ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 154 ใครเป็นคนอนุญาตให้คุณมาที่จางซื่อกรุ๊ปกัน?

บทที่ 154 ใครเป็นคนอนุญาตให้คุณมาที่จางซื่อกรุ๊ปกัน?

บทที่ 154 ใครเป็นคนอนุญาตให้คุณมาที่จางซื่อกรุ๊ปกัน?

“เธอเป็นใคร? จงใจขับรถมาขวางแบบนี้ยังไม่รีบขอโทษอีก?” กงซุนชิวอวี่ถามด้วยความโมโหพร้อมกับจัดแว่นไปด้วย

หวางหงหลิงขำออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ แววตาเต็มไปด้วยเปลวเพลิง พิจารณากงซุนชิวอวี่ตั้งแต่หัวจรดเท้า

จากนั้นก็จ้องเขม็งไปที่หลินอิ่ง เธอกำหมัดแน่น เหมือนกำลังรู้สึกโกรธมาก

หลินอิ่งลงจากรถด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย

“หวางหงหลิง คุณล้อเล่นหนักไปรึเปล่า? ขับรถแบบนี้เกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะทำยังไงครับ?” หลินอิ่งถามด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มลึก

หวางหงหลิงคนนี้นี่ช่างเป็นผู้หญิงที่บ้าบิ่นเหลือเกิน การที่เธอขับรถแบบนี้ ถ้าเกิดไม่ระวังจนรถทั้งสองคันชนเข้าด้วยกันละก็ ตัวเองยังไม่เท่าไหร่ แต่กงซุนชิวอวี่นี่สิจะทำยังไง จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเหรอ? ตัวเธอเองก็ไม่กลัวว่าตัวเองจะเป็นอันตรายเลยรึไง?

“เอ๋? พี่ชาย พี่รู้จักยัยบ้านี่ด้วยเหรอคะ?” กงซุนชิวอวี่ถามขึ้นด้วยความสงสัย แล้วหันมาสำรวจหวางหงหลิงอย่างละเอียดอีกครั้ง ไม่รู้ว่าในใจกำลังคิดอะไรอยู่

หรือเธอจะเป็นพี่สะใภ้? ไม่สิ เหมือนภรรยาของพี่ชายจะแซ่จางนะ แต่ยัยนี่ชื่อหวางหงหลิงนี่

แต่ว่า ดูๆ แล้วยัยนี่ก็สวยมากเลย รูปร่างก็เซ็กซี่ หรือเธออาจจะเป็นผู้หญิงที่อยู่นอกบ้านของพี่ชายก็ได้

ค่อนข้างเป็นไปได้เลยล่ะ เพราะต่อให้เป็นเทพบุตรอย่างพี่ฉีหยิ่นก็ตาม มันก็ยากที่จะถูกละเว้นเหมือนกัน

คิดไปคิดมา กงซุนชิวอวี่ก็มองมาที่หลินอิ่งด้วยรอยยิ้มที่ชวนสนุก

คราวก่อนที่ถูกหลินอิ่งปฏิเสธรักไป เธอก็ถูกคุณท่านสั่งกักบริเวณไว้ในวิลล่าตระกูลหวาง ความเดือดดาลในใจของหวางหงหลิงยังไม่ได้ถูกระบายออกมา แถมยังไม่กล้าแบกหน้าไปหาหลินอิ่งอีก จนตอนนี้เธอยังรู้สึกโกรธอยู่เลย

พอวันนี้โจยู่ถานโทรมาพูดเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างหลินอิ่งกับกงซุนชิวอวี่ เดิมทีก็รู้สึกคับแค้นใจอยู่แล้ว ทีนี้ความไฟโทสะที่อยู่ในใจก็ยิ่งเดือดดาลมากยิ่งขึ้นไปอีก ต่อให้เอาน้ำจากทั้งมหาสมุทรก็คงจะดับมันไม่ลงแล้ว เธอจึงรีบสั่งให้ไอ้ห้ากับไอ้หกให้เอาปืนมาด้วย จากนั้นก็มาขวางถนนเอาไว้แบบนี้

พอมาถึง แล้วเห็นกงซุนชิวอวี่ที่กำลังทำหน้าสนุกสนานอยู่ เธอก็ยิ่งโกรธขึ้นไปอีก!

“หึ!” หวางหงหลิงทำเสียงฮึดฮัด “หลินอิ่ง ไอ้คนหลอกลวง!”

“หลอกลวงเหรอ? ผมไปหลอกอะไรคุณครับ?” หลินอิ่งถาม เขารู้สึกไม่ค่อยเข้าใจนัก

“พี่คะ จริงเหรอคะเนี่ย? นี่มันความขัดแย้งภายในนี่นา?” กงซุนชิวอวี่เอามือปิดปากแล้วแอบขำ ไม่นึกเลยว่าพี่ฉีหยิ่นที่เป็นตำนานคนนี้ คนที่ถูกคุณหนูสูงศักดิ์มากมายในตี้จิงกับหญิงสาวอีกนับไม่ถ้วนยกย่องให้เป็นเทพบุตรของพวกเธอแบบเขา จะมีด้านนี้ให้เธอได้เห็นด้วย

ถ้าเอาเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ไปเล่าให้พวกกลุ่มแฟนคลับสาวๆ ของฉีหยิ่นในตี้จิงละก็ มันจะทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ขึ้นได้หรือเปล่านะ?

หวางหงหลิงโกรธจนกระทืบเท้า แล้วพูดว่า “คุณบอกว่าตัวเองนั้นมีคุณธรรมที่สูงส่งและน่าภูมิใจแค่ไหน หึ คราวก่อนที่ดื่มชากัน ยังมีหน้ามาปฏิเสธฉันอีก? แล้วตอนนี้ล่ะ พอเห็นคนที่มีอำนาจเข้ามา ก็รีบเข้ามาเกาะแกะทันที คุณนี่มันช่างไร้……”

พอพูดถึงตรงนี้ หวางหงหลิงก็พูดต่อไปไม่ไหวแล้ว มาคิดดูแล้ว ระหว่างเธอกับหลินอิ่งก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันเธอไม่ใช่ภรรยาของเขา จึงไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดแบบนั้นออกมา

“เธอคือ……” หลินอิ่งขมวดคิ้วเบาๆ แล้วพูดออกมาอย่างเรียบเฉยว่า “ผมไม่มีความจำเป็นต้องอธิบาย เรื่องนี่มันไม่เกี่ยวกับคุณ”

ถ้าเกิดบอกเรื่องที่กงซุนชิวอวี่เป็นลูกพี่ลูกน้องของต้องเองออกไป แบบนี้ฐานะที่แท้จริงของเขาก็จะถูกเปิดเผยไปด้วย

“ได้ ไม่เกี่ยวก็ไม่เกี่ยว” หวางหงหลิงพูดออกมาอย่างหนักแน่น จากนั้นก็มองไปที่กงซุนชิวอวี่ “หึ ได้ยินว่าเธอเป็นคนตระกูลกงซุนในตี้จิงเหรอ?”

“ถูกต้อง เธอรู้จักฉันด้วยเหรอ?” กงซุนชิวอวี่ถามด้วยความสงสัย เท่าที่เธอจำได้ เหมือนเธอจะไม่เคยรู้จักกับหวางหงหลิงคนนี้มาก่อนเลยนะ

หวางหงหลิงพูดขึ้น “เธอไม่รู้เหรอว่าหลินอิ่งเขามีภรรยาอยู่แล้ว?”

“รู้สิ” กงซุนชิวอวี่พยักหน้า

“นี่เธอ!” หวางหงหลิงโกรธจนพูดอะไรไม่ออก เธอถูกท่าทางที่ดูมีเหตุมีผลของกงซุนชิวอวี่ทำให้สำลัก

ไอ้หกไอ้เจ็ดที่อยู่ข้างๆ ก็อยากจะบอกกับคุณหนูว่าให้กลับเถอะ เพราะมันดูน่าขายหน้า ก็คำถามที่คุณหนูถามไป ทำไมถึงไม่ย้อนถามตัวเองก่อนละ? เฮ้อ ผู้หญิงที่ตกไปอยู่ในห้วงแห่งความรักแล้วนั้นก็ต้องสูญเสียสติไปด้วยสินะ

“ฉันขอเตือนไว้เลยนะ เธอรีบออกห่างจากหลินอิ่งเดี๋ยวนี้! ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือนแล้วกัน” หวางหงหลิงพูดด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน “อย่าคิดว่าเป็นตระกูลกงซุนวนตี้จิงแล้วร้ายกาจนะ ในเมืองชิงหยูนแห่งนี้ ฉันไม่สนหรอกว่าเธอเป็นใครมาจากไหน!”

เธอไม่สนใจหรอกนะว่ากงซุนชิวอวี่นั้นมาจากไหน ยังไงซะ ไม่ว่าผู้หญิงหน้าไหนก็ตามนอกจากก่อนที่ตัวเองจะรู้จักกับหลินอิ่ง ภรรยาของหลินอิ่งจางฉีโม่ คนอื่นก็ห้ามเข้าใกล้หลินอิ่งเด็ดขาด

“นี่ เธอมีสิทธิ์อะไร?” กงซุนชิวอวี่เองก็สัมผัสได้แล้วว่าแรงหึงหวงในครั้งนี้มันรุนแรงมาก เธอก็เริ่มไม่พอใจแล้วเหมือนกัน “ฉันจะทำอะไร แล้วเธอมายุ่งอะไรด้วย?”

“เธอยังกล้ามาอวดเบ่งอีกเหรอ?” หวางหงหลิงพูดออกมาด้วยความเดือดดาล แล้วเธอก็หันไปหยิบกระเป๋าตกปลาใบหนึ่งออกมาจากรถ รูดซิปออก จากนั้นก็หยิบ ปืนชี้มาที่คน

“วางลง!”

หลินอิ่งพูดออกมาอย่างไม่พอใจ

หวางหงหลิงลังเลไปแปบหนึ่ง เธอยืนนิ่งอยู่กับที่ แล้วเธอสังเกตเห็นว่า ตอนที่หลินอิ่งโกรธนั้นมันทำให้เธอรู้สึกกลัวมากเลย

“หวางหงหลิง ก่อนอื่น ผมอยากบอกคุณว่าผมเป็นคนที่แต่งงานแล้ว ความจริงผมกับกงซุนชิวอวี่เราเป็นแค่เพื่อนทั่วๆ ไปเท่านั้น” หลินอิ่งพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง “อีกอย่าง ผมขอถามคุณว่าใครเป็นคนเอาเรื่องที่ผมอยู่กับกงซุนชิวอวี่ไปบอกคุณ?”

หวางหงหลิงทำหน้าลำบากใจมาก เธอลังเลไปแปบหนึ่งก่อนจะตอบไปว่า “คือ โจยู่ถานกับโจตงเป็นคนโทรมาบอกฉันเองค่ะ”

“โง่เง่าซะจริง” หลินอิ่งสบถออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ก็ไม่พูดอะไรต่อ เขาหันหลังแล้วกลับเข้าไปนั่งในรถ

คนแซ่โจสองคนนั้นกำลังรนหาที่ตายชัดๆ คราวก่อนที่จัดการโจปินของตระกูลโจไป เหมือนจะยังไม่หลาบจำสินะ

กงซุนชิวอวี่มองหวางหงหลิงด้วยความท้าทายไปทีหนึ่ง ก่อนจะเดินขึ้นไปนั่งบนรถ จากนั้นคนขับก็ขับรถออกไปทันที

หวางหงหลิงกำหมัดแน่น เธอจ้องเขม็งตามแผ่นหลังที่ค่อยจากไปของหลินอิ่ง ความรู้สึกมากมายที่อยู่ในใจ เธอรู้ดีว่าคนแซ่โจทั้งสองกำลังหลอกใช้เธออยู่ แต่เธอก็ยังไม่สามารถอารมณ์ของตัวเองได้

เธอหลับตาลงแล้วใช้ความคิด เธอควรใช้วิธีอะไรดีจึงจะสามารถเอาหลินอิ่งมาเป็นของตัวเองได้?

หลังจากกลับเข้ามานั่งในรถ หลินอิ่งก็ต่อสายออกไป คนที่เขาโทรหาคือเสิ่นซาน เขาสั่งให้เสิ่นซานไปจัดการกับตระกูลโจให้ที คอยจับตาดูโจยู่ถานกับโจตงไว้ให้ดี เพื่อกันไม่ให้สองคนนั้นแอบก่อเรื่องอะไรลับหลังอีก

“พีคะ หวางหงหลิงคนนี้เป็นใครเหรอคะ? ฉันได้ยินมาว่าพี่สะใภ้เธอแซ่จางนี่” กงซุนชิวอวี่ถามออกมาด้วยความสงสัยพร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

“เราจะไปมณฑลเกาหยางวันนี้เลย” หลินอิ่งพูดขึ้นมาอย่างเรียบเฉย

การที่กงซุนชิวอวี่อยู่ที่เมืองชิงหยูนนี้มันดูจะวุ่นวายเกินไปแล้ว

เหมือนกงซุนชิวอวี่จะอยากพูดอะไร แต่เธอก็เงียบไป

ในเวลาเดียวกัน ณ อาคารเป่าติ่งของบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ

ที่หน้าตึกได้มีรถที่เต็มไปด้วยบรรยากาศของนักธุรกิจจอดอยู่หลายคัน

จางฉีโม่อยู่ในชุดสูทที่ดูรัดกุม เดินเข้ามาในอาคารด้วยสีหน้าที่ดูจริงจัง ออร่าของท่านประธานหญิงเฉิดฉายออกมาด้านหลังยังมีกลุ่มทนายความที่ใส่สูทรองเท้าหนังเดินตามเธอมาด้วย

เจียงฉีเองก็ลงมาจากรถ เขายืนอย่างนอบน้อมอยู่ข้างๆ

จางฉีโม่ในตอนนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น เธอไม่รู้ว่าทำไมหลินอิ่งถึงได้มีบารมีขนาดนี้ หลินอิ่งถึงขั้นมีเพื่อนเป็นมหาเศรษฐีที่มีชื่อเสียงของเมืองตุงไห่อย่างเจียงฉีได้ เขาตกลงที่จะควักเงินห้าพันล้านออกมาอย่างง่ายดาย ถ้าไม่พอยังเพิ่มได้อีก!

ช่างเป็นคนที่สปอร์ตจริงๆ ในเวลาอันสั่นก็สามารถมีเงินทุนมากมายมาอยู่ในมือแบบนี้ มันก็ทำให้เธอมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่าจะสามารถทวงคืนจางซื่อกรุ๊ปให้กลับมาได้ แล้วบริหารกิจการนี้ของคุณปู่ให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ทำให้ชื่อเสียงของจางซื่อกรุ๊ปกว้างไกลไปกว่าเดิม

ไม่นาน จางฉีโม่ก็มาที่ออฟฟิศระดับสูงของจางซื่อกรุ๊ป

ในตอนนั้น จางหงซวน จางหงจูนกำลังทำการอบรมสั่งสอนกันอยู่ในห้องทำงานของประธาน แม้แต่จางเถียนไห่ยังกลับมาที่บริษัทแล้ว แถมยังได้เลื่อนขั้นเป็นรองประธานของบริษัทด้วย วันๆ เอาแต่วางท่าได้ใจ

“หือ? จางฉีโม่เหรอ? เธอยังกล้ากลับมาที่อาคารเป่าติ่งนี่อีกเหรอ?” ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ใส่แว่นดำกับชุดสูทสีลายตาคนหนึ่ง มองดูจางฉีโม่ที่เดินเข้ามาด้วยท่าทางที่ออกนอกหน้ามาก

“จางฉีโม่ เธอถูกเลิกจ้างไปตั้งนานแล้ว ยังจะกลับมาทำไมอีก? เธอคงไม่คิดเอาชื่อเสียงของตระกูลจางมาขอเงินกับเบี้ยวกันหรอกนะ?” จางเถียนไห่ล้อเรียนเธอด้วยท่าทางที่ดูถูก “ใครอนุญาตให้เธอเข้ามาในจางซื่อกรุ๊ปมิทราบ?

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท