ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่140 ขอร้องท่านหลินเหลือสักชีวิตให้ตระกูลหวาง

บทที่140 ขอร้องท่านหลินเหลือสักชีวิตให้ตระกูลหวาง

บทที่140 ขอร้องท่านหลินเหลือสักชีวิตให้ตระกูลหวาง

ทุกคนในตระกูลหวางต่างไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

ไม่เข้าใจเลย ทำไมไอ้ลูกเขยระยำอย่างหลินอิ่งแห่งเมืองชิงหยูน ถึงได้มีทักษะยอดเยี่ยม และดูทรงพลังได้เท่านี้

หลินอิ่งเหลือบมองคนตระกูลหวางที่คุกเข่าก้มหัวอยู่ แล้วพูดนิ่งๆ: “ผมไม่หวังงว่าเรื่องวันนี้จะเผยแพร่ออกไป และก็ไม่อยากเห็นสองพ่อลูกตระกูลหวางกับสองสามีภรรยาจางหงอี้อีก เสิ่นซาน ต่อไป คุณจัดการละกัน”

พูดจบ หลินอิ่งก็จูงมือจางฉีโม่ ค่อยๆออกไปจากตระกูลหวางห้องโถง

ในห้องโถงตระกูลหวางก็เงียบไร้เสียงใดๆ สีหน้าทุกคนต่างมีความตกใจปรากฏออกมา

“ฉีโม่ รอเดี๋ยวค่อยไป ฉันคือน้ารองคุณนะ ขอร้องล่ะ ให้หลินอิ่งปล่อยฉันไป!”จางหงอี้ร้องไห้เสียงดัง ไม่หยุดก้มหัวขอโทษ“ขอโทษนะ ฉีโม่ เมื่อก่อนอาสองตาบอด กล้าว่าคุณ ฉันผิดไปแล้ว อีกอย่างหลินอิ่ง ไม่สิ ท่านหลิน ฉันผิดมหันต์จริงๆ!ให้อภัยฉันเถอะ!”

“ใช่ ท่านหลิน ฉีโม่ พวกคุณเห็นแก่หงอี้ ปล่อยเราเถอะ!”หวางโจงก็ก้มหัวขอร้อง ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ไม่มีท่าทีหยิ่งผยองอีกต่อไป

พวกเขาสองสามีภรรยาตกใจจนขี้ขลาด ไม่อยากจะเชื่อจริงๆ หลินอิ่งไอ้ลูกเขยระยำที่ก่อนหน้านี้ถูกพวกเขาดูถูก จู่ๆก็มีความแข็งแกร่งและพลังขนาดนี้

จู่ๆแม้แต่เสิ่นซานก็ยังเป็นลูกน้องเขา แม้แต่คุณท่านตระกูลตัวเองยังคุกเข่าขอโทษ

เขาเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์มาจากไหน?

“หึ”จางฉีโม่หัวเราะอย่างเย็นชา ไม่หันหน้าสักนิด

จางฉีโม่เป็นผู้หญิงที่อ่อนโยน แต่ จางหงอี้ที่เอาแต่เยาะเย้ยตัวเองบ่อยๆนี้ จู่ๆก็กระตุ้นหวางจื่อเหวินก็มีความคิดที่ร้ายกาจแบบนั้นต่อตัวเอง ให้อภัยไม่ได้!

หลินอิ่งกับจางฉีโม่ออกไปจากตระกูลหวาง ท่ามกลางความตกใจและหวาดกลัวของทุกคน

คนตระกูลหวางที่เหลือ ต่างมีสีหน้าขมขื่น มองเสิ่นซานกับสามพี่น้องหลิวจุนอย่างตะลึง

“ท่านสาม ท่านดูสิ เรื่องนี้ช่วยพวกเราขอร้องท่านหลินได้ไหม?”หวางเฉิงเต้าพูดอย่างขมขื่น

“ขอร้อง?เหอะๆ ท่านหวาง คุณสับสนเหรอ?”เสิ่นซานหัวเราะอย่างเยือกเย็น

พวกคนไม่ดูตาม้าตาเรือกล้าไปทำให้ท่านหลินขุ่นเคือง ตายไปก็สมควรแล้ว

“ท่านหลินบอกแล้ว เรื่องที่เกิดวันนี้จะเผยแพร่ออกไปไม่ได้ หวางเฉิงเต้า คุณว่า ผมควรจะทำยังไง?”เสิ่นซานมองหวางเฉิงเต้าอย่างมีเลศนัย

“โอ้ย!”หวางเฉิงเต้าตกใจแทบตาย“ขอร้องล่ะคุณไว้ชีวิตให้ตระกูลหวางเถอะนะ!เหลือสักชีวิตให้ตระกูลหวาง”

“คำพูดของท่านหลิน คุณน่าจะได้ยิน ท่านหลินไม่อยากเห็นคุณสองสามีภรรยาหวางโจง และก็ไม่อยากเห็นสองพ่อลูกหวางกั๋วคางอีก”เสิ่นซานพูดอย่างเยือกเย็น“หวางเฉิงเต้า คุณว่า ควรทำอย่างไร?”

“ท่านสาม ไม่ต้องรบกวนให้ท่านออกแรง ผมจัดการเรื่องนี้เอง!”หวางเฉิงเต้าได้สติขึ้นมาทันที พูดขอร้องอ้อนวอน

เสิ่นซานได้แต่มองหวางเฉิงเต้าเหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม

หวางเฉิงเต้าลุกขึ้น พูดอย่างแรง:“หวางกั๋วคาง หวางจื่อเหวิน จางหงอี้ หวางโจง พวกคุณทั้งสี่!รีบไสหัวไปจากตระกูลหวาง ผมจะระงับทรัพย์สินทั้งหมดที่เป็นชื่อพวกคุณ ยึดสมบัติทรัพย์สินทุกอย่างของพวกคุณคืน!ประกาศไปในแวดวงคนดังของเมืองชิงหยูน ว่าพวกคุณสองคนไม่ใช่คนของตระกูลหวางอีก!”

“ได้ยินไหม!อีกอย่าง เรื่องวันนี้ถ้าปล่อยข่าวรั่วไหล ไม่ต้องรบกวนให้ท่านหลินกับท่านสามลงมือ ผมจะเอาพวกคุณตายก่อนเอง!”หวางเฉิงเต้าพูดอย่างโหดเหี้ยม

“เหอะ คุณท่านหวางโหดพอยัง”เสิ่นซานพูดอย่างชิลๆ“ผมจะพูดเสริมให้พวกคุณอีกอย่าง พวกคุณทั้งสี่ฟังให้เข้าใจ!เมืองชิงหยูน จะไม่มีที่ของพวกคุณอีก ไม่มีบริษัทไหนรับพวกคุณเข้าทำงานทั้งนั้น พวกคุณ ได้แค่ขอทานข้างถนนเท่านั้น!เข้าใจชัดเจนไหม?ถ้ากล้าไปจากเมืองชิงหยูน ก็ตายทันที!”

“นี่!นี่มัน!”

พวกหวางกั๋วคางทั้งสี่คนหน้าซีดขาว เหมือนกับ ท้องฟ้าถล่มลงมา หน้าซีดขาอ่อนปวกเปียกที่พื้น

ใจร้ายมาก!

เดิมที พวกเขาสี่คนเคยใช้ชีวิตอย่างร่ำรวย ชีวิตที่ยากจนก็รับไม่ได้ จู่ๆคุณท่านก็ตัดความสัมพันธ์ด้วย เรียกคืนทรัพย์สมบัติ แล้วยังประกาศต่อภายนอกอีก?

แล้วจะใช้ชีวิตอย่างไรต่อไป นี่มันตกนรกมาจากสวรรค์จริงๆ!

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสองพ่อลูกหวางกั๋วคางนั้นใจสลายยิ่งกว่า สีหน้าซีดขาว ไม่เพียงแต่ถูกทำร้ายรากเหง้าชีวิต แต่ทุกอย่างที่มีก็ถูกพรากไป ไม่มีสถานะ ครอบครัวก็ไม่มีอีกแล้ว แม้แต่งานก็ไปหาไม่ได้ ได้แต่ขอทานข้างถนน ……

นี่มันน่าเสียใจซะยิ่งกว่าฆ่าพวกเขาอีก!

ทั้งหมดนี้ จู่ๆแค่เพราะว่า ทำให้หลินอิ่งที่ถูกเรียกว่าไอ้ลูกเขยสวะนั่นขุ่นเคือง?

“เข้าใจหรือยัง?พวกคุณน่ะ?”เสิ่นซานมองไปที่หวางกั๋วคางอย่างเย็นชา

“สัตว์เดรัจฉานอย่างพวกคุณ กล้าทำให้ท่านหลินขุ่นเคือง พวกคุณมันสมควรแล้ว รีบไสหัวไป!”หวางเฉิงเต้าพูดด้วยความโมโห“ยังไม่ก้มหัวขอโทษท่านสามอีก ขอบคุณที่ท่านสามไว้ชีวิตสัตว์เดรัจฉานอย่างพวกคุณ!”

“ขอบ……คุณท่านสาม”

พวกหวางกั๋วคาง แววตาคู่นั้นเหม่อลอย เหมือนกับเสียจิตวิญญาณไป น้ำตาไหล คุกเข่าก้มหัวลง

“บอดี้การ์ด เอาคนพวกนี้ออกไปจากตระกูลหวาง ถ้ากล้ามาตระกูลหวางอีก ก็ทำพวกเขาให้ตายไปเลย”หวางเฉิงเต้าพูดอย่างร้ายกาจ

เสียงดังโครม บอดี้การ์ดตระกูลหวางพุ่งเข้ามา ลากพวกหวางกั๋วคางออกไป พาออกไปจากตระกูลหวาง สีหน้าพวกเขาซีดขาว ไม่รู้ว่าต่อไปจะใช้ชีวิตอย่างไร เผชิญหน้ากับผู้ที่เคยขุ่นเคืองมาก่อน จะแก้แค้นอย่างไร!

เสิ่นซานหัวเราะอย่างเยือกเย็น ไม่พูดอะไรอีก พาสามพี่น้องหลิวจุนออกไปจากตระกูลหวาง เตรียมรายงานท่านหลิน

พอรอเสิ่นซานออกไป หวางเฉิงเต้าก็ถอนหายใจยาวๆ ประสานมือทั้งคู่ สั่นทั้งตัว

“เฉิงเฉียน ต่อไป ตระกูลหวางก็ให้คุณดูแล ผมแก่แล้ว”หวางเฉิงเต้าพูดอย่างอาลัยตายอยาก จู่ๆก็คิดอะไรขึ้นได้“อีกอย่าง หงหลิงไม่ใช่ว่ามีมิตรภาพกับหลินอิ่งเหรอ คุณกลับไปทักทายเธอหน่อย แต่จะเปิดเผยข่าวใดๆไม่ได้!ให้หงหลิงต้องทำทุกวิถีทาง ประจบหลินอิ่ง!เข้าใจไหม?อนาคตของตระกูลหวางจะเป็นจะตายอย่างไร อยู่ที่ตัวหงหลิง ดูว่าเธอจะประจบหลินอิ่งได้แค่ไหน!”

……

ส่วนอีกด้าน หลินอิ่งกับจางฉีโม่ออกมาจากลานกว้างตระกูลหวาง นั่งอยู่บนรถ กลับไปที่วิลล่าหิมะมังกร

“หลินอิ่ง สรุปคุณทำยังไงให้คนใหญ่โตอย่างเสิ่นซาน ยอมคุณได้ขนาดนี้?”จางฉีโม่ถาม

วันนี้ เธอถึงเข้าใจอย่างแท้จริง สามีของตัวเอง มีความสามารถและพลังมากแค่ไหน!

แม้แต่ตระกูลหวางแห่งเมืองชิงหยูนต่างจัดการอย่างราบเรียบ!พูดออกไปก็กลัวว่าจะไม่มีใครเชื่อ!

“ที่จริง ผมแข็งแกร่งมาก”หลินอิ่งหัวเราะเบาๆ

จางฉีโม่กัดปากเบาๆ พูด:“ฉันรู้แล้ว”

ก่อนหน้านี้ก็สงสัย หลินอิ่งท่าทางดูไม่ธรรมดา แต่คิดไม่ถึงว่า หลินอิ่งที่แท้จริง จะแข็งแกร่งขนาดนี้ ก็แค่ เธอไม่เข้าใจ ทำไมก่อนหน้านี้หลินอิ่งไม่เปิดเผยมาก่อน?เพราะว่าเขามีความลับที่สำคัญมากเหรอ?

จางฉีโม่คิด ยังไงซะ แค่หลินอิ่งชอบตัวเองก็พอแล้ว เขาสุดยอดตั้งมากมายแค่ไหน มีความลับอะไร ก็ไม่จำเป็นต้องถาม

ติ๊ดติ๊ด

เวลานี้ โทรศัพท์หลินอิ่งก็ดังขึ้น

เป็นนิ่งจองเป่าโทรมา

“ผู้อาวุโส ขอโทษจริงๆ ก่อนหน้านี้ก่อนหน้านี้ล้วนแต่เป็นความผิดของลูกน้อง!”นิ่งจองเป่าพูดด้วยน้ำเสียงเคารพ พูดอย่างหวาดกลัว

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท