ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 141 คุณคู่ควรเหรอ?

บทที่ 141 คุณคู่ควรเหรอ?

บทที่ 141 คุณคู่ควรเหรอ?

“ผู้อาวุโสใกญ่ ไม่ทราบยังต้องการให้กระผมทำอันใดอีกหรือไม่?” หนิงจองเป่าเห็นหลินอิ่งไม่พูดจา ก็รู้สึกหวั่นใจขึ้นมา

พอที่จะรู้ว่า ตอนที่นิ่งชวนพูดถึงฐานะของหลินอิ่งเป็นผู้อาวุโสออกมา หนิงจองเป่าก็ใจหาย รีบโทรไปสอบถามกู่ชางไห่ ต้องไปพิสูจน์หลักฐานคุณท่านนิ่งไท่จี๋ที่ไหน สุดท้ายที่ได้ข่าวมาก็เป็นเช่นนี้จริงๆ

ขณะเดียวกันใจก็หล่นไปที่ตาตุ่ม ทำเรื่องงี่เง่าอะไรลงไป ที่ไปช่วยหวางเฉิงเต้าหมาแก่ที่ไม่รักตัวกลัวตายพรรค์นั้น ไปเล่นงานผู้อาวุโส?

ฉะนั้น หนิงจองเป่าจึงกระวีกระวาดไปหานิ่งชวนถามเบอร์ติดต่อของหลินอิ่งด้วยความสุภาพ ประจบสอพลอไม่หยุด ยิ่งกว่านั้นก็ไปข่มขู่คุกคามหวางเฉิงเต้า

“นิ่งชวนถูกเอาตัวไปอยู่ไหน?” หลินอิ่งถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

นิ่งชวนทำงานให้เขาด้วยความจงรักภักดี จะให้เขาต้องถูกกดขี่ไม่ได้

“ท่านผู้อาวุโสวางใจได้ ทางนิ่งชวน ผมจะจัดแจงเขาอย่างดี! ตอนนี้นิ่งชวนอยู่ที่ตี้จิง ผมให้เขาเป็นประธานกรรมการภายใต้บริษัทในเครือตระกูลนิ่ง ไม่ด้อยไปกว่ากิจการของตุงไห่แน่” นิ่งจงเป่าพูดด้วยความเคารพ ปาดเหงื่อที่ศีรษะ

คิดในใจว่า เจ้านิ่งชวนนี่มันร้ายกาจจริงๆ รู้ฐานะของผู้อาวุโสแล้วไม่ยอมรายงาน นึกไม่ถึงว่าจะปิดบัง เอาความชอบกับผู้อาวุโส

ทำแบบนี้ กลับตำหนิอีกฝ่าย ที่ทำให้ตัวเองขี่หลังเสือตระกูลนิ่งลงไม่ได้

ว่าแต่ กำลังของนิ่งชวนก็มีแค่นั้น ตราบใดที่ทำผลงานได้ดี ก็ย่อมได้รับการยอมรับและชื่นชมจากอาวุโสท่านนี้

ในฐานะที่เป็นผู้นำรุ่นที่2ของตระกูลนิ่งแห่งเมืองตี้จิง นิ่งจองเป่าจึงรู้ว่าผู้อาวุโสเป็นตัวแทนของอะไร มีที่มาอย่างไร

เมื่อสิบกว่าปีก่อน ตระกูลนิ่งแห่งเมืองตี้จิงเกือบต้องสิ้นทั้งตระกูล ตอนนั้นเพราะนายท่านนิ่งไท่จี๋ได้เชิญผู้อาวุโสท่านก่อน เพียงผู้เดียวก็สามารถกู้สถานการณ์ ดึงตระกูลนิ่งให้พ้นจากขีดความตาย นับตั้งแต่นั้น ผู้อาวุโสท่านก่อนก็หายสาบสูญ แต่คุณท่านกลับตั้งคำสั่งสอนบรรพชนไว้ในตระกูล หากผู้สืบทอดของผู้อาวุโสท่านก่อนมาตระกูลนิ่ง ต้องต้อนรับนับถือให้เหมือนบรรพชนของตัวเอง!

“ฉันไม่อยากให้นิ่งชวนมาบอกฉันว่า เขามีปัญหาอะไร” หลินอิ่งพูดด้วยความเย็นชา

สำหรับนิ่งจองเป่าคนนี้ ไม่มีอะไรให้น่าประทับใจเลย

ไม่ว่านิ่งจองเป่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม จะรู้เรื่องหรือว่าไม่รู้เรื่อง พฤติกรรมของเขาล้วนมีส่วนเป็นเหตุให้ฉีโม่ถูกตระกูลหวางลักพาตัว

ถ้ากล้ากดขี่นิ่งชวนที่ทำงานให้เขา เช่นนั้นก็ต้องปราบเขาแล้ว

“ครับ ครับ ผู้อาวุโส วางใจได้ ทางนิ่งชวนผมจะดูแลอย่างดี อย่างไรเขาก็เป็นหลานชายแท้ๆ” นิ่งจองเป่าพูดพลางปาดเหงื่อ

“คืออย่างนี้ครับ ผู้อาวุโส ต่อไปถ้าคุณมีอะไร ก็โทรหาผมโดยตรงก็ได้” นิ่งจองเป่าพูดด้วยความนอบน้อม “นอกจากนี้ คุณท่านอยากเชิญผู้อาวุโสรำลึกความหลัง ถ้ามีโอกาส คุณท่านยินดีไปเมืองตุงไห่พบท่านด้วยตัวเอง”

หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรมาก

เคยพบนิ่งไท่จี๋ครั้งหนึ่งเมื่อสมัยเด็ก คุณท่านตระกูลนิ่งผู้นี้ก็มีฐานะสูงส่งในประเทศหลุง เทียบกับฉีเวิ่นติ่งคุณปู่ของเขา ก็เป็นข้าราชการรุ่นเดียวกัน เรียกได้ว่าไม่ต้องยอมกัน

เขาก็อายุปูนนี้แล้ว ยังจะมาตุงไห่หาเขาด้วยตัวเองอีก? หรือตระกูลนิ่งมีปัญหาอะไรที่จัดการไม่ได้

“ไปบอกคุณท่านนิ่งของเธอว่า ฉันอยู่ตุงไห่มีเวลาทุกเมื่อ” หลินอิ่งพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

คุณท่านนิ่งไท่จี๋อยู่ไกลโพ้นอยากจะพบเขา เช่นนี้ก็ควรให้เกียรติ คนผู้นี้มีความสนิทสนมกับอาจารย์ในสมัยนั้น

“ครับ! ผมจะเรียนนายท่านตามนี้ ขอบคุณผู้อาวุโสที่ให้เกียรติ เช่นนั้นไม่ขอรบกวนผู้อาวุโสท่านแล้ว” นิ่งจองเป่าพูดด้วยความนอบน้อม

เสียงมือถือดังติ๊ด หลินอิ่งวางสายลง หลับตาผ่อนคลาย

เรื่องของตระกูลนิ่งไม่ง่ายเช่นนี้แน่ เรื่องของเหวินเจียยังไม่ทันคลี่คลาย เรียกว่าคลื่นลูกแรกยังไม่สงบอีกลูกก็ถาโถมมา

ไม่นาน อู่เจิ้งก็ขับรถมาถึงวิลล่าหิมะมังกร เปิดประตูออก หลินอิ่งกับจางฉีโม่เดินกลับเข้าวิลล่า

พอกลับถึงวิลล่า เปิดประตูบ้าน คิ้วของหลินอิ่งขมวดเล็กน้อย มองดูห้องรับแขกที่เละเทะ มีรองเท้าแต่ละแบบเรียงรายอยู่ แล้วยังมีกลิ่นแปลกๆ ส่งผลต่อความหรูหราของที่นี่

โดยเฉพาะ พวกเฟอร์นิเจอร์สไตล์ตะวันตกในห้องรับแขกที่ดูแล้วไม่เข้ากันเลย ขัดตามาก

“ฉีโม่ เฟอร์นิเจอร์พวกนั้นที่ฉันซื้อมาไปไหนแล้ว?” หลินอิ่งถามขึ้นมา

“เธอหมายถึงพวกเฟอนิเจอร์ที่เอามาจากบ้านนอกเหรอ? ฉันทิ้งลงถังขยะไปตั้งนานแล้ว ของกะโหลกกะลา มาอยู่วิลล่าระดับสุพีเรียร์ขนาดนี้กับลูกสาวฉัน ยังจะซื้อเฟอร์นิเจอร์ราคาหลักร้อย”

เวลานี้เอง ก็มีเสียงแหลมทิ่มแทงก็ดังขึ้นมา

ลู่หย่าฮุ่ยแต่งตัวเต็มไปด้วยอัญมณี มองดูหลินอิ่งอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง

“หลายวันมานี้ไปมั่วสุมที่ไหนมา? เพิ่งกลับมาถึงก็ถามหาเฟอร์นิเจอร์? นึกไม่ถึงว่าจะมีหน้ามาถาม!” ลู่หย่าฮุ่ยพูดด้วยความเย่อหยิ่งว่า “ก็ดี ที่เธอกลับมา ฉันกับพ่อตาของเธอมีเรื่องจะปรึกษาเธอหน่อย”

“อ้อ คุณอา นี่ก็คือเศษสวะหลินอิ่งที่อาพูดถึงเหรอ?” ฉับพลัน เด็กสาววัยรุ่นนุ่งสั้นสีจัดจ้าน มองดูหลินอิ่งด้วยความดูถูก

“จึ๊ๆ น้ำหน้าอย่างคุณก็มีหน้าคบหากับพี่สาวฝ่ายแม่ของฉันเหรอ? พวกคุณสองคนเหมาะสมกันเหรอ? ไม่ดูตัวเองเลย ตั้งแต่หัวจรดเท้า ราคาเกิน500หยวนไหมเนี่ย?” เด็กสาววัยรุ่นส่งเสียงจึ๊ๆ พูดด้วยความประหลาดใจ

สีหน้าจางฉีโม่ดูไม่จืด พูดว่า: “ลู่เวย พูดจาช่วยระวังด้วยได้ไหม เขาเป็นพี่เขยเธอนะ”

“เชอะ พี่คะ ดูเขาสิ คู่ควรกับพี่เหรอ?” ลู่เวยยิ่งพูดจากำเริบเสิบสานใส่

ในเวลานี้เอง ก็มีเด็กหนุ่มแต่งตัวดูล้ำ ใส่ต่างหู หัวสีทองแนวอัลเทอร์เนทีฟ ท่าทางยโสเดินลงบันไดมา โอบหญิงสาวแนวอัลเทอร์เนทีฟไว้ในอ้อมอก สายตาเหยียดหยามมองดูหลินอิ่ง พูดว่า: “โอ้? พี่ครับ นี่ก็คือหลินอิ่งเหรอ? ดูเป็นเศษสวะจริงๆ เดี๋ยวนี้พี่รวยขนาดนี้ ทำไมยังเอาเศษสวะไว้ในบ้าน?”

“ลู่เสี่ยวเจี้ยน หุบปาก!” จางฉีโม่ดุขึ้นมา จากนั้นก็มองหลินอิ่งอย่างกระอักกระอ่วน

เธออธิบายด้วยเสียงเบาๆ ว่า: “หลินอิ่ง นี่เป็นญาติฝ่ายแม่ของฉัน น้องชายฝ่ายแม่กับน้องสาวฝ่ายแม่ ส่วนนั่นเป็นแฟนของน้องชายฝ่ายแม่ฉัน”

“ผมรู้แล้ว” หลินอิ่งมองลู่เวยกับลู่เสี่ยวเจี้ยนอย่างไร้สีหน้า

“เธอรู้อะไร? เธอไม่ดีใจหรือว่าเป็นอะไร? นี่เป็นวิลล่าที่ทางเครือบริษัทจัดให้ลูกสาวฉัน เกี่ยวอะไรกับคุณด้วย? ฉันอยากเชิญญาติมายังไงก็ได้” ลู่หย่าฮุ่ยพูดด้วยความเย็นชา แล้วก็มองไปทางจางฉีโม่ “ฉีโม่ ลูกจะไปอธิบายกับเขาให้มากความทำไม? ไม่ได้ไล่เขาออกไปอยู่อีกห้อง ก็ถือว่าดีแค่ไหนแล้ว”

“หลินอิ่ง อย่าออกฤทธิ์ ช่วยไว้หน้าฉันด้วย” จางฉีโม่กระซิบข้างหูหลินอิ่ง คว้ามือหลินอิ่งเอาไว้

เธอเคยเห็นหลินอิ่งระเบิดอารมณ์ที่ตระกูลหวางมากับตาแล้ว จางฉีโม่กลัวหลินอิ่งระเบิดอารมณ์ จนอัดพวกลูกพี่ลูกน้องเธอหัวแตกเลือดไหล

หลินอิ่งหัวเราะแล้วพูดว่า: “ไม่หรอกน่า ผมขึ้นข้างบนก่อนนะ ไว้ค่ำเราออกไปกินข้าวกัน ที่คราวนี้ทำให้คุณตกใจ”

จางฉีโม่พยักหน้าอย่างว่าง่าย

พูดเสร็จ หลินอิ่งก็เดินขึ้นไปชั้น3 ไม่มองลู่หย่าฮุ่ยกับญาติพวกนั้นแม้แต่หางตา

ตัวตลกพวกนี้ ไม่คู่ควรให้เขาต้องออกโรง

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท