ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่124 คุณมาส่งอาหารใช่ไหม

บทที่124 คุณมาส่งอาหารใช่ไหม

บทที่124 คุณมาส่งอาหารใช่ไหม

หลังจากที่เสียงเสียดหูดังขึ้น

มีเสียงดังขึ้น มีแสงวาบเหมือนพลุอยู่กลางถนนเป็นรอยยาว

ปลอกกระสุนสิบสองมิลลิเมตร อยู่บนพื้น

หลินอิ่งสีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ มุมปากยิ้มขึ้นด้วยความเย็นชา พลางมองดาดฟ้าของอาคารเจ๋อเฉิง

เหวินเอ้อสืออยู่บนดาดฟ้า มองสีหน้าเย็นชาของหลินอิ่งได้อย่างชัดเจน เป็นสายตาที่คมชัด

เขาเหงื่อออก เต็มหน้าผาก

“ฉัน หรือว่าฉันยิงพลาดงั้นเหรอ?ไม่มีทาง!ทำไมเขาไม่ตาย!”

เหวินเอ้อสือไม่อยากจะเชื่อ แววตาไร้แวว มือทั้งสองข้างอ่อนลง ปืนไรเฟิลหนักเองก็ตกลงกับพื้น

นี่มันน่ากลัวเกินไปหรือเปล่า?ชายหนุ่มเสื้อเชิ้ตขาวทำได้อย่างไร?

เหวินเอ้อสือมั่นใจเป็นอย่างมาก ว่าตัวเองเล็งไปที่หัวแล้ว แต่ผลที่ออกมา มันกลับไม่โดนงั้นเหรอ?

คิดไม่ออกเลยจริงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

“เหวินเอ้อสือ เกิดอะไรขึ้นกับคุณ?” เหวินจิ่วขมวดคิ้วถามขึ้น

“พี่จิ่ว ฉัน ฉันไม่รู้ เขาไม่ตาย เขาเดินเข้ามาในเจ๋อเฉิงกรุ๊ป” เหวินเอ้อสือพูดด้วยสีหน้าหนักใจ “แต่พี่จิ่ว ฉันมั่นใจนะ ว่าฉันต้องยิงโดนเขาแน่!ไม่ ฉันเล็งไปที่เขาแล้ว ไม่รู้ว่าเขาหลบหรือเปล่า”

ไม่ว่าเหวินเอ้อสือจะอธิบายอย่างไร เขารู้ความโหดร้ายของตระกูลเหวินเป็นอย่างดี การดูแลเกดความตกต่ำขึ้นมา ต้องโดยพี่จิ่วฆ่าตายแน่นอน!

ยังดีที่ตอนนี้ตระกูลเหวินยิ่งใหญ่แล้ว ถ้าเกิดก่อนหน้านี้ตระกูลฉีพังไปแล้วเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ตัวเองและลูกกับภรรยาคงต้องถูกฆ่าตายแน่นอน ต้องถูกคิดว่าถูกขายไปแน่ๆ !

“หุบปากไปซะไอคนไร้ค่า!ไม่ต้องมาอธิบายแล้ว!จะไปหลบปืนไรเฟิลหนักได้อย่างไรกัน?” เหวินจิ่วด่าเสียงเย็นชา “เหวินเอ้อสือ ถ้าไม่เห็นแก่ว่าคุณเป็นลิ่วล้อของฉัน ตอนนี้ฉันจะฆ่าคุณ!คุณใช้ปืนได้ห่วยขนาดนั้น ยังจะมาบอกว่าเป็นคนดูแลความปลอดภัยลับๆ ของตระกูลเหวินได้อีกเหรอ?”

“ได้ยินว่าช่วงนี้คุณชอบไปเที่ยวผู้หญิงที่ผับตี้อู่เฉิงเหรอ?” เหวินจิ่วมองเหวินเอ้อสือ “ทำแต่อะไรแบบนั้น จนมือไม้อ่อน ใช้ปืนไม่แม่นแล้ว!พอกลับไป คุณกักตัวแล้วสำนึกผิดซะ ไม่ต้องมาร่วมงานอะไรกันอีก!”

“โอเค!ฟังพี่จิ่วก็ได้” เหวินเอ้อสือเช็ดเหงื่อ พลางพูดด้วยความเคารพ แต่ก็คิดว่าถ้าให้มาทำเอง ก็ไม่มีวันฆ่าได้เหมือนกันนั่นแหละ!

“พี่จิ่ว กล้องมันบอกว่า เด็กหนุ่มคนนั้นมันเข้าบันไดมาแล้ว กำลังมาหาพวกเรา” ชายชุดดำอีกคนหนึ่งพูด ก่อนจะหยิบคอมที่ดูไฮเทค และพูดด้วยความเคารพ

“ดีมาก เตรียมเล่นงานมัน ขึ้นมาอย่าเพิ่งฆ่าเขานะ จับเป็นก่อน ต้องสอบก่อนว่าเขาเป็นคนส่งข่าวของใคร” เหวินจิ่วพูดเบาๆ ด้วยท่าทีเฉลียว

“รับทราบ!พี่จิ่ว!”

ชายชุดดำอีกสามคนนั้น รีบหยิบกล่องสีดำขึ้นมา ก่อนจะหยิบอาวุธของพวกเขา แล้วลูบคม

ทางอีกฝั่งนั้น หลินอิ่งรีบขึ้นมาบนบันไดของเจ๋อเฉิงกรุ๊ป

สามนาที

หลินอิ่งก็มาถึงชั่นหกสิบ ก่อนจะเตะประตูเหล็กออกมา พลางมองชายกำยำทั้งสี่ด้วยสีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ แล้วมองหยูจื๋อเฉิงที่ถูกแขวนหายใจรวยริน

“เห้อ มีความสามารถเล็กน้อยเนี่ย สามารถเตะประตูปลิวได้เลยงั้นสิ?” เหวินจิ่วพูดแกมหยอก ก่อนจะลูบมัด แล้วหักนิ้วกร๊อบ

“มาคนเดียว?ฉันว่าคุณมาส่งอาหารหรือเปล่าเนี่ย?”

เมื่อพูดจบ เหวินจิ่วก็หยิบปืนขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ก่อนจะยิงออกไป มือไวเหมือนสายฟ้า ดูเป็นคนเก่งคนหนึ่งเลย

เขาคิดว่าจะยิงออกไป เพื่อให้ขาหลินอิ่งพิการก่อน

แก๊ง!

กระสุนยิงถูกประตูเหล็ก แต่กลับไม่เห็นเงาของหลินอิ่งแล้ว เหมือนกับหายปต่อหน้าพวกเขาเลย

“นี่มัน?” เหวินจิ่วขมวดคิ้วเบาๆ ด้วยความตกใจ

ปัง!

มีแรงที่น่ากลัวดังขึ้นมา เงาของหลินอิ่งโผล่ขึ้น ก่อนจะเตะเหวินจิ่วไปไกลสิบเมตร และล้มลงกับพื้น ไอออกมาเป็นเลือด

ชายชุดดำอีกสามคนที่เหลือตกใจเป็นอย่างมาก ก่อนจะดึงสติกลับมาได้ แล้วจะยิง

หลินอิ่งจะให้โอกาสเขาได้อย่างไรกัน ความเร็วเหมือนสายฟ้า เลยเตะมือของทุกคน จนปืนในมือตกลงที่พื้น

หลังจากนั้น ก็เตะต่อยจนทุกคนมึนไป

หลินอิ่งหันกลับมา เพื่อเข้าหาเหวินจิ่ว

ในตอนนั้นเองมีลมพัดมาอย่างแรง มีดปลายแหลมแทงเข้าที่ลำคอ

เหวินจิ่วเป็นคนที่เก่งกาจที่สุด!จนชนะคนเก่งของหยูจื๋อเฉิงได้!

หลินอิ่งยิ้มขึ้นด้วยความเย็นชา ไวเหมือนกับลม เขายกมือขึ้นแล้วคีบกริชด้วยสองนิ้ว ก่อนจะเอามันลง

“นี่?” เหวินจิ่วเหงื่อแตก พลางจ้องชายหนุ่มตรงหน้าตาค้าง

ต้องรู้ด้วยว่า ความเร็วของเขานั้นมันเร็วมาก กริชเล่มเดียวนั้น เพียงแค่สิบห้าก้าว ไม่ว่าจะเป็นคนที่ถือปืนสั้นหรือปืนกล ก็คงได้ตายก่อนจะลั่นไกแล้ว!

นี่เป็นการกระทำที่น่ากลัวมาก แต่กลับถูกชายหนุ่มคนนี้ทำได้อย่างง่ายๆ แถมยังใช้นิ้วคีบมีดที่ตัวเองต้องใช้แรงมากอีกด้วย?

ปัง!

หลินอิ่งถีบออกไป จนมีเสียงดังขึ้น เหวินจิ่วก็ต้องลอยอีกครั้ง

แต่กลางอากาศนั้น จู่ๆ เหวินจิ่วก็ออกหมัด เขาออกหมัดกลางอากาศใส่หัวของหลินอิ่ง

การทำแบบนี้ มันไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

หลินอิ่งรับหมัดของเหวินจิ่วเอาไว้ ทั้งสองคนแทบจะปลิวไปตามลม ภายในเวลาสิบวินาที อย่างน้อยก็ต่อยกันไปได้เจ็ดแปดสิบหมัดแล้ว

ปังๆ

หลังจากเตะต่อยกัน เหวินจิ่วก็หยุดอยู่ที่พื้นใบหน้าซีดเซียว จู่ๆ ก็คุกเข่าอยู่กับพื้น จากนั้นก็มีเสียงไปทั้งตัว พลางมองหลินอิ่งด้วยความตกใจกลัว

เหวินจิ่วถูกหักกระดูกไปมาก จนกระดูกแทบจะยึดเนื้อไว้ไม่ได้แล้ว!

“นี่?นี่เป็นคนเก่งขนาดไหนกันแน่เนี่ย?” เหวินจิ่วพูดด้วยใบหน้าขมขื่น

เขาคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งมากแล้ว เป็นคนเก่งกาจที่ไม่กลัวปืนด้วยซ้ำ แรงต่อยมากมาย แต่ว่า กลับไม่สามารถชนะเด็กหนุ่มนี่ได้เลยแม้แต่น้อย

“เหอะ” หลินอิ่งยิ้มขึ้นด้วยความเย็นชา “รับหมัดของฉันได้กว่าสิบวิ คุณก็ถือว่าเก่งแล้ว”

เมื่อพูดจบ หลินอิ่งก็ไม่ได้สนใจเหวินจิ่วที่กระดูกหักอีก ก่อนจะหันตัวกลับไป ตัดเหล็ก และพยุงหยูจื๋อเฉิงลงมา

“ท่านอิ่ง ฉันรู้อยู่แล้ว ว่าคุณจะต้องมาช่วยฉัน ท่านอิ่งมีบุญคุณ จะไม่ลืมเลย” หยูจื๋อเฉิงพูดพลางหายใจรวยริน

“คนพวกนี้ส่งต่อให้คุณ ต้องให้ฉันได้ตรวจสอบความเป็นมาก่อน” หลินอิ่งพูดอย่างสงบ

“ฉันต้องแหกปากพวกเขาออกมาให้ได้!” หยูจื๋อเฉิงพูดด้วยเลือดกบปาก แววตาเต็มไปด้วยความโกรธ โดยที่มีความแค้นเป็นอย่างมาก!

เพียงไม่นาน หยูจื๋อเฉิงก็สงบทุกอย่างได้ เลยลากผู้รักษาลับๆ ของตระกูลเหวินทั้งสี่ลงห้องใต้ดินของเจ๋อเฉิงกรุ๊ป หยูจื๋อเฉิงทำแผล จากนั้นก็ลงไปทรมานเอง

จากนั้นชั่วโมงกว่า

หลินอิ่งนั่งอยู่บนห้องของประธาน เขามีสีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ พลางชงชาแดง

มีเสียงดังขึ้น หยูจื๋อเฉิงเคาะประตูเข้ามา

“ท่านอิ่ง ฉันใช้เก้าอี้ไฟฟ้าแล้ว พวกเขาทั้งสี่ก็ยอมบอกแล้ว บอกความลับของตระกูลเหวินมาไม่น้อย” หยูจื๋อเฉิงเปลี่ยนชุด พลางพูดด้วยความเคารพ

หลินอิ่งวางถ้วยชาลง “คุณรับช่วงต่อเลย”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท