ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 156 คุณเป็นนักต้มตุ๋นมาจากไหน?

บทที่ 156 คุณเป็นนักต้มตุ๋นมาจากไหน?

บทที่ 156 คุณเป็นนักต้มตุ๋นมาจากไหน?

“คุณเป็นใคร? พาคนแปลกหน้ามากมายขนาดนี้เข้ามาในบริษัทเครื่องประดับจางซื่อกรุ๊ปของเรา แถมยังพูดจาใหญ่โต ต้องการอะไรกันแน่?” จางหงจูนมองหน้าเจียงฉีอย่างซีเรียส โดยที่ไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าซูนเหินนั้นตกใจจนฉี่ราดไปแล้ว

“ขะ เขาคือ……” ซูนเหินกระซิบกับจางหงจูนด้วยสีหน้าที่หวาดผวา

ทันใดนั้น สีหน้าของจางหงจูนก็เปลี่ยนไปทันที เขาจ้องมาที่เจียงฉีอย่สงไม่อยากจะเชื่อ

“คะ คุณคือเจียงฉีเหรอ?” จางหงจูนถามออกมาด้วยความตกใจ

“ฮึ” เจียงฉีขำออกมาอย่างไม่ชอบใจ และไม่ได้สนใจจางหงจูน เขาแค่จ้องมองไปที่ซูนเหินด้วยสายตาที่ไม่พอใจ “ซูนเหินคุณลืมที่ผมเคยบอกไปแล้วเหรอ? ทำไมถึงยังกล้ามาเสนอหน้าให้ผมเห็นอีก?”

“ผม……ขอโทษครับ ท่านประธานเจียง ผมผิดไปแล้ว ผมจะรีบออกไปเดี๋ยวนี้เลยครับ!” ซูนเหินตบหน้าตัวเองไปสองทีจากนั้นก็กลิ้งออกไปอย่างไม่รู้จักอาย

ล้อเล่นอะไรกัน ตั้งแต่ตีลังกาที่ฉินหยุนโล๋ พอซูนเหินเห็นหน้าเจียงฉีก็ราวกับเจอหน้าปู่แท้ๆ แม้แต่ลมยังไม่กล้าผายเลย

ก่อนหน้านี้ เจียงฉีเป็นแค่ผู้จัดการเล็กที่ซูนเหินสามารถเหยียดหยามได้ตามใจชอบ แต่ตอนนี้เขากลายเป็นคนที่บริหารกรุ๊ป Ocean ทุกคนต่างก็เรียกเขาว่า มหาเศรษฐีแห่งเมืองตุงไห่!

ไม่เพียงเท่านั้น เจียงฉียังมีคนร้ายกาจอย่างฉินฝู้กุ้ยคอยรับใช้อีก มันก็เท่ากับติดปีกให้เสือที่อยู่ในเมืองตุงไห่เข้าไปอีก ตอนนี้ในวงการของเมืองชิงหยูนนี้มีใครกล้าไปหาเรื่องเจียงฉีกัน?

ก่อนหน้านี้ซูนเหินเองก็เคยคิดที่จะไปเอาคืนเขาบ้าง โดยแอบทำอะไรลับหลัง แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า จนทุกวันนี้คุณท่านซูนยังเตือนเขาอยู่เลยว่าอย่าพาศัตรูที่น่ากลัวเข้าบ้านอีก

โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงฉินหยุนโล๋ยิ่งเป็นการทำให้ชื่อเสียงของเขาเสื่อมเสียมากขึ้นไปอีก มันทำให้ตำแหน่งในตระกูลซูนลดลงไปอย่างมาก จนไม่หลงเหลืออำนาจของคุณชายใหญ่แห่งตระกูลซูนเลยแม้แต่นิดเดียว

“หยุดอยู่ตรงนั้น!” เจียงฉีพูดด้วยความโมโห แล้วพุ่งเข้าไป ป้าบๆๆ ตบหน้าซูนเหินไปหลายที ทำเอาทุกคนในห้องต่างพากันตะลึงไปหมด

“ซูนเหิน เมื่อกี้คุณพูดจาไม่ให้เกียรติประธานจางใช่มั้ย? อยากตายใช่มั้ย?” เจียงฉีถามอย่างไม่พอใจ

ใบหน้าของซูนเหินกลายเป็นรอยแดงห้านิ้วไปแล้ว เขาเอามือกุมหน้าอย่างไม่มีทางเลือก ยังไม่ทันที่จะได้พักหายใจหลิวจุนก็พุ่งเข้ามาเตะเข้าที่เข่าของเขา จนเขาต้องคุกเข่าลงทันที

“คุกเข่าขอโทษประธานจางเดี๋ยวนี้” หลิวจุนพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์

“ห๋า? ขอโทษครับ ผมผิดไปแล้ว ท่านประธานจาง ผมมันปากเสีย ผมจะไม่พูดแบบนั้นอีกแล้วครับ” ซูนเหินพูดด้วยน้ำตา พร้อมกับเสียงหัวที่กระทบพื้นถี่ๆ

ภาพเหตุการณ์นี้ ทำให้ทุกคนในออฟฟิศต่างตะลึงกันหมด จางฉีโม่มีอำนาจและความสามารถมากขนาดนี้เลยเหรอ? ถึงขั้นสามารถเชิญมหาเศรษฐีที่มีชื่อเสียงของเมืองตุงไห่ให้มาด้วยตัวเองแบบนี้ แถมเจียงฉียังทำตัวเหมือนเป็นลูกน้องใต้บัญชาของเธออีก?

มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้วจริงมั้ย?

ทุกคนต่างพากันจ้องไปที่นัยน์ตาของจางฉีโม่ สายตาทุกคู่เต็มไปด้วยความยำเกรงและหวาดกลัว กลัวว่าการที่ดูถูกจางฉีโม่ไปเมื่อกี้จะทำให้เธอหันมาเอาคืนกับเรื่องนั้น

ตอนนั้นจางฉีโม่กำลังรู้สึกสบายใจมาก ตั้งแต่ที่เธอถูกเตะออกจากภาคส่วนของประธานไป แล้วหวาดกลัวกับการที่ถูกคนลักพาตัวไปอีก ตอนนี้ทุกอย่างได้ถูกระบายออกมาอย่างสมใจแล้ว

เธอคิด หลินอิ่งนั้นกว้างขวางกว่าที่ตัวเองคิดไว้มาก สามารถเรียกตัวคนอย่างเจียงฉีมาได้อย่างง่ายดาย นี่เขาทรงอิทธิพลขนาดไหนกันนะ?

เมื่อไม่นานนี้ ตอนที่เธอกับหลินอิ่งไปร่วมงานแต่งของซูนเหิน กับนิทรรศการเครื่องประดับ แล้วถูกสองคนนี้ใช้เงินกดดันจนทำให้อับอายอย่างหนัก พวกเขาคงไม่เคยคิดสินะว่าจะมีวันนี้?

“ซูนเหิน ไสหัวไปซะ ต่อไปก็หัดพูดเพราะๆ บ้าง!” จางฉีโม่ทำเสียงเคร่งขรึม ไม่มีผู้หญิงคนไหนชอบใจเมื่อโดนดูถูกแบบนั้นหรอก

“ครับ! ผมทราบซึ้งในน้ำใจของท่านประธานกรรมการจางมากเลยครับ ผมจะไสหัวไปเดี๋ยวนี้เลยครับ!” ซูนเหินรีบกลิ้งออกนอกห้องไปทันที

เจียงฉีหันมามองพวกจางหงจูนด้วยสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ซูนเหินก็กลิ้งออกไปแล้ว จากนี่พวกคุณยังแน่ใจที่จะต่อต้านผมอีกมั้ย?”

ตอนนี้เจียงฉีกำลังรู้สึกสะใจมาก เขารู้สึกทราบซึ้งในตัวท่านหลินมาก ถ้าไม่ได้ท่านหลินคอยสนับสนุนละก็ชีวิตนี้เขาคงไม่มีทางที่จะได้มายืนอยู่ในจุดนี้ได้หรอก พลิกตัวขึ้นมาเป็นนายคน แม้แต่คนที่เคยเหยียดหยามตัวเองอย่างซูนเหิน ยังถูกตัวเองตบหน้าเป็นว่าเล่นจนดิ้นเป็นปลาเลย

แทนคุณหรือแก้แค้น ทุกอย่างอยู่ในมือเรา ความรู้สึกแบบนี้เชื่อว่าผู้ชายทุกคนต่างก็คงอยากได้ ช่างมีวาสนาจริงๆ ที่มีโอกาสได้มาทำประโยชน์ให้ท่านประธานหลินแบบนี้

โดยเฉพาะวันนี้ ที่ได้มาช่วยคุณนายหลินทำงาน ทำให้คุณนายหลินรู้สึกพอใจ ต่อไปถ้าได้เจอหน้าประธานหลินก็คงจะบทบาทมากขึ้นบ้าง

“คะ คุณคือเจียงฉีจริงๆ เหรอ?” จางหงจูนทำหน้าร้อนรน จางหงซวนกับลูกชายก็หันมาจ้องตากันด้วยสีหน้าที่หวาดวิตกได้แต่ยืนมองซูนเหินกลิ้งออกไปอย่างตาละห้อย

จางฉีโม่ตัวเล็กๆ ทำยังไงถึงทำให้คนระดับเจียงฉีให้ความเคารพมากขนาดนี้?

เจียงฉีนั้นได้มีชื่อขึ้นมาเพราะการชนะในครั้งเดียวที่เขตเหนือของเมือง เขายึดทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลซูนมาเป็นของตัวเอง กดดันจนทำให้ตระกูลซูนไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมาได้อีก

คราวก่อน เพื่อที่จะช่วยจางจี้หนิงกลับมา จางหงจูนต้องยอมเสียน้ำพักน้ำแรงที่สะสมมาจ่ายไปห้าสิบล้านเพื่อช่วยซูนเหินใช้หนี้กว่าร้อยล้าน ถึงสามารถช่วยลูกสาวกลับมาได้ มาคิดดูแล้ว นั่นมันเป็นกับดักที่คิดออกมาจากจิตใจที่ดำมืดมาเลยนะ เจียงฉีคนนี้ช่างโหดร้ายเหลือเกิน

“ท่านประธานเจียงครับ คือ เราไม่รู้ว่าเป็นคุณ ถึงได้เสียมารยาทไป ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ครับ” จางหงจูนกับจางหงซวนและลูกชายต่างก็ขอโทษขอโพยด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ส่วนแววตานั้นกำลังหวาดกลัวอย่างมาก

ด้วยอำนาจที่พวกเขามีตอนนี้ คนที่เป็นถึงมหาเศรษฐีของเมืองตุงไห่อย่างเจียงฉีนั้นสามารถบี้พวกเขาให้ตายเหมือนมดด้วยมือเดียวได้อย่างง่ายดายเลยล่ะ

“เสียมารยาทกับฉันเหรอ? ขอโทษฉันเหรอ?” เจียงฉีขำอย่างไม่สบอารมณ์ “ต้องขอโทษประธานกรรมการจางโน้น ไม่เข้าใจรึไง?”

พวกจางหงจูนต่างพากันตะลึงไปในทันที และตั้งตัวไม่ทัน

เพรี๊ยะๆๆ

หลิวจุนพุ่งเข้ามาตบหน้าคนทั้งสามอย่างรวดเร็ว ทำเอาทั้งสามถึงกับล้มจั้มเบ้าลงพื้น เอามือกุมหน้าที่เจ็บปวดพร้อมกับร้องออกมา

“พวกคุณไม่ได้ยินรึยังไง? ขอโทษประธานกรรมการจางเดี๋ยวนี้!” หลิวจุนพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์

คนทั้งสามารถทำหน้าไม่เต็มใจเป็นอย่างยิ่ง เอามือบีบจมูกแล้วสูดหายใจเข้า จากนั้นก็กล่าวขอโทษด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างไม่ขาดสาย

“พวกคุณดูนี่ซะ นี่คือสัญญาที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ทั้งหมด” เจียงฉีพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง กวักมือให้ทนายเอาเอกสารกฎหมายตั้งหนึ่งมาให้คนทั้งสามดู

ระหว่างที่อ่าน สีหน้าของคนทั้งสามก็เดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีด ขายหน้ายังพอว่า แม้แต่ทรัพย์สินที่ตัวเองถืออยู่ยังถูกซื้อไปแล้ว นี่พวกเขาต้องเสียสิทธิ์ในการถือหุ้นของบริษัทเครื่องประดับจางซื่อกรุ๊ปไปอีกแล้วเหรอ? นี่มันคือถุงเงินถุงโตเลยนะ!

มันช่างนึกไม่ถึงจริงๆ จางฉีโม่ไปยืมเงินมากมายขนาดนี้มาจากไหน เพียงอึดใจเดียวก็สามารถซื่อกิจการเกินครึ่งของบริษัทเครื่องประดับจางซื่อกรุ๊ปไปได้?

พอคิดว่าต่อไปต้องเรียกจางฉีโม่ว่าท่านประธานกรรมการทุกวัน ต้องขอข้าวเธอกิน หัวใจมันก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาทันที

“ท่านประธานจางครับ จางซื่อกรุ๊ปนั้นเป็นกิจการของตระกูลหวาง คุณควรจะไปบอกกับเขาสักหน่อยไหมครับ?” จางหงจูนพยายามรวบรวมความกล้าแล้วถามออกมา

“หึ คุณก็ลองโทรไปถามที่บ้านตระกูลหวางดูสิ” จางฉีโม่ตอบมาอย่างไม่สบอารมณ์

ตูดๆๆๆ จางหงจูนรีบโทรหาหวางกั๋วคางพ่อลูกทันที ไม่มีใครรับสายเลย แล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป

“จางหงจูน พวกคุณรีบแจ้งไปที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ทั้งหมดว่าจะมีการประชุมของคณะกรรมการ” จางฉีโม่สั่งการอย่างสมภาคภูมิ จากนั้นก็เดินเข้าไปที่ห้องประชุมของคณะกรรมการ หลิวจุนที่รับบทเป็นบอดี้การ์ดก็ได้เดินตามเธอไป

จางหงจูนต่อสายด้วยความขมขื่น ส่วนจางเถียนไห่กับพ่อยิ่งหน้าซีดหนักขึ้นไปอีก พวกเขารู้สึกไม่พอใจมาก

…;

ในอีกด้านหนึ่ง ที่มณฑลเกาหยาง

ณ สนามบินนานาชาติเกาโจว ประจำมณฑลของเมืองเกาเทียน หลินอิ่งกับกงซุนชิวอวี่ค่อยๆ เดินลงจากเครื่องมา ได้มีรถเบนท์ลีย์มอเตอร์ส ลิมิเทดขบวนหนึ่งมารอรับอยู่แล้ว

หลินอิ่งมองไปยังทิวทัศน์ของเมืองเกาเทียนที่อยู่ไม่ไกล ดูจะยิ่งใหญ่กว่าเมืองชิงหยูนสินะ ยังไงเมืองนี้ก็ถูกจัดอยู่ในท็อปสิบของประเทศหลุงอยู่แล้วนี่ ถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นมณฑลเหมือนกัน แต่ที่นี่ก็ดูมีระดับกว่าเมืองชิงหยูนไปอีกขั้น

เขาเป็นคนที่ทำงานต้องเนียบและรวดเร็ว ตอนนี้งานที่เมืองชิงหยูนเขาได้มอบหมายให้คนอื่นไปหมดแล้ว และรีบมากับกงซุนชิวอวี่ทันที เพื่อหวังว่าจะสามารถจัดการกับเรื่องของนายท่านกงซุนให้เร็วที่สุด

“Hi? ชิวอวี่ มาแล้วเหรอครับ? ได้ยินว่าคุณไปเชิญหมอวิเศษคนหนึ่งมา เขาอยู่ไหนเหรอครับ?” ชายหนุ่มที่ใส่สูทอย่างสง่าคนหนึ่งกล่าวทักทายกงซุนชิวอวี่ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

“ฉันขอแนะนำให้รู้จักนะคะ นี่คือหลินอิ่ง เป็นหมอวิเศษที่ฉันเชิญมาจากเมืองชิงหยูนค่ะ” กงซุนชิวอวี่พูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง

ชายหนุ่มจ้องเขม็งมาที่หลินอิ่งด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยชอบใจนัก แววตาเต็มไปด้วยความดูถูก สินค้าราคาถูกแบบนี้ที่อายุน้อยแบบนี้ ขนยังขึ้นไม่ครบเลยมั้งยังมีหน้ามาเรียกว่าหมอวิเศษอีก?

“ผมว่านะ คุณชื่อหลินอิ่งใช่มั้ย? มีแค่ชิวอวี่เท่านั้นแหละที่จะหลงเชื่อคำพูดของคุณ ยังมีหน้ามาเรียกตัวเองว่าหมอวิเศษอีก? คุณเป็นนักต้มตุ๋นที่มาจากไหน?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท