บทที่ 143 ไอ้เศษสวะ เราเจอกันอีกแล้ว
หลังจากเดินพ้นประตู ออกจากวิลล่าหิมะมังกร
สีหน้าของจางฉีโม่เหมือนจนใจ ชำเลืองดูหลินอิ่งแวบหนึ่ง เห็นหลินอิ่งไม่พูดอะไร
“หลินอิ่ง คุณจะพาพี่สาวฉันไปกินข้าวที่ไหน? คงไม่ใช่แผงลอยข้างทางหรอกนะ? ดูท่าทางคุณก็ไม่มีเงินเท่าไหร่ เอาอย่างนี้ ให้แฟนฉัน เป็นเจ้ามือเลี้ยงคืนนี้เอง เชิญพวกพี่เลือกร้านตามสบาย” ลู่เวยพูดด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง
เธอต้องทำตัวเด่นต่อหน้าจางฉีโม่ แสดงความสามารถให้เห็น ใครใช้ให้หล่อนเก่งอย่างนี้? แถมเป็นถึงนักอัญมณีชื่อดังของเมืองตุงไห่ด้วย ไม่เห็นมีประโยชน์อะไร สู้หาแฟนหนุ่มดีๆ แบบเธอสิถึงจะถูก นี่ตอนนี้ก็ถูกไล่ออกแล้ว ยังจะต้องมานั่งหางานเองอีก ยิ่งคิด สีหน้าของลู่เวยก็ยิ่งได้ใจ มองจางฉีโม่อย่างไม่เกรงกลัว รู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่า หย่อนเบ็ดลงไปก็ได้คุณชายตระกูลใหญ่ เหนือกว่าจางฉีโม่ที่ต่อสู้มาชั่วชีวิต!
“ไม่ต้องหรอก ลู่เวย พวกเธอไปกินกันเองเถอะ” จางฉีโม่พูดขึ้นมา
“ไม่ได้หรอก พี่ฉีโม่ นี่พี่ดูถูกฉันเหรอ?” ลู่เวยพูดแกมหยอก “หรือว่า พี่ฉีโม่กลัวหลินอิ่งจะเลี้ยงอาหารราคาถูก จนต้องขายหน้า?”
“เปล่า ลู่เวยเธอ……” จางฉีโม่อยากจะปรามลู่เวย ทันใดนั้น ก็มีรถยนต์หรูมาเซราติขับเข้ามา
บีบแตรดังปิ้นๆ
“พี่ฉีโม่ อย่าขับบBMWเก่าๆ คันนั้นของพี่ออกไปข้างนอกเลย มันตกรุ่นไปนานแล้ว ของราคาถูก” ลู่เวยพูดด้วยท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่อง “ดูนั่นเห็นไหม นี่เป็นรถของแฟนหนุ่มฉัน มาเซราติเลยนะ ส่งมารับฉัน สมฐานะไหม? ไว้อีกสักระยะแต่งงาน ก็จะให้รถหรูราคาหลักสิบล้านกับฉัน ฉันกำลังจะแต่งเข้าตระกูลไฮโซแล้ว”
ขณะพูดเสร็จ คนขับรถมาเซราติก็เปิดประตูรถออก ยิ้มพลางพูดว่า: “คุณลู่ครับ คุณชายของพวกเราให้ผมมารับคุณโดยตรงครับ”
“ไปเถอะ พี่ฉี่โม่ คืนนี้ฉันจะพาพวกพี่เปิดหูเปิดตาเอง ไปห้างระดับไฮเอนด์ที่หรูที่สุดในเมือง คืนนี้แฟนหนุ่มของฉันนัดว่าจะซื้อของขวัญให้ฉันพอดี” ลู่เวยพูดโอ้อวด รู้สึกสะใจ ที่ตัวเองดูมีมาด
จางฉีโม่ชำเลืองตามองหลินอิ่ง
“ไปเถอะ ก็ดี ฉีโม่คุณก็ไปเลือกๆ ดู ชอบอะไรก็ซื้อ” หลินอิ่งพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“โอ้โฮ หลินอิ่ง ขี้โม้จังเลยนะ หรือพี่ฉีโม่ถูกปั่นจนหัวหมุนไปแล้ว พูดจาหลอกลวงกันแบบนี้ออกมาได้ อย่างนายน่ะเหรอ จะซื้อไหว?” ลู่เวยพูดด้วยความดูถูก “พี่ฉีโม่ ไป ไว้ฉันซื้อให้พี่ตัวหนึ่ง ราคาห้ามแพง ไม่เกินสามหมื่นหยวนนะ ให้พี่เลือกตามสบายเลย!”
พูดเสร็จ ลู่เวยก็นั่งเบาะหลัง หลินอิ่งกับจางฉีโม่ก็นั่งด้านหลังด้วย คนขับรถสตาร์ทรถ ขับมาถึงใจกลางเมืองอย่างรวดเร็ว
“พี่ฉีโม่คะ คืนนี้ฉันช่วยหางานให้พี่ ต่อไปพี่น่ะ ก็ตั้งใจทำงานให้ดี ฉันจะพาพี่ออกมาเปิดโลกทัศน์บ่อยๆ พี่ดูตัวพี่สิ ตั้งแต่หัวจรดเท้า มีชิ้นไหนบ้างที่เป็นของเกรดเอ?” ลู่เวยพูดพลางนิ้วแตะที่ปาก เหมือนตัวเองเป็นผู้มีพระคุณของจางฉีโม่
หลินอิ่งเม้มปากยิ้มไม่พูด ที่จริงก็ไม่เข้าใจ ว่าทำไมเงินทองถึงมีพลังหลอกล่อ ที่ทำให้ใครคนหนึ่งปัญญาอ่อนได้ขนาดนี้ ทำไมตัวเขาเองไม่รู้สึกว่าเงินทองมีเสน่ห์เลยนะ?
20นาทีต่อมา มาเซราติก็ขับมาถึงถนนที่คึกคักใจกลางเมือง อยู่ที่ห้างอัลเลนที่ขึ้นชื่อว่าหรูที่สุด เป็นห้างภายใต้เครือบริษัทอินเตอร์ 500อันดับแรก
พอหลินอิ่งกับจางฉีโม่ลงจากรถ ลู่เวยก็วิ่งไปหาชายหนุ่มที่ยืนรออยู่ข้างทาง
ชายหนุ่มผู้นั้นสวมสูทลายดอก สวมนาฬิกาข้อมือทองเรือนใหญ่ ใส่แว่นกันแดดในเวลากลางคืน ดูมีสไตล์มาก
“ไฮ! เสี่ยวเวยมาแล้วเหรอ สองคนนี้คือเพื่อนที่คุณพูดถึงเหรอ?” ชายหนุ่มถามขึ้นมา ค่อยๆ ถอดแว่นดำออก
“ใช่แล้ว คนนี้คือลูกพี่ลูกน้องของฉัน เพิ่งว่างงานเพราะโดนให้ออกจากงาน ถึงเวลาต้องให้คุณช่วยหางานให้หน่อยแล้ว” ท่าทางลู่เวยพูดด้วยความได้ใจ ออดอ้อนใส่ผู้ชาย เอามือคล้องแขน
ชายหนุ่มถอดแว่นกันแดดออก เผยให้เห็นใบหน้าสัปดน มองดูหลินอิ่งกับจางฉีโม่ด้วยความสงสัย
“อ้อ! ที่แท้ก็นายเศษสวะเองหรอกเหรอ? ไอ้เศษสวะ ยังจำฉันได้ไหม? ฉันเองฉินเฟย!” ฉินเฟยพูดด้วยท่าทางได้ใจ
หลินอิ่งขมวดคิ้ว กวาดสายตาดูฉินเฟยแว๊บหนึ่ง ก็นึกขึ้นมาได้ นี่มันสุนัขรับใช้หวางจื่อเหวินไม่ใช่เหรอ?
ส่ายหน้าในใจ หวางจื่อเหวินเจ้านายของเขาไปขอทานที่ข้างทางแล้ว คิวเขาคงยังไม่รู้ล่ะสิ?
“ทำไมคุณถึงไร้มารยาทอย่างนี้นะ หลินอิ่งเขาไม่ใช่เศษสวะเสียหน่อย อาศัยพี่ฉันหาเลี้ยงต่างหาก ถ้าบอกว่าเกาะผู้หญิงกินจะใกล้เคียงกว่า” ลู่เวยพูดด้วยท่าทางพิลึก
“ใช่ๆๆ ผมลืมไป หลินอิ่งเป็นตัวร้ายที่เกาะผู้หญิงกิน” ฉินเฟยทำเป็นพูดขึ้นมา
พูดเสร็จ ฉินเฟยก็มองดูจางฉีโม่ พูดด้วยท่าทางล้อเลียน: “ฉีโม่ คุณก็มีวันนี้ด้วยเหรอ? ตอนนั้นคุณชายหวางให้เกียรติคุณ แต่คุณไม่เอาเอง ตอนนี้ถูกบริษัทไล่ออกแล้วสินะ? ผมบอกกับคุณชายหวางแต่แรกแล้ว เขาเป็นถึงกรรมการของจางซื่อกรุป เอาอย่างนี้ ถ้าคุณจะหางานน่ะง่ายมาก มาขอร้องผม ผมจะช่วยขอร้องคุณชายหวางจื่อเหวินให้”
“อย่าเพิ่งคุยเรื่องงานเลย เราไปซื้อของแบรนด์เนมกันเถอะ ฉีโม่ มาเลือกสักชิ้นสิ ในราคาสามหมื่นหยวน แล้วแต่พี่จะเลือก” ลู่เวยพูดด้วยท่าทางอวดเบ่ง
พูดเสร็จ ลู่เวยกับฉินเฟยก็หันตัวเดินเข้าไปในเคาน์เตอร์เครื่องประดับแบรนด์เนม
“ไปเลือกเถอะ ฉีโม่” หลินอิ่งพูดด้วยเสียงเรียบๆ “ขอแค่คุณชอบ ผมซื้อทั้งห้างให้คุณได้เลย”
จางฉีโม่เหลือกตาขาวใส่หลินอิ่ง ไม่พูดจา แม้หลินอิ่งจะแสดงศักยภาพที่แข็งแกร่งให้เห็น แต่แค่คำเดียวก็จะซื้อห้างเอเลนทั้งห้างเหรอ? จะโอ้อวดเกินไปเหรอเปล่า ห้างนี้มูลค่าในตลาดอย่างน้อยก็ต้องหลายหมื่นล้านนะ
แต่ก็รู้สึกดีใจ จางฉีโม่เกาะมือของหลินอิ่งอย่างไม่คาดฝัน เดินเข้าไปในห้างด้วยกัน
ภายในห้างตกแต่งอย่างมีสไตล์ ไฟส่องสว่าง รอบๆ เต็มไปด้วยเคาน์เตอร์กระจกใส่เครื่องประดับ เครื่องประดับหลักที่เรียงรายก็คือยี่ห้ออัลเลน ร้านค้าระดับไฮเอนด์เอะอะเส้นหนึ่งก็ราคาเป็นแสนแล้ว
เพิ่งจะเดินเข้าห้าง ลู่เวยก็กำลังลองสวมสร้อยคอทองคำขาว ทำตัวอวดส่องกระจกหมุนตัวไปมา เห็นหลินอิ่งกับจางฉีโม่เดินเข้ามา ก็รีบชี้นิ้ว
“พนักงาน ห่อสร้อยราคาสองแสนเส้นนี้ให้ที เช็กบิล” ลู่เวยพูดอย่างมีมาด เงยหน้าขึ้นมองดูจางฉีโม่
“ฉีโม่ สร้อยเส้นนี้ของฉันสวยสินะ? ฉันช่วยเธอเลือกไว้ด้วยเส้นหนึ่ง ทำจากทอง สามหมื่นกว่าหยวน ว่าแต่เธอ น่าจะพอใจนะ สถานะของเธอในตอนนี้ สวมสร้อยทองถือว่าหรูเหมาะแล้ว” ลู่เวยชี้ไปที่สร้อยทองเส้นหนึ่ง วางท่าแบบมีอำนาจ ที่ช่วยจัดเตรียมให้จางฉีโม่
หลินอิ่งหัวเราะขึ้นมา มองไปยังพนักงานขาย พูดว่า: “สร้อยเส้นที่แพงที่สุดของพวกคุณคือเส้นไหน เอาออกมา