ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่120 คุณกล้าทำร้ายฉันเหรอ?

บทที่120 คุณกล้าทำร้ายฉันเหรอ?

บทที่120 คุณกล้าทำร้ายฉันเหรอ?

“พวกคุณเป็นใคร?” หลินอิ่งถามขึ้นด้วยใบหน้าเย็นชาไร้อารมณ์

เขาเพิ่งจะเดินเข้าไปในห้องพักของคุณปู่ โดยที่ไม่รู้เลยว่ามีคนสามคนมาจากไหน เหมือนกับว่าจะเดาฐานะของตัวเองได้อีกต่างหากงั้นเหรอ?

“เหอะ คุณสามารถเข้ามาในห้องพักของลุงจื่อหลงซานได้ นั่นก็หมายความว่า คุณคือลูกเนรคุณเมื่อสิบปีก่อนงั้นสิ?” ชายวัยกลางคนที่อนชยู่ข้างหน้ายิ้มด้วยความเยือกเย็นก่อนพูดขึ้น

“ได้ยินชัดแล้วนะ ฉันชื่อลู่เฟย” ลู่เฟยพูดด้วยอารมณ์ไม่ไยดี “ว่ากันตามลำดับญาติแล้ว คุณต้องเรียกฉันว่าน้าเขยนะรู้ไหม?”

“อีกอย่าง นี่เป็นน้าเขยคนที่สองของคุณ” ลู่เฟยแนะนำไปก่อนจะพูดขึ้นด้วยท่าทีของผู้ใหญ่ว่า “ยังไม่รีบทักทายอีก?เรียกน้าเขยสิ!”

หลินอิ่งยิ้มขึ้นด้วยความเย็นชา คุณปู่มีลูกชายเพียงแค่สามคน สามคนนี้เรียกตัวเองว่าน้าเขยของตระกูลฉี งั้นก็หมายความว่า มากกว่าครึ่งนั้นเป็นคนนอกของตระกูลฉีที่แต่งเข้ามา หรือเป็นคนที่พาเข้ามาในบ้าน คนพวกนี้พยายามจะสร้างความสัมพันธ์ที่มีอยู่

“พี่ลู่ คุณดูท่าทีโทรมๆ นั้น จำฉันเป็นน้าเขยได้ไหม?ฉันกลัวว่าจะต้องเสียหน้าน่ะ” ชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยความไม่แยแส

เมื่อเห็นชายหนุ่มแต่งตัวดูไม่ได้ ท่าทางเหมือนผีดิบ ออกไปจากตี้จิงตั้งหลายปี ไม่รู้ว่าไปลำบากที่ไหนมา ตอนนี้ดูจนๆ ยังจะมานับญาติกันอีกเหรอ?

พวกเขาหลายคนนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่ได้โดดเด่นเท่าตระกูลฉีในตี้จิง แต่ก็เป็นตระกูลรองๆ ลงมาในตี้จิง อย่างน้อยก็เป็นตระกูลที่มีราวๆ ร้อยล้านได้

ตะกี้เหมือนได้ยินฉีหยิ่นพูดว่าลูกเนรคุณ เหมือนจะมีเงินเดือนเพียงไม่กี่พันสินะ?

“ก็ พี่ลู่ คุณรู้จักลูกเนรคุณคนนี้ แต่ฉันไม่รู้จักน่ะสิ” ชายอีกคนพูดหยอกล้อ “ต้องรู้ด้วยว่า ตอนนี้ตระกูลฉีที่ตี้จิง ก็มีเพียงแค่พวกเราสามคนที่มีความสัมพันธ์กับคุณท่าน อย่าได้นับญาติกับลูกเนรคุณห่วยๆ นี่เลย!”

หลินอิ่งสีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ ส่ายหัวอยู่ในใจ เรื่องนี้มันน่าตลกจริงๆ เลย

ญาติพี่น้องที่ไม่มีมันเจอกันแล้ะเกี่ยวข้องกัน ยังมีหน้ามาคิดว่าตัวเองจะนับญาติไม่นับญาติกับใคร ต่อหน้าประตูของปู่ของตัวเองอีกเหรอ?

คนในตี้จิงที่ตระกูลฉีนั้น ไม่ว่าจะเป็นสายเลือดใดๆ นอกจากคุณท่านกับตัวเองแล้ว ก็ถูกตระกูลเหวินฆ่าตายไปหมดแล้ว

“ภรรยาของพวกคุณตายกันหมดหรือยัง?” หลินอิ่งพูดอย่างสงบ

“ภรรยาเสียกันหมดแล้ว ไม่รีบไปจัดการเรื่องราวต่างๆ แถมยังมาต่อปากต่อคำกับฉันตรงนี้อีกเหรอ?”

“คุณ!คุณพูดอะไรเนี่ย ให้ตายเถอะ คุณแช่งครอบครัวพวกเราเหรอ?เชื่อไหมว่าถ้าออกจากจื่อหลงซานไปพวกเราจะฆ่าคุณ!” ลู่เฟยทั้งสามโพล่ง โกรธขึ้นมาพร้อมกัน

“ภรรยาของพวกคุณยังไม่ตาย พวกคุณจะไปกล้าออกมาได้อย่างไร?แล้วเข้ามาในจื่อหลงซานได้อย่างไร?” หลินอิ่งถามขึ้น

เมื่อพูดออกไป ลู่เฟยทั้งสามคนก็พูดไม่ออก

พวกเขาทั้งสามเป็นเขยของตระกูลฉี ครั้งก่อนตอนที่ตระกูลเหวินฆ่าล้างตระกูลฉี พวกเขาจะให้ภรรยาเปลี่ยนชื่อหนี และส่งเงินให้ตระกูลเหวิน เพื่อหวังว่าตระกูลเหวินจะปล่อยไป

บางทีตระกูลเหวินอาจจะคิดว่าพวกผู้หญิงไร้ประโยชน์ที่แต่งออกไป ไม่มีอะไรขู่ได้ เลยรับเงินหลายร้อยล้านเอาไว้ และไม่ได้ไล่ฆ่าพวกเขา

ลู่เฟยเลยจ่ายชดเชยให้ตระกูลเหวินหลายร้อยล้าน แต่ไม่วาย ก็อยากจะเอาตระกูลฉีกลับมา

ถึงแม้ว่าตระกูลฉีจะพังไปหมดแล้ว เงินทองก็ถูกตระกูลเหวินเอาไป แต่ว่าคุณท่านของตระกูลฉียังอยู่ ถึงแม้ว่าคุณทานจะไม่มีสติแล้ว และเป็นคนแก่คนหนึ่งก็ตาม

ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เขาก็มีกำลังมากกว่าอยู่ดี คุณท่านฉีเวิ่นติ่งมีบ้านสี่มุมที่ราคาเป็นพันล้าน!แถมยังมีบ้านพักตากอากาศกับของโบราณที่เก็บเอาไว้อีก!

สมบัติพวกนี้ แค่คุณท่านฉีเวิ่นติ่งยังอยู่ ถึงตระกูลฉีจะถูกทำลายไปแล้ว ตระกูลเหวินก็ไม่กล้าฮุบไป เพราะพวกเขาได้เงินทองอำนาจไปจากตระกูลฉีพอแล้ว ไม่สนใจของพวกนี้อีกไม่คุ้มเสี่ยงด้วย เพื่อจะมาที่จื่อหลงซานเพื่อฆ่าคนก่อตั้งระดับสูง

ไม่มีคนตระกูลฉีแล้ว คุณท่านก็ไม่ฟื้นขึ้นมา สมบัติกว่าร้อยล้าน พวกเขาก็ต้องหาวิธีในการใช้มัน ถึงอย่างไรก็ใช้ชื่อของภรรยาตระกูลฉี เพื่อเอาชื่อมาไว้ในครอบครองของลูกชายแทน แล้วเป็นคนรับช่วงต่อจากคุณท่าน เมื่อคุณท่านฉีตายแล้ว ก็จะได้รับมรดกตกทอด

แต่คิดไม่ถึงเลย ว่าวันนี้มาได้ยินข่าวจากพนักงาน บอกว่ามีคนมาหาคุณท่านฉี แถมยังเรียกว่าคุณปู่ฉีเวิ่นติ่งอีกด้วย

พวกเขาทั้งสาม เลยรีบมา แล้วก็ได้พบกับหลินอิ่ง

“เหอะๆ คุณน่าจะชื่อฉีหยิ่นใช่ไหม” ลู่เฟยกระแอม ก่อนจะพูดพลางวางท่า “เรื่องของคุณท่าน คุณไม่ต้องเป็นห่วง พวกเราจะจัดการเอง ลูกเนรคุณอย่างคุณ จะไปไหนก็ไป!”

“ใช่เลย น้าเขยพูดถูก ฉันเป็นน้าเขย ก็ต้องโน้มน้าวลูกเนรคุณอย่างคุณ ให้รีบไสหัวไป” ชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งพูดขึ้น

“ดูท่าคุณน่าจะขาดเงินใช่ไหม?เอาแบบนี้ น้าเขยเห็นว่าคุณน่ะน่าสงสาร ให้เงินค่าขนมเอาไว้กินเล่นก็แล้วกัน” ลู่เฟยวางมาด ก่อนจะหยิบธนบัตรสีแดงในกระเป๋าโยนให้ มันปลิวไปอยู่ที่ขาของหลินอิ่ง น่าจะแสนกว่าๆ ได้

“ลูกเนรคุณรีบเอาเงินแสนแล้วออกไปได้แล้ว ซื้อเสื้อผ้าหน่อย อย่ามาขายขี้หน้าแถวนี้” ลู่เฟยพูดด้วยความรำคาญ

หลินอิ่งที่เป็นลูกเนรคุณมีท่าทียากจน ให้เงินแสนก็รู้สึกสงสารแล้ว ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะกังวลว่าลูกเนรคุณจะมาขัดขวางเรื่องมรดก คงไม่ให้แม้แต่แดงเดียว!

หลินอิ่งมีแววตาเย็นชาขึ้น พลางมองทั้งสามที่ไม่รู้จักกลัวตาย

“ทำไม?ไม่พอเหรอ?ลูกเนรคุณอย่างคุณ เดือนๆ หนึ่งจะหาเงินได้เท่าไหร่เชียว?” ลู่เฟยไม่พอใจ ก่อนจะโยนเงินเพิ่มให้อีก “ให้อีกสองแสน รีบเก็บแล้วไสหัวไปได้แล้ว ถ้าให้ฉันเห็นคุณมาที่ตี้จิงอีก จะฆ่าตายเลย!ได้ยินหรือยัง!”

เมื่อขู่เสร็จ ลู่เฟยก็รู้สึกไม่ดี สิบกว่าปีที่ลูกเนรคุณมานับญาติด้วย เท่ากับว่าเงินหลายแสนนั้นก็เสียเปล่าๆ น่ะสิ

ในตอนนั้นเอง หลินอิ่งท่าทางบ้านนอกยากจนนั้น ควรจะเก็บเงินที่พื้นเหมือนกับหมา แล้วเรียกพวกเขาว่าน้าเขย จากนั้นก็ออกไปอย่างทื่อๆ ทำไมถึงได้มีท่าทีโอ้อวดแบบนั้นนะ?

“ฉันให้เวลาพวกคุณสิบวิ รีบออกไป ถ้ากล้ามาที่จื่อหลงซานอีก ฉันจะบดคุณให้เละเลย” หลินอิ่งพูดเสียงเรียบเฉย

“บดฉันงั้นเหรอ?ฮ่าๆ ลูกเนรคุณ คุณดูหนังเยอะเกินไปหรือเปล่า?” ลู่เฟยกุมท้องหัวเราะ “ไม่ดูท่าทีจนๆ ของตัวเองเลย ยังอยากจะมาแบ่งมรดกอีก สงสารนะเลยให้สามแสนเนี่ย แต่ก็ยังหน้าไม่อายอีก!”

“โง่จริงๆ เลย มีเงินก็ยังไม่เอา?ลูกเนรคุณอย่างนี้จะมาขอสมบัติได้อย่างไร?คุณมีสิทธิ์เหรอ?”

“นั่นสิ ถ้ายังมาหาเรื่องอีก จะทำให้พิการเลย!รีบเก็บเงินแล้วไสหัวออกไป!พวกเราอยากจะฆ่าลูกเนรคุณอย่างนี้ให้ตายเลย!”

ชายอีกสองคนก็พูดขึ้นอย่างบ้าคลั่ง

“ทำไมเหรอ?ลูกเนรคุณแบบนี้ยังไม่ยอมเคารพกันอีก อยากมีเรื่องเหรอ?” ลู่เฟยวางมาด พลางพูดด้วยท่าทีทระนงต่อหลินอิ่ง “รู้ไหมว่าที่นี่คือที่ไหน?ที่นี่คือสถานที่เฉพาะของจื่อหลงซาน!ฉันมายืนอยู่ตรงนี้ คุณกล้าทำร้ายฉันเหรอ?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท