย์กรุ๊ปเขตเหนือ

อูหยางเคยได้ยินมาว่า ครั้งก่อนเงินของตระกูลซูนในโอเชี่ยนอสังหาริมทรัพย์กรุ๊ป ก็เจียงฉีฮุบเอาไป ซูนเหิงขาดทุนเพราะเจียงฉีมาก เลยต้องชดใช้อย่างหนัก ชื่อเสียงก็แย่ไปด้วย

ได้ยินมาว่าภรรยาจางจี้หนิงเองก็ไม่ไปรับ แต่ให้จางหงจูนออกเงินห้าสิบล้าน เขาถึงจะยอมออกห้าสิบล้าน เพื่อพาจางจี้หนิงกลับมา

แต่เจียงฉีคนนั้น อูหยางเองก็สนใจอยู่ไม่น้อย รู้สึกสนใจที่จู่ๆ ก็มีคนแบบนี้ขึ้นมา

เจียงฉีเป็นคนที่โลดปล่นอยู่ในวงการธุรกิจของตุงไห่ที่ถือว่าใหม่ แต่ได้ชื่อว่าเป็นเจียงฉีผู้ร่ำรวยแห่งเมืองชิงหยูน!เงินในมือนั้นหนาเกินกว่าจะจินตนาการ เงินสะพัดอยู่กับเขาราวๆ พันล้านได้ เขาพัฒนาธุรกิจในทุกทางๆ มีการขยับขยาย และบริหารดูแลเป็นอย่างดี ในมือของเขายังมีคนร่ำรวยที่ทำธุรกิจสีเทาในเขตเหนือของเมืองอีกด้วย

ช่วงนี้แวดวงธุรกิจของตุงไห่โด่งดังเป็นอย่างมาก จนใครๆ ก็รู้จักขึ้นมา

ซูนเหิงขาดทุนถูกเอาเปรียบเพราะเจียงฉี แต่ยังมีเวลามาดูแลเรื่องราวต่างๆ ในจางซื่อกรุ๊ปอีกเหรอ?

“ประธานกรรมการอู พวกเราซื้อหุ้นมากกว่าครึ่งของจางซื่อกรุ๊ปกับร้านค้าต่างๆ มากมาย ส่วนหุ้นส่วนเล็กๆ นั้น ก็อยู่ในกำมือของเรา ฉันว่า คุณควรออกจากตำแหน่งนี้แล้วล่ะ” ซูนเจี่ยนยิ้มขึ้นด้วยความเจ้าเล่ห์

“หึ ซูนเจี่ยน คุณกับซูนเหิงกล้ามาลงมือกับจางซื่อกรุ๊ปงั้นเหรอ?รู้ไหมว่าจางซื่อกรุ๊ปมีใครเป็นหุ้นส่วนน่ะ?” อูหยางพูดเสียงเย็นชา “เจียงฉีทำร้ายซูนเหิงของเมืองชิงหยูนแต่ก็ไม่กล้าแก้แค้น คุณคิดว่า ตระกูลนิ่งในเมืองตุงไห่ทำไม่ได้เหรอ?”

“หึๆ ประธานกรรมการอู คุณเข้าใจผิดแล้วล่ะ พวกเราตระกูลซูนแค่เข้ามาเป็นหุ้นส่วนเฉยๆ ไม่ได้คิดจะทำอะไรคุณเลย” ซูนเจี่ยนพูดด้วยความเกรงใจ เขากล้ารวมสามตระกูลมาถือหุ้น แต่กลับไม่กล้าไปทำอะไรอูหยางเพียงคนเดียว ถ้าเกิดเปลี่ยนการกระทำ เดี๋ยวเรื่องจะใหญ่ไปมากกว่านี้!

“ไม่เลวเลย พวกเราทั้งสามตระกูลแค่อยากจะเข้าร่วมถือหุ้นเท่านั้น” หวางจื่อเหวินพูดช้าๆ “บริษัทเครื่องประดับจางซื่อมีแต่พัฒนาขึ้นทุกวันๆ พวกเราเองก็เห็นดีด้วย เพราะทุกคนจะได้ร่ำรวยไปด้วยกัน ไม่ได้เหรอ?”

“ประธานกรรมการอู พวกเราไม่กล้าฮุบหุ้นส่วนของตระกูลนิ่งอยู่แล้ว คุณแบ่งแบบนี้ เพียงแค่ลงจากตำแหน่ง แล้วเป็นประธานกรรมการที่ได้ส่วนแบ่งตามปกติก็พอ” โจวเสี่ยฉินพูดอย่างซื่อสัตย์

จางฉีโม่ที่นั่งอยู่ข้างๆ เริ่มรู้สึกลำบากใจ พลางขมวดคิ้วเบาๆ เพราะรู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่ชอบมาพากล

มันชัดเจนเลยว่า ลุงคนโตจางหงจูนกับตระกูลซูนมีความสัมพันธ์กัน ภรรยาของลุงคนที่สามจางหงซวนเป็นตัวแทนตระกูลโจ มีความสัมพันธ์กับตระกูลโจ แน่นอนว่าจะต้องเป็นคนที่เชิญมาเพื่อช่วยแน่นอน

แต่หวางจื่อเหวิน ไม่รู้ว่ามาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร ถึงได้มาพยายามมีส่วนร่วมในการจัดการเรื่องราวต่างๆ ในบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ

“หึๆ แค่พวกคุณ จะมีคุณสมบัติอะไรมายุ่งเกี่ยวกับตระกูลนิ่งได้เหรอ?” อูหยางยิ้มด้วยความเยือกเย็นก่อนพูดขึ้น เขาไปไหนมาไหนกับนิ่งซวนยังไม่เคยเจอที่ๆ ใหญ่ๆ ที่ไหนกัน

“ประธานกรรมการอูมีสปิริตจริงๆ เลย!ทั้งสามตระกูลก็ออกมาแล้ว คุณยังจะคะยั้นคะยออะไรอีก?”

ในตอนนั้นเอง มีเสียงกังวานดังขึ้น

มีชายวัยกลางคนที่ใส่สีม่วงเข้ม เดินเข้ามาด้วยสีหน้าจริงจัง พลางมองอูหยางด้วยท่าทีรื่นเริง

“ประธานหวาง คุณมาแล้วเหรอ!” จางหงซวนพูดด้วยความประจบประแจง

“หวางกั๋วคาง?ประธานหวาง!ดื่มชา!” จางหงจูนเองก็ประจบประแจงขึ้นมา

ต้องรู้ด้วยว่า หวางกั๋วคางเป็นคนอันดับสองของตระกูลหวาง!ร่ำรวยเป็นอย่างมาก และถือได้ว่าเป็นหนึ่งในคนที่เป็นกำลังสำคัญของตระกูลหวาง

หวางกั๋วคางไม่ใช่ไม่เคยเข้ามาอยู่ในลิสต์ของคนร่ำคนรวย เขาเป็นคุณชายของตระกูลหวางมากว่ายี่สิบปีแล้ว และได้เป็นอันดับสองของตระกูลหวางอีกด้วย!

“หวางกั๋วคาง คุณก็มาด้วยเหรอ?” อูหยางขมวดคิ้วเบาๆ เขาสามารถไม่สนใจคนทั้งสามของหวางจื่อเหวินได้ แต่ว่าหวางกั๋วคาง ถือเป็นคนใหญ่คนโตในเมืองชิงหยูน มีเพียงไม่กี่คนในเมืองชิงหยูน ที่สามารถได้พูดคุยกับประธานนิ่งได้

“เลขาอู๋ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ครั้งก่อนได้ยินจื่อเหวินพูด ว่าคุณอยากจะให้ฉันมาคุยกับคุณ?” หวางกั๋วคางพูดด้วยความเย่อหยิ่ง เหมือนกับว่ากำลังถามไถ่

อูหยางเป็นเลขาของนิ่งซวน ขนาดนิ่งซวนเองเขาเองก็สื่อสารมีเส้นสายกับคนอื่นไม่น้อย เลยไม่ได้รู้สึกกลัวอะไรอูหยาง

“ฉันพูด เป็นอะไรไป?” อูหยางพูดอย่างสงบ

“หึๆ” หวางกั๋วคางยิ้มขึ้นด้วยความเย็นชา “อูหยาง ฉันถือหุ้นจากจางซื่อกรุ๊ปแล้ว ตอนนี้คุณไม่มีสิทธิ์มาอยู่ในตำแหน่งประธานแล้ว คุณออกจากจางซื่อกรุ๊ปไปได้แล้ว ทางประธานนิ่ง ฉันจะไปทักทายเขาเอง”

ตระกูลหวางกับตระกูลนิ่งมีการทำธุรกิจต่างๆ ในเมืองตุงไห่ เชื่อเถอะว่าเรื่องเล็กๆ แบบนี้ นิ่งซวนไม่มีทางไม่ไว้หน้าเขา

พูดไป หวางกั๋วคางก็โบกไม้โบกมือ ทนายของแวดวงธุรกิจที่อยู่ข้างๆ นั้น ก็ส่งเอกสารมาเป็นชุดๆ

“อูหยาง ดูเอกสารการร่วมงานกันและผู้ถือหุ้นเถอะ” หวางกั๋วคางพูดด้วยท่าทีอยากชมสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไป

“ไม่ต้องดูแล้ว!” อูหยางมีแววตาลำบากใจมากขึ้น ก่อนจะพูดด้วยเสียงต่ำลง “โอเค หวางกั๋วคาง ไปดูเถอะ!”

พูดไป อูหยางก็ลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินออกไปจากโถงทำงานด้วยสีหน้าเย็นชา อยู่ที่นี่ก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว คนกลุ่มนี้เตรียมการเอาไว้ทุกอย่างอย่างลับๆ แล้ว แถมยังซื้อหุ้นไปหมดแล้วด้วย

เมื่อไปที่อาคารเป่าติ่ง อูหยางหยิบโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะโทรไปหาประธานหลิน ลังเลอยู่สักพัก เลยเปลี่ยนเบอร์ไป โทรหานิ่งซวน

ถ้าเกิดทำตรงจุดนี้ได้ไม่ดี แถมยังต้องเชิญประธานหลินมาอีก เกรงว่าประธานนิ่งซวนจะสงสัยและโทษตัวเอง เลยขอความเห็นจากนิ่งซวนไปก่อน

“อูหยาง เป็นอะไร?” ทางปลายสายโทรศัพท์ นิ่งซวนถามขึ้นด้วยความสงสัย

“ประธาน ประธานหลินกำชับทางบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ ว่าเกิดเรื่องขึ้น แล้วฉันจัดการไม่ได้ เลยอยากจะขอความเห็นจากคุณ……” อูหยางพูดด้วยความสัตย์จริง

ในโถงห้องทำงาน

จางหงจูนกับจางหงซวนมีท่าทีภูมิอกภูมิใจ ด้วยท่าทีภูมิอกภูมิใจ พลางลุกขึ้นยืนให้หวางกั๋วคาง ก่อนจะยกน้ำชามาให้อย่างประจบประแจง พลางชื่นชมยกยอไม่หยุด

“ประธานหวาง คุณนี่เก่งจริงๆ เลยนะ แค่จัดการนิดเดียว ขนาดเลขาคนสำคัญของนิ่งซื่อกรุ๊ปเมืองตุงไห่ ยังต้องหลีกให้” จางหงซวนยกยอ พลางยิ้มแล้วพูดขึ้น

“อูหยาง หึ เพราะการมาของนิ่งซวน เลยต้องขายหน้าฉันไงล่ะ!” หวางกั๋วคางยิ้มขึ้นด้วยความเย็นชา ก่อนจะพูดอะไรที่มากความออกมา

“นั่นสิ!ชื่อเสียงของประธานหวาง พวกเราไม่มีใครไม่รู้เลยหรือไง?” จางหงจูนพูดด้วยความประจบประแจง

ต้องรู้ด้วยว่า ขนาดครอบครัวแท้ๆ ของเขา พ่อของซูนเหิง รับช่วงมาเป็นที่สามที่สี่ของตระกูลซูน ไม่ได้เก่งเท่าหวางกั๋วคาง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงซูนเหิงที่พึ่งพาไม่ได้เลย ครั้งก่อนเกือบจะต้องขายลูกตัวเองแล้ว ยังต้องออกเงินอีกห้าสิบล้าน เป็นคนที่พึ่งพาไม่ได้ ครั้งนี้ได้มาเกาะแข้งเกาะขาของหวางกั๋วคาง ก็ถือว่าพัฒนาได้มากแล้ว

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท