ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 153 ถูกขวางทาง

บทที่ 153 ถูกขวางทาง

บทที่ 153 ถูกขวางทาง

ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น

หลินอิ่งกับกงซุนชิวอวี่ก็ได้เดินออกจากร้านชาหยูนยู่น โดยหลินอิ่งยังคงสีหน้าเรียบเฉย แต่กงซุนชิวอวี่กลับออกมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เธอพูดไปยิ้มไป ราวกับเพิ่งได้รับข่าวที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง

ภาพนี้ ทำให้บรรดาบอดี้การ์ดกับโจยู่ถานที่ยืนอยู่หน้าประตูถึงกับอึ้งตาข้างไปตามๆ กัน

นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย?

ตั้งแต่ลงจากเครื่องมา คุณหนูกงซุนก็เอาแต่ทำหน้าเย็นชา ทำตัวห่างเหิน แต่ทำไมตอนนี้เธอกลับมาทำหน้ากระตือรือร้นต่อหน้าเศษคนแบบนี้ด้วย?

มันมีคุณสมบัติอะไร? มันมีเสน่ห์ตรงไหน?

“คุณหนูกงซุนคะ คุณอยากไปเที่ยวไหนมั้ยคะ? ฉันรู้จักสถานที่ขึ้นชื่อของเมืองตุงไห่อยู่หลายที่เลย เดี๋ยวฉันพาคุณไป ไปเป็นไกด์ให้คุณนะคะ” โจยู่ถานพูดประจบประแจง

ไม่ต้องหรอก พวกเธอกลับไปได้แล้ว” กงซุนชิวอวี่พูดออกมาด้วยความรำคาญ

“ห๋า คุณหนูกงซุนคะ ฉันทำแบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ คุณท่านได้กำชับพวกเรามาแล้ว ว่าให้เราดูแลคุณอย่างเต็มที่ แถมคืนนี้เรายังได้จองอาหารชั้นเลิศที่โรงแรมชิงหยูนไว้แล้วนะคะ คุณควรให้เกียรติเราสักนิดนะคะ” โจยู่ถานพูดขึ้น จากนั้นเธอก็เหลือบมองหลินอิ่งด้วยสายตาที่เหยียดหยาม

“ที่สำคัญนะคะ คุณหนูควรรู้ไว้ว่า เมืองชิงหยูนที่ทั้งเล็กทั้งเน่าแห่งนี้ มีแต่พวกใจทราม คุณตัวระวังให้มากๆ นะคะ อย่าไปถูกพวกคนที่มีอะไรแอบแฝงหลอกเอาได้นะคะ” คำพูดของโจยู่ถานนั้นจงใจสื่อไปถึงคนๆหนึ่ง “ยกตัวอย่างเช่นหลินอิ่งคนนี้ เขามีชื่อเสียงที่ไม่ดีเอาซะเลย ไม่เพียงแค่เป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนของตระกูลจางแล้ว ได้ข่าวว่าเขายังชอบข้องเกี่ยวกับผู้หญิงไปทั่ว ชอบเขาหาผู้หญิงที่มีฐานนะ แล้วไปเกาะเขากิน คุณต้องระวังให้มากๆ เลยนะคะ”

พอกงซุนชิวอวี่ได้ยินอย่างนั้น เธอก็รู้สึกโกรธมาก เธอมองไปที่หลินอิ่งทีหนึ่งหลินอิ่งยังคงทำหน้าเรียบเฉย ตอนนี้เธอไม่มั่นใจแล้ว ไม่รู้ว่าพี่ชายจะโมโหจนระเบิดออกมารึเปล่า

“หุบปากเดี๋ยวนี้! ถ้ายังไม่หยุดฉันจะตบปากเธอ!” กงซุนชิวอวี่พูดด้วยความโมโห พร้อมกับชูมือขึ้น

ต่อให้วันนี้เธอจะไม่ได้มาขอให้หลินอิ่งไปช่วยรักษาให้คุณปู่ของเธอก็ตาม แค่ฐานะของหลินอิ่ง มีศักดิ์เป็นพี่ชายของเธอเลยนะ จะปล่อยให้ถูกคนที่ไม่เอาไหนแบบนี้มาด่าอย่างตามใจชอบได้ไง?

“ห๊ะ? คุณหนูคะ คุณอย่าเพิ่งโกรธนะคะ ฉันจะไม่พูดแล้วค่ะ” โจยู่ถานรีบหลบไป เธอกลัวแทบตาย กลับตัวเองจะถูกตบปาก

“ไสหัวไป อย่ามากวนฉันอีก” กงซุนชิวอวี่นั้นรู้สึกสุดทนกับคนอย่างโจยู่ถานแล้ว หลังสั่งสอนเสร็จ เธอก็ขึ้นไปนั่งบนรถไม่บัคของตัวเอง คนขับที่เป็นหญิงวัยกลางคนก็ได้สตาร์ทรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

หลินอิ่งเองก็เข้าไปนั่งตรงที่นั่งหลังคนขับเหมือนกัน บลื้น คนขับเหยียบคันเร่ง รถคันนั้นก็ถูกขับออกไปยังถนนที่แสนคึกคัก

“ไอ้คนไร้ค่านั่น! มันมีสิทธิ์อะไรถึงได้รับความไว้วางใจจากคุณหนูกงซุนขนาดนั้น? หน้าด้าน” โจยู่ถานโกรธจนต้องกระทืบเท้า

“เศษเดนอย่างมัน ช่างหน้าด้านหน้าทนเหลือเกิน แม้แต่คุณหนูกงซุนยังกล้าไปเกาะแกะด้วย สักวันฉันจะเอามันให้ตาย” โจตงที่อยู่ข้างๆ พูดด้วยสีหน้าที่ทั้งหึงทั้งอิจฉา เขาอยากให้คนที่ได้นั่งอยู่ในรถคันนั้นเป็นตัวเองมากๆ

ตั้งแต่ที่โจตงไปรับคุณหนูกงซุนมาจากสนามบินนานาชาติแห่งเมืองชิงหยูน เขาก็เอาใจเธออย่างเต็มที่ ให้การต้อนรับอย่างดี แต่เธอก็ยังไม่เคยทำหน้าดีๆ ให้เขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว มองยังไม่ยอมมองเลย เขายังคิดอยู่เลยว่าจะได้รับการยอมรับจากคุณหนูคนนี้หรือเปล่านะ

เขาคิดว่าตัวเองก็เป็นคนมีความสามารถที่หน้าตาดีคนหนึ่งเหมือนกัน แต่ทำไมเธอถึงไม่สนใจเขาเลย? ส่วนคนไร้ค่าอย่างหลินอิ่งกลับเข้าตาคุณหนูกงซุนซะอย่างนั้น ช่างไร้เหตุผลจริงๆ

“นี่ยู่ถาน เธอกับหวางหงหลิงสนิทกันอยู่ไม่ใช่เหรอ?” โจตงพูดด้วยแววตาที่เย็นชา “ได้ยินมาว่าหลินอิ่งกับหวางหงหลิงเป็นคู่นอนกันนี่ เธอเอาเรื่องนี้ไปบอกหวางหงหลิงสิ”

“ให้ไปบอกหวางหงหลิงเหรอ? แล้วมันจะไปมีประโยชน์อะไรเหรอคะ? คิดว่าหวางหงหลิงจะกล้าไปวุ่นวายกับกงซุนชิวอวี่รึไงกัน?” โจยู่ถานถามออกมาด้วยความสงสัย

“นี่เธอไม่เข้าใจเลยรึไง? คุณหนูกงซุนคงไม่อยู่ในเมืองชิงหยูนไปตลอดหรอกจริงมั้ย?” โจตงพูดด้วยแววตาที่แฝงด้วยความนัย “ด้วยนิสัยที่ชอบอาละวาดอย่างหวางหงหลิงนะ เธอไม่ได้เป็นเหมือนคุณหนูเอาแต่ใจอย่างคนทั่วๆ ไปหรอกนะ เธอมีคนที่ร้ายกาจอยู่ใต้บัญชา ไม่แน่เธออาจจะกล้าก่อเรื่องขึ้นในเมืองชิงหยูนเลยก็ได้ อย่างน้อยก็คงพอทำให้หลินอิ่งสูญเสียที่พึ่งไปได้”

“พอหลินอิ่งไม่มีที่พึ่ง พอกงซุนชิวอวี่กลับตี้จิงไปแล้ว เราก็สามารถเล่นงานไอ้เศษเดนนั่นได้ตามใจชอบแล้วไม่ใช่เหรอ? ระบายความแค้นในวันนี้ออกมาให้หมดจริงมั้ย? เป็นแค่เศษเดน ยังกล้ามาอวดเบ่งต่อหน้าเราอีก ไม่รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวบ้างเลย!” โจตงทำท่ามั่นใจในความฉลาดของตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม

“จริงด้วย! ฉันจะโทรหาหวางหงหลิงเดี๋ยวนี้เลยค่ะ บอกเธอว่า ผู้ชายที่เธอชอบกำลังทำเรื่องอะไรอยู่” โจยู่ถานพูดด้วยความสนุกสนาน

พวกเขาสองคนคิดว่า คนไร้ค่าอย่างหลินอิ่งกล้ามาดูถูกตระกูลโจแบบนี้ ก็เท่ากับรนหาที่ตายชัดๆ จำเป็นต้องสั่งสอนให้หลาบจำสักครั้ง แถมยังทำให้พวกเขาขาดโอกาสที่จะเข้าหาคุณหนูกงซุนไปหมดเลย!

ระหว่างที่พูด โจยู่ถานก็รีบต่อสายออกไปทันที

อีกด้านหนึ่ง หลินอิ่งกำลังนั่งพักสายตาอยู่ตรงที่นั่งหลังคนขับ

“พี่คะ พี่นี่ช่างรู้จักเสพสุขจริงๆ เลยนะคะ? แถมยังซื้อเกาะเทียมไว้ด้วย ฉันอยากเห็นจริงๆ เลยค่ะ ว่าโครงสร้างของมันเป็นยังไงบ้าง” กงซุนชิวอวี่พูดไปยิ้มไป

เมื่อกี้พอได้ฟังพี่ชายบอกว่า เขาได้ซื้อเกาะเทียมเกาะหนึ่งที่แม่น้ำชิงหยูนไว้ด้วยตัวคนเดียว แล้วยังบอกให้เธอไปพักที่เกาะนั่นตามลำพังอีก มันเป็นอะไรที่เหลือเชื่อมาก เป็นประสบการณ์การทัวร์ที่เยี่ยมมากๆ

“จริงสิ พี่คะ ได้ยินว่าพี่มีครอบครัวที่เมื่อชิงหยูนแล้วเหรอคะ? จริงรึเปล่าคะเนี่ย? เห็นเขาลือกันว่าพี่แต่งเข้าไปอยู่บ้านผู้หญิงด้วย สรุปนี่มันยังไงกันคะ?” กงซุนชิวอวี่ถามด้วยความสงสัย ต่อมเผือกได้ถูกกระตุ้นขึ้นแล้ว

หลินอิ่งค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วพูดว่า “เรื่องของฉัน เธอไม่ต้องถามให้มันมากนัก”

“ไม่ถามเรื่องของพี่แล้วก็ได้ ถ้าอย่างนั้นฉันขอถามเรื่องของพี่สะใภ้แล้วกันนะคะ ได้ยินว่าพี่สะใภ้ของฉันจางฉีโม่เป็นสาวงามที่มีชื่อเสียงของเมืองชิงหยูนเลยนี่ เมื่อไหร่พี่ถึงจะพาฉันไปหาเธอเหรอคะ?” กงซุนชิวอวี่ถามด้วยความสงสัย

เธอคิดว่า คนที่เหมาะสมจะยืนข้างพี่ชายนั้นต้องเป็นคนระดับนางฟ้าที่ลงมาจุติบนโลกแน่ๆ

“ต่อไปถ้ามีโอกาสเธอก็จะได้เห็นเองแหละ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา” หลินอิ่งตอบมาอย่สงเรียบเฉย

“ค่ะ” กงซุนชิวอวี่พยักหน้า

“ทางที่ดีช่วงนี้เธอควรอยู่แต่ในเกาะไปก่อน อย่าตะลอนไปทั่ว รอฉันจัดการตารางเวลาเสร็จแล้วฉันก็จะไปหานายท่านกงซุนกับเธอทันที” หลินอิ่งพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง

ตอนนี้เขาได้รู้จากปากกงซุนชิวอวี่แล้วว่า กงซุนฉงหลงนั้นไม่ได้อยู่ที่บ้านพักคนชราตี้จิง แต่เขาไปอยู่ที่บ้านเก่าในมณฑลเกาหยางแทน ส่วนเรื่องอาการป่วยของนายท่านก็ยังไม่ได้ถูกเผยแพร่สู่คนภายนอก มีเพียงแค่คนในตระกูลกงซุนไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เรื่อง

เดิมทีมณฑลเกาหยางนั้นก็เป็นรังเก่าของตระกูลกงซุนอยู่แล้ว เป็นกลุ่มเครือญาติขนาดใหญ่ที่คงอยู่มาเป็นร้อยปีตระกูลกงซุนที่อยู่ในมณฑลเกาหยางนั้นถือว่าไร้เทียมทานมากๆ มีอำนาจล้นฟ้า

แต่นายท่านกงซุนฉงหลงกลับถูกคนล้อบทำร้ายในมณฑลเกาหยางอย่างนั้นเหรอ? มันช่างเป็นเรื่องที่น่าสนใจจริงๆ

ในขณะที่ทั้งคู่กำลังคุยกันอยู่นั้นเอง ก็ได้มีเสียงรถที่ลากยาวดังขึ้น จู่ๆ ด้านหน้าก็มีรถสปอร์ตคันหนึ่งพุ่งมาขวางหน้าพวกเขาไว้ คนขับตกใจจนต้องเหยียบเบรกทันที

“เกิดอะไรขึ้น? นี่คุณขับรถประสาอะไรเนี่ย? มีใครเขาขับรถแบบนี้กันคิดจะชนกันรึไง?”

กงซุนชิวอวี่ลงจากรถไปด้วยอารมณ์ที่เกรี้ยวกราด แล้วเริ่มตำหนิรถคันที่มาขวางทาง

ทำเอาตกใจหมดเลย คนที่ขับรถคันนี้นี่ช่างบ้าบิ่นเหลือเกิน

บูกัตติ เวย์รอนคันสีแดงจอดขวางอยู่กลางถนนอย่างดูสง่า ไอ้หกไอ้เจ็ดลงมาจากรถ เปิดประตู หวางหงหลิงที่มีเสื้อแจ็คเก็ตสีแดงคลุมอยู่ มองมาที่กงซุนชิวอวี่ด้วยสีหน้าที่มั่นอกมั่นใจ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท