ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่114 การประชุมประธานเร่งด่วน

บทที่114 การประชุมประธานเร่งด่วน

บทที่114 การประชุมประธานเร่งด่วน

“อะไร?คุณจะไล่ประธานหลินไปเหรอ?” หลี่ผูเบิกตาโผลง พลางพูดด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

แม่ตาของคุณชายกล้าเกินไปแล้วหรือเปล่า?จะมาไล่คุณชายแบบนี้?

เธอเก่งมาจากไหน?ไม่รู้ว่าทุกอย่างมันเป็นของคุณชายหรือไง?

“คุณตกใจอะไรเหรอ?แค่ไล่ไอคนจนนั่นออกไปมันน่าแปลกตรงไหน?” ลู่หย่าฮุ่ยยิ้มด้วยความเยือกเย็นก่อนพูดขึ้น

“ตอนนี้ลูกสาวฉันขึ้นมาเป็นรองประธานของบริษัท หรือผู้บริหารที่รับผิดชอบเรื่องราวหนักๆ มากมาย และเป็นที่หนึ่งของเครื่องประดับต่างๆ ในตุงไห่!แค่ออกแบบเครื่องประดับไข่มุกเพียงอย่างเดียวก็แพงเป็นสิบๆ ล้านแล้ว!” ลู่หย่าฮุ่ยพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ “ว่ากันตามหลินอิ่งจนๆ นั่น จะคู่ควรกับลูกสาวฉันงั้นเหรอ?ตอนนี้เขาเป็นคนหยิบรองเท้าให้ลูกสาวฉันยังไม่เหมาะเลย!”

“นี่ คุณพูดถึงเรื่องนี้บ่อยๆ ทำไม?” จางฉีโม่เดินลงมาจากชั้นบน มีแววตาที่ดีไม่สู้ดีนัก “หลินอิ่งเป็นผู้ช่วยข้างกายฉัน ช่วยอะไรฉันมามาก การทำงานที่บริษัทของเขานั้น ก็ทำได้อย่างดี”

ลู่หย่าฮุ่ยมองจางฉีโม่ ก่อนจะพูดด้วยความรำคาญ: “อั้ยหยา ลูกสาว หลินอิ่งเอาใจผู้หญิงเก่ง ดูสิ เอาใจจนคุณช่วยพูดแทนเขาเลยงั้นเหรอ?คุณรู้ไหมว่าเขามีความสัมพันธ์กับหวางหงหลิงน่ะ?บอกว่าออกไปทำงานที่ไกลๆ ครั้งนี้ ผียังรู้เลยว่าเขาได้ไปยุ่งเกี่ยวกับใครหรือเปล่า”

จางฉีโม่ไม่รู้จะพูดอะไร เลยถอนหายใจ

“โอเค ลูกสาว เรื่องพวกนี้คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก คุณตั้งใจทำงานไป เรื่องภายในบ้านฉันจะช่วยคุณจัดการเอง” ลู่หย่าฮุ่ยพูดด้วยความจริงจัง

“หลี่ผู ถ้าเกิดว่าคุณอยากจะทำงานให้พวกเราอยู่ ก็ต้องซื่อสัตย์หน่อยนะ” ลู่หย่าฮุ่ยพูดเสียงเย็นชา โดยที่ไม่พอใจในตัวของพ่อบ้านที่หลินอิ่งเชิญมาเป็นอย่างมาก “ฉันจะบอกคุณให้นะ คำพูดของฉันถือว่าเด็ดขาดในบ้านนี้ ถ้าเกิดว่าคุณเอาแต่เรียกประธานหลินๆ ตลอดเวลา จะช้าหรือเร็วคุณก็ต้องเหมือนหลินอิ่ง คือถูกพวกเราเตะออกจากบ้านไป อายุขนาดคุณแล้ว ยังจะหางานดีๆ ทำได้จากที่ไหนอีก?”

จริงๆ ลู่หย่าฮุ่ยอยากจะเปลี่ยนหลี่ผูออกไป แต่ว่าการหาคนดูแลบ้านนั้น ได้ยินมาจากบริษัทจัดหาว่าถ้าหาคนที่ชำนาญนั้นจะต้องจ่ายเงินเดือนเป็นพันเป็นหมื่นเลยล่ะ เลยไม่อยากจะจ่ายเงินก้อนนั้นไป

ถึงอย่างไรก็เป็นคนที่หลินอิ่งเชิญมา หลินอิ่งเป็นคนจ่ายเงิน ก็ให้เป็นคนใช้ต่อไปก็ได้

หลี่ผูหยุดพูด มีสีหน้าทำอะไรไม่ได้ ก่อนจะถอนหายใจออกมา แล้วไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่าเดิม

เขาเป็นหัวหน้าคนดูแลมากว่าครึ่งชีวิตที่ตระกูลฉีของตี้จิง ไม่เคยเจอเหตุการณ์อะไรแบบนี้ และก็ไม่เคยเจอคนแบบไหนมาก่อนเลยซะที่ไหนกัน?

แต่มีเพียงอย่างเดียว ที่ไม่เคยเจอผู้หญิงที่ปากร้าย มีตาหามีแววไม่ และหน้ามืดตามัวขนาดนี้มาก่อนเลย!

ติ๊ดๆ

ในตอนนั้นเอง โทรศัพท์มือถือของจางฉีโม่ดังขึ้น เธอรับโทรศัพท์ด้วยแววตานิ่งเฉย ก่อนจะขมวดคิ้วเบาๆ

“แม่ ฉันไปที่บริษัทแล้ว บริษัทเปิดประชุมจัดหาคนดูแลอย่างเร่งด่วน” จางฉีโม่พูดด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนจะบอกลา แล้วเดินออกจากบ้านพักไป

“ได้เลย ลูกสาวสู้ๆ นะ” ลู่หย่าฮุ่ยพูดด้วยความยินดี

จากนั้น เธอก็เชิดใส่หลี่ผู ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร

“นี่เป็นบ้านของน้องชายสามหรือเปล่า?ใช่ ใช่ นี่ป้าเอง เสี่ยวเฉียน ให้พ่อคุณโทรกลับมาหาฉันหน่อยนะ เดี๋ยวสักพักมาที่เมืองชิงหยูน ย้ายมาอยู่บ้านฉัน” ลู่หย่าฮุ่ยโทรอย่างมั่นอกมั่นใจ

โทรไปถึงเจ็ดแปดครั้ง ทั้งญาติโกโหติกา ทุกๆ ครอบครัวที่รู้จัก ทุกๆ สายต่างพูดโอ้อวดและเชิญเข้ามาอยู่ในวิลล่าหิมะมังกร แล้วก็ชวนทุกคนมาเที่ยวที่เมืองชิงหยูนด้วย

หลังจากโทรเสร็จ ลู่หย่าฮุ่ยก็ยิ้มเยาะ แต่งเข้าตระกูลจางมาตั้งหลายปี ในที่สุดก็ได้อวดต่อหน้าคนในบ้านแล้ว!ลูกสาวนี่มันดีจริงๆ เลย

เมื่อคิดๆ ไป ลู่หย่าฮุ่ยก็ติดต่อบริษัทอสังหาริมทรัพย์อย่างไม่หยุด เพื่อเริ่มคิดราคาห้องที่จะปล่อยเช่า อยากจะใช้บ้านให้เป็นประโยชน์ที่สุด เลยคิดจะปล่อยเช่า

หลี่ผูมองฉากที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้าไร้ทางเลือก ก่อนจะถอนหายใจ นี่มันเห็นกงจักรเป็นดอกบัวจริงๆ มีของแพงๆ มากมายตั้งตระหง่านอยู่ในบ้าน ไม่รู้จักเห็นค่า!แต่กลับหน้ามืดตามัว ทำอะไรโง่ๆ ตลอด

ตอนแรกเขาอยากจะโทรไปบอกคุณชาย แต่เมื่อคิดๆ ดูแล้วก็ปล่อยมันไปดีกว่า ไม่อยากให้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนั้นไปรบกวนคุณชาย

เมื่อคุณชายกลับมา แล้วเห็นความเละเทะแบบนี้จะเป็นอย่างไรกันนะ!

หลังจากนั้นยี่สิบนาที อาคารเป่าติ่ง

เปิดประตูรถด้วยท่าทีเคารพ จางฉีโม่หยิบกระเป๋าเอกสาร ใส่ชุดสูท เมื่อผ่านการฝึกจากบริษัท ก็มีท่าทีจริงจังของความเป็นประธานหญิง

เพียงไม่นาน จางฉีโม่ก็มาถึงที่ทำงานของประธาน ก่อนจะเดินมาที่ที่นั่งที่มีชื่อของตัวเองแขวนอยู่ พลางนั่งลงอย่างเรียบร้อย

เมื่อนั่งลงร่วมงานประชุม ในใจของจางฉีโม่ก็สงสัย เพราะไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมจู่ๆ ถึงได้มีการประชุมขึ้นอย่างเร่งด่วน

พึ่บ!

ประตูของโถงทำงานนั้นมีทนายของทีมธุรกิจเดินเข้ามากลุ่มหนึ่ง จางหงจูนกับจางหงซวนยิ้มเหมือนกับผู้ชนะ ก่อนจะนั่นลงบนที่นั่งของกรรมการผู้จัดการอย่างยืดอกมั่นใจ ด้านหลังมีเอกสารการจัดการมากมายและกลุ่มนักธุรกิจที่อยู่ในสัญญา

“ประธานกรรมการจางทั้งสอง พวกคุณเปิดประชุมอย่างเร่งด่วนขนาดนี้ มีเรื่องอะไรกันแน่?” อูหยางนั่งลงบนที่นั่งของประธานกรรมการ พลางพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ถ้าเกิดไม่อธิบายให้ฉันอย่างมีเหตุผล พวกคุณสองคนตกที่นั่งลำบากแน่นอน”

ประธานกรรมการหุ้นส่วนคนสำคัญหลายๆ คนที่นั่งอยู่ มีสีหน้าไม่พอใจ

“ประธานกรรมการอูพูดถูก ทุกคนเองก็ยุ่งอยู่ไม่ใช่เหรอ?” มีประธานคนหนึ่งพูดอย่างทนไม่ไหว และพูดด้วยความไม่เกรงใจ “คุณน่าน่าแปลกใจจังเลยนะ เปิดประชุมอยู่นั่นแหละ เปิดอะไรนักหนา?เรื่องของบริษัทในตอนนี้ พวกคุณมีส่วนร่วมด้วยหรือเปล่า?”

จางหงจูนหัวเราะขึ้นด้วยความเย็นชา ก่อนจะยิ้มแล้วพูดขึ้น: “ต้องขอรบกวนเวลาของประธานกรรมการทุกคนด้วย วันนี้ที่เปิดประชุมอย่างเร่งด่วน เพราะฉันอยากจะประกาศเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างมาก!”

“อูหยาง ประธานกรรมการอู ฉันคิดว่า คุณสามารถลงจากตำแหน่งประธานกรรมการได้แล้วนะ!” จางหงจูนพูดพลางยิ้มเบาๆ ด้วยความพึงพอใจ

อูหยางขมวดคิ้วเบาๆ ก่อนจะมองจางหงจูน แล้วพูดว่า: “คุณกำลังพูดอะไรน่ะ?”

“เหอะๆ ประธานกรรมการอู ฉันว่า ให้ประธานกรรมการหุ้นส่วนใหม่เขาพูดดีกว่า” จางหงซวนทำท่าทีมั่นใจ พลางยิ้มขึ้นอย่างลึกลับ

ได้รับความไม่พอใจมาจากอูหยางแล้ว!เก็บกดวางแผนมาก็ตั้งนาน ในที่สุดก็ทำร้ายอูหยางได้แล้ว!หลังจากนี้ก็จะไม่ถูกอูหยางมาทำอะไรจากตำแหน่งนี้ได้แล้ว!

“ประธานกรรมการอู สวัสดี ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”

น้ำเสียงที่เย่อหยิ่งดังขึ้น

หวางจื่อเหวินใส่เสื้อคลุมหนัง ก่อนจะเดินเข้ามาที่โถงทำงานด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง

“หวางจื่อเหวิน?” อูหยางขมวดคิ้วเบาๆ พลางหัวเราะขึ้นด้วยความเย็นชา “คุณยังมีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนไม่พออีกเหรอ?”

“คุณ!” หวางจื่อเหวินมีสีหน้าแดงขึ้น คิดไม่ถึงเลยว่าแค่เจอก็จะมีปัญหาเล็กๆ ขึ้นมาแล้ว อูหยางเข้ามาพูดจาแดกดันใส่ที่ครั้งก่อนเขาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าประตูชุมชนสุ่ยหยวน และเรื่องที่เกิดการโต้วาทีขึ้นในเมืองชิงหยูน

“ประธานกรรมการอู วันนี้ฉันมาคุยเรื่องจริงจังกับคุณ คุยเรื่องธุรกิจกันน่ะ!” หวางจื่อเหวินยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา ก่อนจะนั่งลงด้วยความยืนหยัดมั่นใจ

ถึงแม้ว่าวันนี้จะเชิญอูหยางออกจากการเป็นประธานกรรมการ แต่เมื่อพูดออกไป เขากลับไม่กล้าทำอะไรกับอูหยางมาก

“จางหงจูน นี่เป็นผู้ช่วยที่คุณเชิญมาเหรอ?” อูหยางถามขึ้น

“ขอโทษนะ มาสายเกินไปแล้ว”

ในตอนนั้นเอง มีชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่งเดินเข้ามา

อูหยางขมวดคิ้วเบาๆ ก่อนจะมองทั้งสองคน

เขาจำได้ และแยกออกว่าเป็นโจวเสี่ยฉินของตระกูลโจ ซูนเจี่ยนคุณชายคนที่เจ็ดของตระกูลซูน

ในตอนนี้เอง คนทั้งสามตระกูลของเมืองชิงหยูน ปรากฏตัวพร้อมๆ กันงั้นเหรอ?

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท