ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่112 เตรียมปืนบาร์เร็ตต์

บทที่112 เตรียมปืนบาร์เร็ตต์

บทที่112 เตรียมปืนบาร์เร็ตต์

หลินอิ่งกับหยูจื๋อเฉิงขึ้นมาที่ห้องรับแขกชั้นยี่สิบแปด

หลินอิ่งนั่งลงอย่างสง่างาม หยูจื๋อเฉิงไปปิดประตู ก่อนจะต้มชา จากนั้นก็ลุกขึ้นไปยืนตรงหน้าโต๊ะทำงาน เหมือนกับกำลังรอคำสั่ง

“ดูสถานการณ์แล้ว ปลายปีมานี้คุณใช้ชีวิตที่ตี้จิงได้ไม่เลวเลยหนิ” หลินอิ่งพูดอย่างสงบ ก่อนจะจิบชา

“ฉันสามารถมาอยู่ในจุดนี้ได้ ก็เพราะตอนนั้นที่หมัดมวยของท่านอิ่งทั้งนั้นเลย!” หยูจื๋อเฉิงพูดอย่างเคารพ “ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะว่าท่านอิ่งช่วยชีวิตเอาไว้ การช่วยเหลือสั่งสอน และประสบการณ์!คงจะไม่มีหยูจื๋อเฉิงในวันนี้ คงจะมีเพียงหลุมศพของหยูเสี่ยวเอ้อแล้วล่ะ!”

หยูจื๋อเฉิงมีท่าทีจริงใจ พลางคำนับ

เขาไม่กล้าสบสายตาเยือกเย็นของหลินอิ่ง เพราะว่าเมื่อได้เห็นแววตาคู่นั้น ก็จะนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสิบกว่าปีก่อน ชีวิตนี้คงลืมไม่ลงแล้ว!

สิบกว่าปีก่อน ไม่มีหยูจื๋อเฉิง มีเพียงเด็กน้อยใสซื่อที่ชื่อหยูเสี่ยวเอ้อ

จื๋อเฉิงสองคำนี้ หลินอิ่งเป็นคนตั้งให้ เตือนเขา ว่าให้ใช้ประโยชน์จากชื่อจื๋อเฉิง!

ในตอนนั้น หยูเสี่ยวเอ้อเป็นเพียงนักเลงตัวเล็กๆ ในเขตจงเทียนตามข้างถนน วันนั้นไปตีกับนักเลงของถนนอีกเส้นหนึ่งกับลูกพี่ของตัวเอง แต่แพ้ไม่เป็นท่า เขาหนีออกมาคนเดียว ถูกนักเลวถือมีดตามมาเยอะแยะ และขับรถตามมาฆ่าด้วย!

เพียงแต่ว่า หยูเสี่ยวเอ้อเป็นคนที่ไม่ติดร้าย เพราะว่าเขายังมีความเป็นคนดีอยู่ เลยมีโอกาสได้เปลี่ยนแปลงตัวเองจากหน้ามือเป็นหลังมือ!และอยู่บนจุดสูงสุดของชีวิต!

ตอนที่หยูเสี่ยวเอ้อถูกล้อมอยู่ตรงมุมถนน แล้วไม่มีทางหนี ก็เห็นเด็กคนหนึ่งยืนอยู่ เลยรีบบอกให้เด็กน้อยคนนั้นหลบไปในห้อง แถมยังอุ้มเด็กคนนั้นไปแอบในห้องด้วย

ในตอนนั้นเอง หยูเสี่ยวเอ้อรู้ว่าอีกไม่นานก็จะตายแล้ว กลัวว่าเด็กผู้ชายคนนั้นจะต้องมาตายเพราะตัวเองด้วย ชีวิตนี้ ยอมพาเด็กไปหลบดีกว่า แล้วให้ตัวเองเผชิญกับความตายคนเดียว

แต่คิดไม่ถึงเลย ว่าเด็กคนนั้นจะตีเขาจนกองอยู่กับพื้น จากนั้นก็เดินออกไปที่ถนน และต่อยตีพวกมือปืนกับพวกที่มีมีดสิบกว่าคนนั้นอย่างโหดเหี้ยมด้วยตัวคนเดียว

เงาด้านหลังของเด็กน้อยคนนั้น มันทำให้หยูเสี่ยวเอ้อตกใจกลัวไปชั่วชีวิต

เพยงสิบนาที เลือดก็ไหลนองเต็มพื้น!มือปืนกว่าสิบคนและคนที่มีมีดอีกกว่ายี่สิบคนนั้น กลับต้องมาพิการบาดเจ็บภายใต้เด็กหนุ่มคนนี้!

เมื่อเด็กหนุ่มหันกลับมา ก็บอกหยูเสี่ยวเอ้อ ว่าให้สองคำนี้กับคุณ จื๋อเฉิง ชีวิตที่ราบรื่นและดีงาม แถมยังสอนวิชามวยชื่อหมัดฆ่าล้างให้อีกด้วย ใช้ฉายานี้ ตัวอักษรอิ่งตัวเดียว!

จากนั้น เด็กน้อยคนนั้นเดินออกไปอย่างตัวลอย หยูเสี่ยวเอ้อคุกเข่าไหว้อยู่เป็นชั่วโมงก็ไม่สนใจ จำได้เพียงแววตาคมลึกน่าเกรงขามและเย็นชาของเด็กหนุ่มคนนั้น!

ประสบการณ์นั้น เกรงว่าถ้าเอาไปพูดที่ไหนก็จะไม่มีคนเชื่อ ตอนนั้น ท่านอิ่ง อย่างมากก็น่าจะอายุได้แค่สิบขวบเอง!

หลังจากเปลี่ยนแปลงชีวิตของหยูจื๋อเฉิงแล้ว เขาก็กลับไปฝึกหมัดฆ่าล้างอย่างหนัก จนฝึกสำเร็จละทำได้อย่างดี สิบกว่ากระบวนท่านั้น ถึงจะใช้ปืนสู้ ก็เอาชนะปืนได้ง่ายๆ เลย!ด้วยฐานะและสมองที่ไม่เลวเลยของเขา หยูจื๋อเฉิงเลยได้ขึ้นเป็นเบอร์ต้นๆ อย่างรวดเร็ว หลายปีที่ผ่านมา ก็ได้เป็นคนที่เจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในเขตจงเทียน แถมได้ขึ้นนั่งเก้าอี้เบอร์หนึ่ง ที่บ้านร่ำรวยเงินทอง!

แต่ว่า หยูจื๋อเฉิงไม่กล้าที่จะลืมท่านอิ่ง เขารู้อยู่แก่ใจ ว่าทุกอย่างนั้น ว่าชีวิตของตัวเองนั้น ท่านอิ่งเป็นคนให้!ปีที่ผ่านมานี้ เขาเองก็แอบหาท่านอิ่งอยู่ที่ตี้จิ่ง แต่ก็หาไม่เจอเลย

หยูจื๋อเฉิงรอให้ท่านอิ่งกลับมาโดยตลอด แล้วจะเอาธุรกิจที่ตัวเองทำทั้งหมดให้ท่านอิ่ง!ตั้งใจฟังคำสั่ง แล้วก็ตอบแทนสิ่งที่เขาเคยทำให้เมื่อตอนนั้น

คิดไม่ถึงเลย ว่าผ่านมาสิบกว่าปี ท่านอิ่งก็มาปรากฏตัวที่ตี้จิง!

“หยูจื๋อเฉิง ตอนนั้นฉันไม่ได้ตั้งใจอะไรมาก ที่คุณมีวันนี้ได้ ก็เพราะตัวคุณเองทั้งนั้น รู้จักวางอะนาจให้เป็น แล้วก็คว้าโอกาสเอาไว้” หลินอิ่งพูดอย่างสงบ

“ท่านอิ่งก็ชมเกินไป ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะว่าท่านอิ่งให้ชื่อนั้นกับฉันในวันนั้น มันทำให้ฉันรู้สึกตื่นตกใจ และรู้ถึงตัวตนของฉันได้ทันทีเลยล่ะ!” หยูจื๋อเฉิงพูดด้วยความเห็นใจ “แล้วก็เป็นเพราะวันนั้น ท่านอิ่งสอนหมัดฆ่าล้าง สิ่งแรกที่พูดขึ้นมานั้น มันทำให้ตราตรึงอยู่ในใจฉัน เข้าใจโลกใบนี้ ว่ามีเพียงกำลังในมือเราเท่านั้น ที่จะอยู่กับเราตลอดไป!”

“ดังนั้น หลายปีมานี้ ฉันเลยไม่กล้าลืมการฝึกซ้อมของหมัดฆ่าล้าง ไม่ว่าจะยุ่งขนาดไหน ก็ต้องหาเวลามาซ้อมให้ได้!”

หยูจื๋อเฉิงเปนเด็กกำพร้า ไม่เคยเรียนหนังสือ มายืนอยู่ตรงนี้ในวันนี้ได้ ก็เพราะหมัดที่หลินอิ่งสอนมาทั้งนั้น!

หมัดฆ่าล้างอันนี้ สิ่งที่ได้ฝึกไม่ใช่แค่หมัด แต่ยังได้ฝึกความหยั่งรู้ ความกล้าหาญเกินใคร และท่าทีการกระทำที่ทรงพลังอีกด้วย มันเลยทำให้เขาดูไม่เหมือนใคร มีกำลังอำนาจเหนือใคร จัดการเรื่องต่างๆ ได้ดี นอกจากนี้ยังมีคนนับหน้าถือต่อ ทำอะไรได้อย่างราบรื่น และประสบความสำเร็จอย่างมาก!

“ดีมาก คุณเข้าใจเหตุผลของมันได้ ก็ไม่แปลกเลยที่คุณจะสามารถหลุดพ้นออกมาได้อย่างชาญฉลาด” หลินอิ่งพยักหน้าเบาๆ และชื่นชมหยูจื๋อเฉิงเป็นอย่างมาก

“ท่านอิ่ง เจ๋อเฉิงกรุ๊ปของฉันในวันนี้ เป็นบริษัทร่ำรวยหมื่นล้านแล้ว ขอให้ท่านอิ่งยิ้มแย้มดีใจด้วยเถอะ!” หยูจื๋อเฉิงพูดด้วยความเคารพ “แล้วก็ขอให้ท่านอิ่งอยู่ที่ตี้จิง ให้โอกาสฉันได้ตอบแทนบุญคุณหน่อย!ฉันจะรีบทำการโอนให้ ภายในสิบสิงชั่วโมงเลย เพื่อให้ท่านอิ่ง!”

“ไม่ต้องหรอก” หลินอิ่งพูดอย่างสงบ “ฉันมาที่ตี้จิงในครั้งนี้ ก็เพื่อทำธุระ เมื่อเสร็จก็จะกลับแล้ว”

“ท่านอิ่งจะไปเหรอ?” หยูจื๋อเฉิงมีสีหน้าตกใจ พลางมองหลินอิ่งด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

เมื่อเห็นท่าทีเย็นสบายของหลินอิ่ง หยูจื๋อเฉิงก็รู้สึกสั่นไหวขึ้นมาในจิตใจ!

บริษัทของตัวเองนั้นมูลค่าเป็นหมื่นล้าน แถมยังจะเอาบริษัทหมื่นล้านโอนให้หลินอิ่งด้วยนะ!แต่หลินอิ่งกลับไม่มีอารมณ์ไหวติงอะไรเลยงั้นเหรอ?

นี่มันเวิร์เกินไปแล้ว ถึงจะเป็นคนที่ร่ำรวยมหาเศรษฐีขนาดไหน จู่ๆ จะได้เงินหลานร้อยล้าน ก็คงจะดีใจเป็นอย่างมาก!

หยูจื๋อเฉิงตกใจไปหมด พลางมองหลินอิ่ง ก่อนจะยิ้มด้วยความขมขื่น พลางปลง

ก็จริง ว่าความสามารถของเขานั้นท่านอิ่งเป็นคนสอน ได้เรียนรู้จากท่านอิ่งมาแค่เศษเสี้ยว ถึงมีวันที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ได้

บางทีถ้าไปพูดถึงเงินหมื่นล้านกับคนอื่นเขาอาจจะตกใจ แต่ท่านอิ่ง จะไปชายตามองเงินเพียงเล็กน้อยของตัวเองได้อย่างไรกัน?

“นี่เป็นหมัดฆ่าล้างครึ่งหลัง จากนี้คุณตั้งใจเรียนรู้นะ” หลินอิ่งพูดอย่างสงบ ก่อนจะเอาหนังสือที่คัดลอกเล่มเหลืองโยนมาให้

หมัดฆ่าล้าง เป็นเพียงหนึ่งในหมัดทั้งสำนักอู่เหมินสิบสิงของแก๊งมังกร เป็นหมัดการฆ่าที่โบราณและเบื้องต้นที่สุด ตอนแรกตัวเองก็สอนหยูจื๋อเฉิงโดยไม่ได้คิดอะไร เพราะถึงอย่างไรหยูจื๋อเฉิงอายุเกินยี่สิบแล้ว เรียนรู้อะไรลึกซึ้งได้ไม่มากแล้ว หมัดนี้มันใช้ได้ง่ายและใช้ได้จริง ด้วยท่าทีพลิ้วไหวพร่ำสอนได้ง่าย

“โอเค!ขอบคุณที่ท่านอิ่งให้หนังสือนะ!” หยูจื๋อเฉิงโค้งคำนับเก้าสิบองศา แล้วก็รับหมัดฆ่าล้างฉบับนี้มา ด้วยแววตาสั่นครืน เหมือนกับได้รับสมบัติล้ำค่ามา!

หมัดฆ่าล้างครึ่งหลัง เหมือนกับมันน่าตื่นเต้นกว่าตอนที่เขาได้อยู่อันดับหนึ่งของเขตจงเทียนเสียอีก!

หยูจื๋อเฉิงรู้อยู่แก่ใจดี ว่าตอนที่ในมือนั้นมีพลังที่เหนือใคร ทั้งท่าทีความคิดความอ่านและเป้าหมายก็จะมากกว่าคนทั่วไปเป็นธรรมดา มันเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกผัน เพราะจะเห็นทุกอย่างบนโลกใบนี้เป็นเพียงสิ่งของนอกกาย

“ท่านอิ่ง ที่มาที่ตี้จิงในครั้งนี้ ก็เพราะมีอะไรจะกำชับและจัดการ!” หยูจื๋อเฉิงถามขึ้น

“ภายในสามวันต้องดูสถานการณ์ของตระกูลเหวินในตี้จิงให้ได้ หาการเดินทางไปไหนมาไหนของเหวินเทียนเฟิ่งให้ชัดเจน” หลินอิ่งพูดเสียงเย็นชา “พยายามอย่างเต็มความสามารถก็พอแล้ว อย่าทำให้คนในตระกูลเหวินตกใจนะ”

“สืบตระกูลเหวินเหรอ?” หยูจื๋อเฉิงมีแววตาซึ้งใจ ก่อนจะพูดเสียงเบา “ท่านอิ่ง ต้องใช้กำลังจากเงื้อมมือของฉันงั้นเหรอ?”

“ไม่ต้อง” หลินอิ่งพูดเบาๆ “ให้ฉันเตรียมบาร์เร็ตต์เอาไว้ก่อน”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท