ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่117 ตัดขาดความเป็นพ่อลูกของพวกเขา

บทที่117 ตัดขาดความเป็นพ่อลูกของพวกเขา

บทที่117 ตัดขาดความเป็นพ่อลูกของพวกเขา

“อ๋อ?ยังจะโทรหาใครอีกงั้นเหรอ?คุณเรียกใครมาช่วยก็ไม่มีประโยชน์หรอก!วันนี้ลูกชายฉันจะทำอยู่ตรงริมถนนนี่แหละ!” หวางกั๋วคางพูดเสียงเย็นชา ด้วยความไม่สนใจอะไรเลย

“คุณนายหลิน?ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน?บอกฉันมา!” เสิ่นซานได้ยินเสียงแทรกขึ้น ก่อนจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ฉัน ฉันอยู่ที่หน้าประตูของอาคารเป่าติ่ง” จางฉีโม่พูดด้วยความตกอกตกใจ ถูกท่าทีของพ่อหวางกั๋วคางทำให้ตกใจ

พ่อลูกคู่นี้นี่มันเกินเยียวยาจริงๆ น่าเศร้าใจเหลือเกิน!

ปัง!

หวางจื่อเหวินอยากจะปรี่เข้าไปลากจางฉีโม่สักที จางฉีโม่ตกใจจนซ่อนตัว และโทรศัพท์ตกพื้น จนหน้าจอแตกออก

“ยังจะซ่อนตัวอีกเหรอ?วันนี้คุณซ่อนตัวไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ฉันมีอะไรกับคุณก่อนค่อยพูดกัน!” หวางจื่อเหวินพูดอย่างร้ายกาจ ก่อนจะถอดชุดสูทออก แล้วดึงเนกไทออก จากนั้นก็มีท่าทีทนไม่ไหว “พวกคุณยังจะอึ้งอะไรอยู่อีก?จับผู้หญิงเอาไว้!รอให้ฉันทำก่อน แล้วค่อยให้พวกคุณมาสนุกด้วยกัน”

หวางจื่อเหวินออกคำสั่ง เพียงไม่นาน บอดี้การ์ดหลายๆ คนก็เข้าไปจับจางฉีโม่

ปัก!

ในตอนนั้นเอง มีชายกำยำสามคนเดินลงมาจากรถสีดำด้วยความรวดเร็ว พลางรีบเดินเข้าไปในกลุ่มคน ก็แหวกกลุ่มบอดี้การ์ดใส่สูท แล้วมาขวางจางฉีโม่อยู่ตรงหน้า

“ให้ตายเถอะ คุณมาจากไหน อยากจะมาขัดขวางเรื่องดีๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นเหรอ?” หวางจื่อเหวินด่า และระบายออกมา แต่ความโกรธแค้นในใจมันยังไม่ได้ปล่อยออกมา

“ไองั่งนี่มาจากไหนกัน อยากมาทำตัวเป็นฮีโร่เหรอ?” หวางกั๋วคางพูดด้วยความไม่แยแส ในเมืองชิงหยูน กล้ามาปะทะกับเขานั้นมีเพียง ก็นับมือได้เลย วันนี้มาช่วยลูกชายออกหน้าแทน ใครจะกล้ามาไม่ไว้หน้าเขาล่ะ?

“พวกเราเป็นคนของท่านเสิ่นซาน!เพื่อป้องคุณจางโดยเฉพาะ” ชายชุดดำพูดเสียงเย็นชา โดยไม่เกรงกลัวอะไรเลย

บอดี้การ์ดพวกนั้นเป็นคนที่เสิ่นซานจัดหามา เขาได้รับการสั่งการให้ปกป้องจางฉีโม่ ตอนที่พวกเขาทำลายเซควนที่เขตตะวันออกนั้น ก็ได้เห็นความเก่งกาจของท่านหลิน ผู้หญิงของท่านหลินนั้น พ่ออย่างหวางกั๋วคางกล้ามาหยอกด้วยเหรอ?อยากตายหรือไงกัน?

“ท่านเสิ่นซานเหรอ?” หวางกั๋วคางมีสีหน้าแววตาเปลี่ยนไป ก่อนจะเกรงกลัวมากขึ้น

เขาเองก็รู้ว่าคนอย่างท่านเสิ่นซานนั้น ช่วงนี้โดดเด่นเหมือนกับพระอาทิตย์ในเมืองชิงหยูนเลย แถมยังเป็นหัวหน้าแก๊งใต้ดินในเมืองชิงหยูนอีกด้วย

ถ้าเกิดก่อนหน้านี้ที่เมืองหนานเฉิงสามารถสู้กับเสิ่นซานได้ หวางกั๋วคางคงจะไม่แยแส แถมกำลังอำนาจก็จะมากกว่าเสิ่นซานด้วย แต่วันนี้มันไม่ใช่ ท่านเสิ่นซานสามารถกดให้ตระกูลโจโงหัวไม่ขึ้นอีกเลยก็ยังได้ เขาเองก็ไม่กล้าจะสู้ด้วย

“เป็นคนของท่านเสิ่นซานอีกแล้วเหรอ?” หวางจื่อเหวินอึ้งไป จากนั้นจึงมีสีหน้าเกลียดชังออกมา!

ครั้งที่แล้วก็ถูกลูกน้องของท่านเสิ่นซานอย่างหลิวจุนมาทำร้ายจนต้องคุกเข่าลงตรงประตู เป็นเรื่องที่หวางหงหลิงช่วยหลินอิ่งในการทำเรื่องต่างๆ นี่เอง!

ครั้งนี้ สามคนนี้มาบอกอีกว่าเป็นคนของท่านเสิ่นซาน?ให้ตายเถอะ คนของท่านเสิ่นซานมีประโยชน์ขนาดนั้นเลยเหรอ?หลินอิ่งมีสิทธิ์อะไรถึงได้มาสั่งและโยกย้ายคนของท่านเสิ่นซานเพื่อมาช่วยภรรยาของตัวเอาได้นะ?

นี่มันต้องโม้แน่นอน แถมยังพูดเป็นต่อยหอยอีกด้วย!

หวางหงหลิงพยายามจะหลอกล่อหลินอิ่ง ถึงได้ถูกคุณท่านโกรธมากขนาดนี้ ตอนนี้ยังมาปิดตัวอยู่ในบ้านพักตากอากาศตระกูลหวางอีก!

“พ่อ ครั้งก่อนฉันบอกเรื่องในเขตเหนือของเมืองกับคุณน่ะ ลูกน้องของท่านเสิ่นซานอย่างหลิวจุนก็เป็นคนออกหน้า” หวางจื่อเหวินพูดด้วยความไม่ชอบหน้า “ฉันว่าครั้งนี้ ก็น่าจะพล่ามไปเรื่อยอีกเหมือนกัน เอาชื่อเสียงของท่านเสิ่นซานมาขู่ ไม่ต้องไว้หน้าของพวกเขา!”

เขาทนไม่ได้ที่จะมีสัมพันธ์สวาทกับจางฉีโม่อีกแล้ว เขาโกรธเป็นอย่างมาก

หวางกั๋วคางมีแววตาเย็นชา ครั้งก่อนลูกชายถูกหัวเราะเยาะหน้าชุมชนสุ่ยหยวน มันทำให้เขาขายหน้าในเมืองชิงหยูน เลยอดกลั้นไม่กล้าไปแก้แค้นท่านเสิ่นซานอีก

ในครั้งนี้ คนพวกนี้บอกว่าเป็นคนของท่านเสิ่นซานงั้นเหรอ?

“หึ!ไม่ต้องมาทำเก่งต่อหน้าฉัน คุณเป็นคนของท่านเสิ่นซานใช่ไหม?” หวางกั๋วคางพูดเสียงเย็นชา “ท่านเสิ่นซานแล้วจะทำไมเหรอ?คุณรู้หรือไม่ ว่าก่อนหน้านี้ท่านเสิ่นซานที่เมืองหนานเฉิง เจอฉันต้องเคารพฉันขนาดไหน?”

“หึ!” ชายชุดดำที่อยู่คนแรกนั้นยิ้มขึ้นด้วยความเย็นชา “พวกเราโทรไปบอกท่านสามแล้ว ท่านสามบอกว่าจะมาถึงภายในห้านาทีนี้ จะให้ดีพวกคุณอย่ามาอวดให้มากเลย”

“มาถึงภายในห้านาทีเหรอ?คุณคิดว่าพวกคุณเป็นใครกัน?เก่งกาจขนาดนั้นเลยเหรอ?” หวางจื่อเหวินยิ้มขึ้นด้วยความเย็นชาอย่างไม่แยแส เขาไม่เชื่อเลย จางฉีโม่คนเล็กๆ นั้น จะมาเรียกท่านเสิ่นซานไปเรื่อยเปื่อยได้อย่างไร

“ตีพวกสามคนนี้ที่ไม่รู้จักเป็นตายให้มันตายไปเลย!” หวางกั๋วคางสะบัดมือออก เพื่อเป็นการสั่ง

ตบตีอย่างรวดเร็วเหมือนกับสายฟ้า บอดี้การ์ดสิบกว่าคนปรี่เข้ามาเพื่อเตะต่อย กับชายชุดดำทั้งสามคน

เมื่อเตะต่อยไปได้สองนาที ทั้งสองฝ่ายต่างได้รับบาดเจ็บ บอดี้การ์ดใส่สูทสี่ห้าคนต่างร้องด้วยความเจ็บปวด ดูไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เก่งกาจพวกนี้

เตะต่อยกันอยู่นาน!

สู้ไม่ได้ บอดี้การ์ดใส่สูทแต่ละคนรีบหยิบหนังสือพิมพ์สีดำขึ้นมา พลางทำเป็นรูปทรงกระบอก และเล็งไปที่ชายชุดดำทั้งสาม

“เตะต่อยต่อสิ?ทำต่อไปสิ!” หวางจื่อเหวินรีบเข้ามาตบหน้าของชายชุดดำ

เพี๊ยะ!

ชายชุดดำหน้าแดงไปด้วยความโกรธ และกำหมัดแน่น

จางฉีโม่ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และไม่รู้แน่ชัดว่านี่มันคืออะไรกัน

“รีบแก้ไขเร็ว และทำเธอซะ เสร็จกิจแล้วค่อยเอากลับไปที่บ้านพักตากอากาศ” หวางกั๋วคางยิ้มด้วยความเยือกเย็นก่อนพูดขึ้น พลางมองจางฉีโม่ ด้วยความเกลียดชังในแววตา และในใจเองก็มีความเกลียดชังไม่แพ้กัน

หวางจื่อเหวินรู้สึกทระนง ก่อนจะถอดนาฬิกาออก และยื่นมือออกมาปลดเข็มขัด บอดี้การ์ดใส่สูทกลุ่มนั้นก็ล้อมเข้ามาเหมือนกับกำแพง เพื่อบังสายตา เห็นได้ชัดเลยว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พ่อลูกหวางจื่อเหวินทำเรื่องเลวร้ายนี้เป็นครั้งแรก

ติ๊ดๆ !

มือถือของชายชุดดำดังขึ้น เขาหยิบโทรศัพท์มาคุยไม่กี่ประโยค ก่อนจะมองพ่อหวางกั๋วคางด้วยสายตาเย็นชา แล้วพูดว่า: “โทรศัพท์ของท่านสาม อยากให้พวกคุณรับ!”

หวางกั๋วคางขมวดคิ้วเบาๆ แล้วทำสัญญาณให้หวางจื่อเหวินหยุดก่อน จากนั้นจึงรับโทรศัพท์

“คุณคือหวางกั๋วคางเหรอ?” ปลายสาย มีเสียงเย็นชาดังขึ้นมา

“คุณคือใคร?” หวางกั๋วคางถามขึ้นด้วยเสียงเยือกเย็น

“ฉันคือเสิ่นซาน ฉันจะไปถึงอาคารเป่าติ่งในอีกสองนาที ถ้าเกิดว่าคุณกล้าแตะต้องจางฉีโม่แม้แต่นิดเดียว ฉันจะทำให้สองคนพ่อลูกต้องเสียใจจนตายไปเลย!” ปลายสายนั้น มีเสียงที่เย็นยะเยือกดั่งน้ำแข็ง และเต็มไปด้วยเสียงแห่งความอาฆาต

หวางกั๋วคางมีสีหน้าเปลี่ยนไป ความโกรธก็มากขึ้น มีคนกล้ามาข่มขู่ตัวเองแบบนี้อีกเหรอ?

“โอเค!ฉันจะให้เวลาคุณสองนาที ฉันจะดูว่าคุณจะทำอะไรได้?แถมยังมีเสิ่นซาน?เสิ่นซานจะไม่รู้เรื่องอะไรแบบนั้นเชียวเหรอ?” หวางกั๋วคางยิ้มด้วยความเยือกเย็นก่อนพูดขึ้น ในใจนั้นแดกดันสุดๆ ไม่รู้จริงๆ ว่ามันเป็นความอัปยศจากไหน ถึงได้กล้ามาเว่อร์ที่นี่ ตัวเองอยู่ที่เมืองชิงหยูนมาหลายปี จะมาตกใจกลัวกับอะไรแบบนี้เหรอ?

ติ๊ด!หวางกั๋วคางวางโทรศัพท์ ก่อนจะมองจางฉีโม่กับชายชุดดำหลายคนด้วยแววตาเย็นชา

“รอสามนาที ถ้าเกิดสามนาทีแล้วเสิ่นซานยังไม่มา!” หวางกั๋วคางพูดด้วยความดุดัน “ฉันจะฆ่าพวกคุณทั้งสามอย่างโหดเหี้ยม!แล้ววนกันใช้จางฉีโม่ จากนั้นจะส่งเข้าไปในอาคารปิดทึบ เพื่อขายให้คนอีกมากมายได้ใช้ซะ!”

หวางจื่อเหวินเองก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์พลางมองจางฉีโม่ “ไม่สนใจจะมาลองกับฉันเหรอ?ตอนนี้พ่อฉันโกรธแล้ว คุณไม่ได้ถูกฉันทำคนเดียวแน่นอน!”

จางฉีโม่หน้าซีด รู้สึกเหมือนว่ากำลังเผชิญหน้ากับผีสองตนอยู่ ท่าทีและคำพูดที่บ้าเกินรับมือนั้น ทำเรื่องแบบนี้ได้ หญิงคนไหนที่อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ก็ต้องกลัวจนใจเย็นไม่ลง

ผ่านไปหนึ่งนาที ก็มีเงาของโรลส์รอยซ์คันหนึ่งพาดผ่านเข้ามา

จากนั้น มีรถอย่างน้อยสามสิบคันรีบปรี่เข้ามา ก่อนจะล้อมเอาไว้ แล้วลงมากันเต็มไปหมด จนทำให้พ่ออย่างหวางกั๋วคางตะลึง

เสิ่นซานใส่ชุดดอกไม้ พลางมีลูกประคำอยู่ในมือ งลมาจากรถอย่างเย็นยะเยือก บนหน้าผากมีเหงื่อไหล และกำลังรับโทรศัพท์

“ท่านหลิน ฉันไปที่อาคารเป่าติ่งแล้ว คุณนายหลินไม่เป็นไร!คุณบอกมาดีกว่าว่าจะให้จัดการอย่างไร?” เสิ่นซานพูดเหงื่อแตก พลางยินดีที่คุณนายหลินไม่ได้เป็นอะไร

“ตัดความเป็นพ่อลูกของพวกเขา” ปลายสายนั้น มีเสียงเย็นชาดังออกมา

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท