ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่135 ไอ้แก่ตายยากที่ต่ำช้าไร้ยางอาย

บทที่135 ไอ้แก่ตายยากที่ต่ำช้าไร้ยางอาย

บทที่135 ไอ้แก่ตายยากที่ต่ำช้าไร้ยางอาย

ปังปังปัง!

บรรยากาศเสียงดังไม่หยุด เสียงหมัดและเท้าปล่อยใส่กล้ามเนื้อ สามพี่น้องหลิวจุนกับตาแก่ติงสู้กันอย่างรุนแรง

ทั้งสองฝ่ายดูหมดหวัง หมัดและเท้าสู้อย่างไร้ร่องรอย เป็นการประลองนัดหนึ่งที่ยอดเยี่ยมจริงๆ

ถึงแม้ตาแก่ติงอายุมากกว่าหกสิบแล้ว แต่เมื่อครั้งยังหนุ่มก็เป็นปรมาจารย์อันดับหนึ่งในตุงไห่ เผชิญหน้ากับสามคนพี่น้องหลิวจุนที่รุมเข้ามาถือว่าเป็นเรื่องง่าย

ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว!

ตาแก่ติงสะบัดแขน เรียกฝุ่นละอองและเม็ดทรายออกมา โจมตีใส่อย่างรุนแรงและรวดเร็ว สาดใส่บนใบหน้าสามพี่น้องหลิวจุน

ไม่ทันป้องกัน สามพี่น้องหลิวจุนก็ถูกทรายกลบใส่ตา ส่งผลต่อสายตา และคิดไม่ถึงว่าจู่ๆตาแก่ติงจะใช้วิธีที่น่ารังเกียจเช่นนี้!

ฟิ้วฟิ้วฟิ้ว!

ตาแก่ติงคว้าโอกาส ปล่อยไปสองหมัดแรงๆ ไปที่หน้าท้องหลิวจุน จนสำลักเลือด ลอยออกไปหลายเมตร ล้มลงที่พื้นอย่างโมโห

หมุนตัวกลับไป ตาแก่ติงใช้สองแส้เตะไปที่เอวสองพี่น้องหลิวจุน จนสั่นสะเทือนไปทั้งพื้นที่ ลอยออกไปหลายสิบเมตร

“คุณมันน่ารังเกียจจริงๆ!แล้วยังมีหน้ามาเรียกว่าเป็นคณบดีของศิลปะการต่อสู้ของชาติในตุงไห่ ที่จริงก็แค่ของชั้นต่ำ!”หลิวจุนพูดด้วยความโมโห ในดวงตายังมีทรายและฝุ่นละออง ลืมตาไม่ขึ้น

“หมาแก่ติ่ง คุณนี่มันเป็นหมาแก่จริงๆเลย แม้แต่ผงทรายวิธีการแบบนี้ก็ยังเอามาใช้?ผมดูถูกคุณ!”

“หน้าไม่อายจริงๆ คุณมันหมาแก่ติ่ง!”

สามพี่น้องตระกูลหลิวต่อว่าด้วยความโมโห สีหน้าโกรธจัด พูดไปจมูกก็ไหลออกมาเป็นเลือดไปด้วย

เพียงแต่คนที่เคยฝึกศิลปะการต่อสู้ประเทศหลุง นั่นแน่นอนว่าต่างดูถูกพฤติกรรมที่น่ารังเกียจเช่นนี้ เทียบกับตอนที่สู้ศิลปะการต่อสู้แล้ว โยนฝุ่นทราย ตาแก่ติงนี่ยังจะเรียกตัวเองว่าเป็นอาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนัก แล้วยังสร้างแก๊งเองอีก?

“เหอะเหอะ ไอ้เด็กเปรตพวกคุณสามคน ฝีมือก็สู้ไม่ได้ ยังมีอะไรต้องพูดอีก?”ติงเสินอีลูบเคราและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง“โยนฝุ่นทรายแล้วยังไง?แค่ชนะได้ นั่นก็อยู่ที่ความสามารถผม คุณไม่พอใจเหรอ?”

“ไม่คิดหน่อยเหรอ อาจารย์อย่างผม เรียกกันว่าจองเสินอี!เป็นถึงอาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักรุ่นหนึ่ง แค่ขยะอย่างพวกคุณสามคน จะมากล้าสู้กับผม?ไม่รู้จักเป็นตายเลยหรือไง”ติงเสินอีหัวเราะเสียงดัง ส่ายหัว อิ่มเอมใจมาก

พอคิดว่าเขาติงเสินอี มีชื่อว่าจองเสินอี ความหมายก็คือเทพสุดยอดแห่งการโม้รุ่นแรก!ระดับบรรพบุรุษเก่าแก่ผู้ก่อตั้งสำนัก!

หลายปีมานี้ สามารถสู้กับฝีมือต้นๆของตุงไห่ได้ นอกจากต้องมีฝีมือเหนือกว่า แน่นอนว่ายังมีวิธีการที่เลวทรามต่างๆอีก เช่นโยนฝุ่นทรายแบบนี้ เป็นแค่วิธีการเล็กๆ!

หลิวจุนทั้งสามคนโกรธจนแทบอ้วกเป็นเลือด ไม่เคยเห็นคนที่เลวทรามเช่นนี้!

เสียดายอย่างทำอะไรไม่ได้ ทั้งสามถูกทำร้ายเจ็บตา ตาใช้งานไม่ได้ชั่วคราว แล้วยังถูกแอบโจมตีไปที่เอว เจ็บไปถึงอวัยวะภายใน หมดแรงไปชั่วขณะ

“ขยะก็คือขยะ!ลุกขึ้นสิ กล้ามาสู้กับจองเสินอีที่สง่างามอย่างผม?”ติงเสินอีพูดด้วยใบหน้าพึงพอใจ มองจางฉีโม่อย่างหยอกล้อขี้เล่น

จางฉีโม่มีใบหน้าตื่นตระหนก มองจนตะลึง ตาแก่ที่เรียกว่าจองเสินอีนี้ ทำไมถึงได้หน้าไม่อายขนาดนี้?

“สาวน้อยจาง ตามอาจารย์ไปเป็นแขกที่ตระกูลหวางเถอะ”ติงเสินอีหัวเราะอย่างเยือกเย็น ค่อยๆเดินไปที่จางฉีโม่ คิดในใจ ครั้งนี้ช่วยตระกูลหวางทำเรื่องใหญ่ ทำเงินได้หลายสิบล้าน ต่อไปเลี้ยงชีวิตแก่ๆนี้ก็เพียงพอแล้ว!

“ตระกูลหวาง?คุณอย่าเข้ามา!”จางฉีโม่ถอยหลังไป เธอรู้เพราะเคยเห็นสภาพบ้าคลั่งของพ่อลูกหวางกั๋วคาง คิดไม่ถึงว่ายังจะให้คนมาจับตัวเองอีก ไม่มีขื่อมีแปจริงๆ

ติงเสินอีหัวเราะอย่างสนุก ในสายตาเขา จางฉีโม่คือธนบัตรสีแดงหลายสิบล้านที่มีชีวิต พาไปก่อนค่อยว่ากัน

คิดอย่างนั้น ติงเสินอีก็พุ่งเข้าไป กำลังจะจับจางฉีโม่ เตรียมที่จะตบไปฝ่ามือก่อนเพื่อให้สลบแล้วค่อยว่ากัน

เวลานี้เอง จู่ๆ ก็มีเสียงลมดังขึ้น เสียงดังโครม ร่างหนึ่งที่ดูน่ากลัวเหมือนผีเข้ามา ขาถีบติงเสินอีแรงๆลอยออกไป ร่างล้มลงออกไปสิบกว่าเมตร แล้วอ้วกออกมา

“ใครน่ะ?ต่ำช้าไร้ยางอายได้ขนาดนี้ กล้ามาแอบโจมตีปรมาจารย์จองเสินอีที่สง่างามอย่างผม?”ติงเสินอีพูดด้วยความโกรธ มองขึ้นไป

เห็นแค่ คนแก่ผมขาวที่ดูเหมือนไม่ลึกลับซับซ้อน สวมสูทสีน้ำตาล สภาพเหมือนพ่อบ้าน

เป็นหลี่ผูมา พ่อบ้านใหญ่คนนี้ของตระกูลฉีตอนนั้น ไม่ใช่แค่ทำอาหารหรือติ่มซำได้อย่างเดียว แต่ในฝีมือนั้นก็ยังเป็นกังฟูด้วย!

“พ่อบ้านหลี่?คุณเหรอ?”จางฉีโม่พูดด้วยความตกใจ พบว่าเป็นหลี่ผูช่วยตัวเอง ก็แปลกใจขึ้นมา

จู่ๆพ่อบ้านหลี่ก็มีฝีมือสูงขนาดนี้ แล้วยังยอมเป็นพ่อบ้านที่บ้านตัวเองด้วย?

หลี่ผูคือคนที่หลินอิ่งเชิญมา หรือว่า ก็เป็นคนที่หลินอิ่งจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อมาแอบปกป้องตัวเองด้วย?

สายตาจางฉีโม่เริ่มซับซ้อน เริ่มนึกถึงหลินอิ่ง

“หมาแก่หน้าไม่อายอย่างคุณ ก็กล้าเรียกตัวเองจองเสินอี?”หลี่ผูส่ายหน้ายิ้มอย่างเย็นชา

“ผมคือจองเสินอี!คุณคิดว่าไงล่ะ?แอบโจมตีผมแล้วยังกล้าพูดจาน่าละอายเช่นนี้อีก!”ติงเสินอีพูดอย่างไม่พอใจ พลิกตัว พุ่งไปจะสู้กับหลี่ผู

หลี่ผูหรี่ตา สายตาคมกริบเหมือนมีด พุ่งเข้าไปปล่อยหมัดและเท้าใส่ คว้าผมของจองเสินอี สองฝ่ามือตบใส่เขารอบๆอย่างแรง จากนั้นขาทั้งคู่ก็เหยียบใส่ ทำร้ายจนจองเสินอีร้องไห้เสียงดัง

ชายผู้นี้มาจากไหน ฝีมือถึงได้เก่งกล้าขนาดนี้?

หลิวจุนทั้งสามคนเช็ดทรายในตา มองหน้ากันอย่างไม่อยากจะเชื่อ นี่ไม่ใช่พ่อบ้านของบ้านจางฉีโม่เหรอ?ทำไมฝีมือสูงส่งเช่นนี้?คิดๆดู ก็ถูก ลูกน้องของท่านหลิน ต่างมือดีเยี่ยมทั้งนั้น

“สถานที่เล็กเช่นนี้ ดันมีนักเลงเยอะจริงๆเลย ในเมืองเล็กๆอย่างชิงหยูน ฝึกกังฟูพื้นๆแบบนี้ ยังจะกล้าเรียกตัวเองว่าจองเสินอี?”หลี่ผูพุ่งไปใช้เท้าเหยียบใส่หน้าตาแก่ติง จนอ้วกเป็นเลือด

“จองเสินอีสามคำนี้คุณเรียกตัวเองด้วยเหรอ?คุณควรจะชื่อว่าหมาแก่จอง จองที่แตกหักถึงจะถูก เข้าใจไหม?ขยะสังคมเอ๊ย”หลี่ผูด่าอย่างรังเกียจ ถ่มน้ำลายใส่หน้า“จองเสินอี”คนนี้

จู่ๆก็กล้าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงมาจับคุณนายน้อย ต้องอยู่ที่เขาหลี่ผูตอนช่วงวัยรุ่น จนผิวแทบจะลอก!

“ผมจองเสินอีที่สง่างาม จู่ๆคุณก็กล้ามาตีผม?ผมจะให้ศิษย์ของสำนักผมมาแก้แค้น!” ตาแก่ติงพูดออกมา รู้สึกอับอายละอายใจสุดๆ

สายตาหลี่ผูโหด เหยียบลงไปแรงๆหลายครั้งเรื่อยๆ เหยียบจนตาแก่ติงร้องด้วยความเจ็บปวด แล้วยังอ้วกเป็นเลือด น้ำมูกน้ำตาก็ไหลออกมา จะยังมีความเป็นปรมาจารย์อาจารย์จองที่ไหนอีก

“คุณยังเป็นจองเสินอีที่สง่างามอีก?ลองเรียกอีกครั้งสิ!”หลี่ผูพูดอย่างเย็นชา“รีบขอโทษคุณนายหลิน คุกเข่า ไม่งั้น ตาย!”

“อ๋า?คุณจะทำผมตาย?”ตาแก่ติงตกใจจนขาอ่อน สั่นไปทั้งตัว

“ขอโทษ อย่าฆ่าผม!ท่านพูดถูก ผมจองเสินอีเป็นแค่ขยะ เป็นของที่ต่ำช้าไร้ยางอาย”คุณท่านติงร้องไห้ขอร้อง กลัวตาย“ถือว่าผมเป็นปู่คุณเถอะ ปล่อยผมไปนะ คุณจาง ไม่สิ นายหญิงจาง นายหญิงใหญ่จาง!ไว้ชีวิตผมเถอะ!”

มองคุณท่านติงคุกเข่าขอร้องหน้าไม่อายเช่นนี้ หลี่ผูแปลกใจ โลกช่างใหญ่เสียจริง มีแต่อะไรแปลกๆ!

จางฉีโม่ตะลึง รู้สึกขยะแขยงมาก คนแก่หกถึงเจ็ดสิบปีคนหนึ่ง จู่ๆก็เรียกตัวเองว่านายหญิงไว้ชีวิตเถอะ?ยังเป็นคนอยู่ไหม?หรือจองเสินอี?

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท