ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่132 ได้ยินข่าวก็ออกปฏิบัติการทันที

บทที่132 ได้ยินข่าวก็ออกปฏิบัติการทันที

บทที่132 ได้ยินข่าวก็ออกปฏิบัติการทันที

คนๆหนึ่งเป็นตัวแทนตระกูลผู้ดีชั้นสูง หมายความว่าไง?

นี่มันเลิศเลอซะยิ่งกว่าหัวหน้าครอบครัวตระกูลผู้ดีพวกนั้นเสียอีก ตระกูลฉีก็มีท่านอิ่งคนเดียว สนับสนุนทั้งตระกูลผู้ดี บอกว่ารวยอันดับหนึ่งในประเทศหลุง ก็ไม่เวอร์เลยสักนิด ตระกูลผู้ดีพวกนั้นยังมีทรัพย์สินของตระกูลพวกชนเผ่ามากมาย ธุรกิจทุกอย่างของตระกูลฉี ต่างอยู่ภายใต้ชื่อของท่านอิ่งคนเดียว!

ตอนนี้ท่านอิ่งคือตำนานที่เล่าขานต่อกันมาของตี้จิง ว่าเป็นวัยรุ่นที่ร่ำรวยที่สุด แล้วก็มีวิธีการและความสามารถที่สุด อายุน้อยขนาดนั้น ได้ยินว่ายังไม่แต่งงาน ก็ดึงดูดการเยินยอของคุณหนูผู้ดีในตระกูลผู้ดีใหญ่ๆแต่ละตระกูลของตี้จิงได้แล้ว!

ส่วนตัวเอง จู่ๆก็เป็นมือขวาเบอร์หนึ่งที่ติดตามท่านอิ่ง เป็นฮีโร่ที่ติดตามเขาทำเรื่องใหญ่ๆ!

หยูจื๋อเฉิงรู้สึกว่าตัวตนของตัวเอง พัฒนาขึ้นอยู่หลายรอบนับไม่ถ้วน ถึงเมื่อก่อนจะมีหลายหมื่นล้าน ที่ดินแดนตี้จิงนี้ และก็เป็นเจ้าถิ่นเศรษฐีใหม่ จะทำความรู้จักกับพวกคนรวยพวกนั้นได้ไงกัน?

ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว เขาได้เป็นคนที่อยู่รับหน้าของตระกูลฉี!พูดได้ว่าเป็นข้ารับใช้ของตระกูลฉี!

ทั้งหมดนี้ เพราะว่ารู้จักกับท่านอิ่ง ทำให้คนตัวเล็กๆอย่างเขา เดินไปถึงจุดสูงสุดของประเทศหลุงตอนนี้!

“ไม่ต้องสนใจพวกคนมีอิทธิพลพวกนั้น ผมไม่ปรากฏตัวในตระกูลร่ำรวยของตี้จิง”หลินอิ่งพูดเรียบๆ“ต่อไป ทุกเรื่องในตี้จิงก็ให้คุณจัดการ เข้าใจไหม?”

“ท่านอิ่ง เข้าใจแล้วครับ”หยูจื๋อเฉิงพยักหน้าอย่างเคารพ จากนั้นก็มีสายตาสงสัย

“ท่านอิ่ง ท่าน หรือว่าไม่คิดจะอยู่ตี้จิง?”หยูจื๋อเฉิงถาม

“พรุ่งนี้ผมจะไปจากตี้จิง เกิดอะไรขึ้น ก็ใช้โทรศัพท์ที่เข้ารหัสที่ผมให้คุณ โทรหาผม”หลินอิ่งพูดนิ่งๆ

“พรุ่งนี้?”หยูจื๋อเฉิงดูตกใจ

เกิดอะไรขึ้น?ธุรกิจที่ตี้จิงใหญ่ขนาดนี้ ท่านอิ่งยังจะอยากไปไหนอีก?

หรือว่าประเทศหลุงยังมีที่สนุกกว่าตี้จิง?นี่เป็นเมืองหลวงเชียว!

“ทำงานดีๆ”หลินอิ่งลุกขึ้น ตบไหล่หยูจื๋อเฉิง“ส่งผมไปจื่อหลงซาน มีปัญหาที่จัดการไม่ได้ ค่อยโทรหาผม”

พูดไป หลินอิ่งก็ออกจากประตูไป หยูจื๋อเฉิงยังไม่ได้สติคืนมา ตามออกไปด้วยสายตาสงสัย

ทั้งสองเข้าไปในลิฟต์ด้วยกัน

เขาเตรียมตัวไปเจอปู่ที่จื่อหลงซาน แล้วก็กลับเมืองตุงไห่ จัดการตระกูลหวางที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงนั่นให้เรียบ

ส่วนทางด้านตี้จิง ความสามารถของหยูจื๋อเฉิงก็เพียงพอที่จะรักษาไว้ก่อนได้ แม้แต่ตระกูลเหวินก็ยังหนีหายไปทั้งตระกูล ตระกูลผู้ดีตระกูลใหญ่อื่นๆไม่รู้รายละเอียดของตัวเอง ก็ไม่กล้าผลีผลามลงมือกับธุรกิจของตระกูลฉี

ยังมีอีกเรื่อง ก็คือทางด้านนิ่งซวน นิ่งซวนดูเหมือนจะได้รับความกดดันอย่างสูงจากตระกูลนิ่ง ถูกบีบให้กลับไปตี้จิง

หลินอิ่งคือคนที่มีทั้งความดีและความผิด เรื่องนี้ ต้องยกมือขอความช่วยเหลือนิ่งซวน ถึงตอนนั้นโทรหาให้หยูจื๋อเฉิงจัดการให้เรียบร้อย

ติ๊งต่อง

ลิฟต์เปิดออก มาที่อาคารชั้นหนึ่ง

ชายชุดสูทที่ดูท่าทีไม่ธรรมดากลุ่มหนึ่ง ต่างล้อมรอบเข้ามา ในมือถือการ์ดเชิญเลี่ยมทองกับป้ายชื่อ โค้งตัวลงด้วยความเคารพ

“ประธานหยู ท่านช่วยส่งบัตรเชิญให้ประธานฉีให้ผมได้ไหม ตระกูลหูของพวกเราอยากเชิญประธานฉี”

“แล้วก็มีบริษัทอสังหาริมทรัพย์จุงเทียนของพวกเราด้วย อยากคุยเรื่องความร่วมมือกับประธานหยู”

แป๊บเดียว ชายชุดสูทหลายคนก็ล้อมรอบเข้ามา ท่าทางเคารพ พร้อมกับรอยยิ้ม อยากให้หยูจื๋อเฉิงรับคำเชิญพวกเขา

อย่ามองว่าท่าทางต่ำต้อยตอนนี้ คนพวกนี้เดินอยู่ข้างนอกต่างเป็นคนที่น่าหวาดกลัว นั่นไม่ใช่มูลค่าสุทธิเป็นพันล้านเหรอ?ไม่งั้น ก็ไม่มีคุณสมบัติอยู่ที่ห้องโถงรับแขกของอาคารเจ๋อเฉิง

มองคนพวกนี้แล้วตลกมาก ไม่กล้าเอาพวกกล้องอะไรมาถ่าย หลินอิ่งก็ไม่พูดอะไรมาก ส่งสายตาไปที่หยูจื๋อเฉิง

“ทุกท่าน ตอนนี้ผมมีธุระต้องไปก่อน มีธุรกิจอะไร รอผมกลับมาแล้วค่อยคุยกัน”หยูจื๋อเฉิงพูดอย่างจริงจัง

“โอเค!ประธานหยู คำเชิญกับของขวัญพวกเราวางไว้ที่เคาน์เตอร์ ท่านว่างก็ลองดู ช่วยส่งให้ประธานฉีให้ผมด้วย”

ชายชุดสูทหลายคนต่างเปิดทางให้

หลินอิ่งกับหยูจื๋อเฉิงนั่งรถเบนท์ลีย์สีน้ำตาลคันนั้น หยูจื๋อเฉิงอยู่ตำแหน่งคนขับ สตาร์ทรถไป กำลังเตรียมออก

ทันใดนั้น ที่ข้างถนนก็มีบอดี้การ์ดลงมาจากรถหรูสิบกว่าคัน ค่อยๆเปิดประตูทีละบาน ท่าทางดูน่ากลัว

หยูจื๋อเฉิงขมวดคิ้ว กำลังเตรียมโทรเรียกคนลงมาจัดการ ในใจคิดว่าใครกันทำไมตาไม่มีแววอย่างนี้ กล้าก่อเรื่องที่หน้าอาคารเจ๋อเฉิง?ไม่รู้จักเจ๋อเฉิงกรุ๊ปตอนนี้ ที่เป็นอำนาจของท่านอิ่งวางไว้ตรงหน้าตระกูลฉีเหรอ?

พริบตาเดียวมองดูดีๆ หยูจื๋อเฉิงก็มีสายตาแปลกๆ แล้วก็พบว่า ที่แท้รถหรูสิบกว่าคันนี้ต่างเป็นสีชมพูสีแดงสีส้ม แล้วก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

“ท่านอิ่ง ท่านดู เรื่องนี้จัดการอย่างไร ลูกสาวคนรวยพวกนี้มาเพื่อมาหาคุณโดยเฉพาะ”หยูจื๋อเฉิงพูดอย่างซีเรียส ไม่กล้าตัดสินใจมั่วๆ

“ท่านอิ่ง ตอนเช้า ผมได้ยินเรื่องเล่ากันว่า ลูกสาวเศรษฐีตระกูลคนรวยหลายๆคน ต่างให้ผู้สูงอายุโทรมาหาผม บอกว่าจะมาทำงานที่เจ๋อเฉิงกรุ๊ปบ้าง มาเป็นเลขาให้ท่านอิ่งบ้าง”หยูจื๋อเฉิงพูดอย่างจริงจัง“เรื่องนี้ผมก็ไม่กล้าตัดสินใจแทนท่าน ไม่คิดว่าลูกสาวเศรษฐีพวกนี้จะมาหาถึงที่”

พูดจบ หยูจื๋อเฉิงก็มองสาวสวยน่าทึ่งที่แต่งตัวงดงามฉูดฉาดทีละคนๆ ใบหน้าสวยใสอย่างกับสาวแรกแย้มในฤดูใบไม้ผลิ เดินเข้ามาด้วยสายตาคาดหวัง ในใจรู้สึกถอนหายใจ นี่ก็คือท่านอิ่ง ที่อายุน้อยแล้วยืนอยู่ที่จุดสูงสุด มีสาวสวยนับไม่ถ้วนต่างวิ่งถลาเข้ามาในอ้อมแขน แทบอยากจะจุนเจือ

“ออกรถ ไปจื่อหลงซาน”หลินอิ่งพูดนิ่งๆ ไม่มองผู้หญิงที่อยู่นอกกระจกรถสักนิด

“ต่อไปถ้ามีเรื่องไร้สาระแบบนี้อีก คุณไม่ต้องสน”หลินอิ่งกำชับ

“ครับ ท่านอิ่ง”หยูจื๋อเฉิงพูดอย่างซีเรียส ในใจรู้สึกแปลกใจ

ทั้งแถบนี้มีแต่สาวสวยหลายสิบคน ไม่ใช่ผู้หญิงเสเพลทั่วไป หน้าตาและรูปร่างระดับดารา แล้วยังเป็นคนรวยอีก มาขอเป็นเพื่อนเองถึงที่ ท่านอิ่งกลับไม่แลเลย

หยูจื๋อเฉิงถอนหายใจข้างในใจ นี่คือช่องว่างของวิสัยทัศน์สินะ

ได้รับคำสั่งก็ทำอย่างรวดเร็ว หยูจื๋อเฉิงขับรถไปจากอาคารเจ๋อเฉิงอย่างรวดเร็ว ปล่อยสาวสวยลูกเศรษฐีในตี้จิงพวกนั้นทิ้งไว้ข้างถนน

“ประธานหยูทำไมหนีไปไวขนาดนี้?ไม่ทักทายหน่อยเหรอ?ผู้ชายแก่ก็ไร้มารยาทแบบนี้”สาวสวยท่าทางไม่ธรรมดา สวมเสื้อคลุมขนสัตว์ บ่นอุบอิบ“ยังอยากมาเจอฉีหยิ่นที่พูดถึงสักหน่อย อายุยังน้อยก็เก่งขนาดนี้ เป็นไอดอลจริงๆ”

“เห้อ โง่จริงๆเลย ไม่เห็นเหรอ เมื่อกี๊ประธานหยูขับรถเอง ด้านหลังยังมีชายวัยรุ่นอีกคน นั่นไม่ใช่คุณชายฉีหยิ่นเหรอ ไม่งั้นใครจะกล้าให้ประธานหยูเป็นคนขับรถ?”หญิงสาวหน้าตาสวยใสดูมีชีวิตชีวาพูด ตาเป็นประกาย

“เมื่อกี๊ฉันเห็นฉีหยิ่นชัดๆแล้วว่าหน้าตาเป็นไง เขาเผชิญหน้ากับสาวสวยมากมายขนาดนี้ ใบหน้าท่าทางไร้อารมณ์ก็ยังหล่อสุดๆ นี่น่าจะเป็นผู้ชายผู้กอบกู้โลกในตำนานสินะ?”

“เห้อเห้อเห้อ คุณอย่าเพ้อฝันเลยน่า คุณเคยเห็นแล้วมีประโยชน์อะไร คุณชายฉีหยิ่นรู้จักคุณไหม?เดี๋ยวฉันจะไปหายัยกงซุนชิวอวี่นั่น เธอเป็นน้องสาวฝ่ายแม่ของฉีหยิ่น ไปเอาเบอร์ติดต่อของฉีหยิ่นจากเธอ รับประกันว่าได้ผล

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท