บทที่ 154 ใครเป็นคนอนุญาตให้คุณมาที่จางซื่อกรุ๊ปกัน?
“เธอเป็นใคร? จงใจขับรถมาขวางแบบนี้ยังไม่รีบขอโทษอีก?” กงซุนชิวอวี่ถามด้วยความโมโหพร้อมกับจัดแว่นไปด้วย
หวางหงหลิงขำออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ แววตาเต็มไปด้วยเปลวเพลิง พิจารณากงซุนชิวอวี่ตั้งแต่หัวจรดเท้า
จากนั้นก็จ้องเขม็งไปที่หลินอิ่ง เธอกำหมัดแน่น เหมือนกำลังรู้สึกโกรธมาก
หลินอิ่งลงจากรถด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย
“หวางหงหลิง คุณล้อเล่นหนักไปรึเปล่า? ขับรถแบบนี้เกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะทำยังไงครับ?” หลินอิ่งถามด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มลึก
หวางหงหลิงคนนี้นี่ช่างเป็นผู้หญิงที่บ้าบิ่นเหลือเกิน การที่เธอขับรถแบบนี้ ถ้าเกิดไม่ระวังจนรถทั้งสองคันชนเข้าด้วยกันละก็ ตัวเองยังไม่เท่าไหร่ แต่กงซุนชิวอวี่นี่สิจะทำยังไง จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเหรอ? ตัวเธอเองก็ไม่กลัวว่าตัวเองจะเป็นอันตรายเลยรึไง?
“เอ๋? พี่ชาย พี่รู้จักยัยบ้านี่ด้วยเหรอคะ?” กงซุนชิวอวี่ถามขึ้นด้วยความสงสัย แล้วหันมาสำรวจหวางหงหลิงอย่างละเอียดอีกครั้ง ไม่รู้ว่าในใจกำลังคิดอะไรอยู่
หรือเธอจะเป็นพี่สะใภ้? ไม่สิ เหมือนภรรยาของพี่ชายจะแซ่จางนะ แต่ยัยนี่ชื่อหวางหงหลิงนี่
แต่ว่า ดูๆ แล้วยัยนี่ก็สวยมากเลย รูปร่างก็เซ็กซี่ หรือเธออาจจะเป็นผู้หญิงที่อยู่นอกบ้านของพี่ชายก็ได้
ค่อนข้างเป็นไปได้เลยล่ะ เพราะต่อให้เป็นเทพบุตรอย่างพี่ฉีหยิ่นก็ตาม มันก็ยากที่จะถูกละเว้นเหมือนกัน
คิดไปคิดมา กงซุนชิวอวี่ก็มองมาที่หลินอิ่งด้วยรอยยิ้มที่ชวนสนุก
คราวก่อนที่ถูกหลินอิ่งปฏิเสธรักไป เธอก็ถูกคุณท่านสั่งกักบริเวณไว้ในวิลล่าตระกูลหวาง ความเดือดดาลในใจของหวางหงหลิงยังไม่ได้ถูกระบายออกมา แถมยังไม่กล้าแบกหน้าไปหาหลินอิ่งอีก จนตอนนี้เธอยังรู้สึกโกรธอยู่เลย
พอวันนี้โจยู่ถานโทรมาพูดเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างหลินอิ่งกับกงซุนชิวอวี่ เดิมทีก็รู้สึกคับแค้นใจอยู่แล้ว ทีนี้ความไฟโทสะที่อยู่ในใจก็ยิ่งเดือดดาลมากยิ่งขึ้นไปอีก ต่อให้เอาน้ำจากทั้งมหาสมุทรก็คงจะดับมันไม่ลงแล้ว เธอจึงรีบสั่งให้ไอ้ห้ากับไอ้หกให้เอาปืนมาด้วย จากนั้นก็มาขวางถนนเอาไว้แบบนี้
พอมาถึง แล้วเห็นกงซุนชิวอวี่ที่กำลังทำหน้าสนุกสนานอยู่ เธอก็ยิ่งโกรธขึ้นไปอีก!
“หึ!” หวางหงหลิงทำเสียงฮึดฮัด “หลินอิ่ง ไอ้คนหลอกลวง!”
“หลอกลวงเหรอ? ผมไปหลอกอะไรคุณครับ?” หลินอิ่งถาม เขารู้สึกไม่ค่อยเข้าใจนัก
“พี่คะ จริงเหรอคะเนี่ย? นี่มันความขัดแย้งภายในนี่นา?” กงซุนชิวอวี่เอามือปิดปากแล้วแอบขำ ไม่นึกเลยว่าพี่ฉีหยิ่นที่เป็นตำนานคนนี้ คนที่ถูกคุณหนูสูงศักดิ์มากมายในตี้จิงกับหญิงสาวอีกนับไม่ถ้วนยกย่องให้เป็นเทพบุตรของพวกเธอแบบเขา จะมีด้านนี้ให้เธอได้เห็นด้วย
ถ้าเอาเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ไปเล่าให้พวกกลุ่มแฟนคลับสาวๆ ของฉีหยิ่นในตี้จิงละก็ มันจะทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ขึ้นได้หรือเปล่านะ?
หวางหงหลิงโกรธจนกระทืบเท้า แล้วพูดว่า “คุณบอกว่าตัวเองนั้นมีคุณธรรมที่สูงส่งและน่าภูมิใจแค่ไหน หึ คราวก่อนที่ดื่มชากัน ยังมีหน้ามาปฏิเสธฉันอีก? แล้วตอนนี้ล่ะ พอเห็นคนที่มีอำนาจเข้ามา ก็รีบเข้ามาเกาะแกะทันที คุณนี่มันช่างไร้……”
พอพูดถึงตรงนี้ หวางหงหลิงก็พูดต่อไปไม่ไหวแล้ว มาคิดดูแล้ว ระหว่างเธอกับหลินอิ่งก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันเธอไม่ใช่ภรรยาของเขา จึงไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดแบบนั้นออกมา
“เธอคือ……” หลินอิ่งขมวดคิ้วเบาๆ แล้วพูดออกมาอย่างเรียบเฉยว่า “ผมไม่มีความจำเป็นต้องอธิบาย เรื่องนี่มันไม่เกี่ยวกับคุณ”
ถ้าเกิดบอกเรื่องที่กงซุนชิวอวี่เป็นลูกพี่ลูกน้องของต้องเองออกไป แบบนี้ฐานะที่แท้จริงของเขาก็จะถูกเปิดเผยไปด้วย
“ได้ ไม่เกี่ยวก็ไม่เกี่ยว” หวางหงหลิงพูดออกมาอย่างหนักแน่น จากนั้นก็มองไปที่กงซุนชิวอวี่ “หึ ได้ยินว่าเธอเป็นคนตระกูลกงซุนในตี้จิงเหรอ?”
“ถูกต้อง เธอรู้จักฉันด้วยเหรอ?” กงซุนชิวอวี่ถามด้วยความสงสัย เท่าที่เธอจำได้ เหมือนเธอจะไม่เคยรู้จักกับหวางหงหลิงคนนี้มาก่อนเลยนะ
หวางหงหลิงพูดขึ้น “เธอไม่รู้เหรอว่าหลินอิ่งเขามีภรรยาอยู่แล้ว?”
“รู้สิ” กงซุนชิวอวี่พยักหน้า
“นี่เธอ!” หวางหงหลิงโกรธจนพูดอะไรไม่ออก เธอถูกท่าทางที่ดูมีเหตุมีผลของกงซุนชิวอวี่ทำให้สำลัก
ไอ้หกไอ้เจ็ดที่อยู่ข้างๆ ก็อยากจะบอกกับคุณหนูว่าให้กลับเถอะ เพราะมันดูน่าขายหน้า ก็คำถามที่คุณหนูถามไป ทำไมถึงไม่ย้อนถามตัวเองก่อนละ? เฮ้อ ผู้หญิงที่ตกไปอยู่ในห้วงแห่งความรักแล้วนั้นก็ต้องสูญเสียสติไปด้วยสินะ
“ฉันขอเตือนไว้เลยนะ เธอรีบออกห่างจากหลินอิ่งเดี๋ยวนี้! ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือนแล้วกัน” หวางหงหลิงพูดด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน “อย่าคิดว่าเป็นตระกูลกงซุนวนตี้จิงแล้วร้ายกาจนะ ในเมืองชิงหยูนแห่งนี้ ฉันไม่สนหรอกว่าเธอเป็นใครมาจากไหน!”
เธอไม่สนใจหรอกนะว่ากงซุนชิวอวี่นั้นมาจากไหน ยังไงซะ ไม่ว่าผู้หญิงหน้าไหนก็ตามนอกจากก่อนที่ตัวเองจะรู้จักกับหลินอิ่ง ภรรยาของหลินอิ่งจางฉีโม่ คนอื่นก็ห้ามเข้าใกล้หลินอิ่งเด็ดขาด
“นี่ เธอมีสิทธิ์อะไร?” กงซุนชิวอวี่เองก็สัมผัสได้แล้วว่าแรงหึงหวงในครั้งนี้มันรุนแรงมาก เธอก็เริ่มไม่พอใจแล้วเหมือนกัน “ฉันจะทำอะไร แล้วเธอมายุ่งอะไรด้วย?”
“เธอยังกล้ามาอวดเบ่งอีกเหรอ?” หวางหงหลิงพูดออกมาด้วยความเดือดดาล แล้วเธอก็หันไปหยิบกระเป๋าตกปลาใบหนึ่งออกมาจากรถ รูดซิปออก จากนั้นก็หยิบ ปืนชี้มาที่คน
“วางลง!”
หลินอิ่งพูดออกมาอย่างไม่พอใจ
หวางหงหลิงลังเลไปแปบหนึ่ง เธอยืนนิ่งอยู่กับที่ แล้วเธอสังเกตเห็นว่า ตอนที่หลินอิ่งโกรธนั้นมันทำให้เธอรู้สึกกลัวมากเลย
“หวางหงหลิง ก่อนอื่น ผมอยากบอกคุณว่าผมเป็นคนที่แต่งงานแล้ว ความจริงผมกับกงซุนชิวอวี่เราเป็นแค่เพื่อนทั่วๆ ไปเท่านั้น” หลินอิ่งพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง “อีกอย่าง ผมขอถามคุณว่าใครเป็นคนเอาเรื่องที่ผมอยู่กับกงซุนชิวอวี่ไปบอกคุณ?”
หวางหงหลิงทำหน้าลำบากใจมาก เธอลังเลไปแปบหนึ่งก่อนจะตอบไปว่า “คือ โจยู่ถานกับโจตงเป็นคนโทรมาบอกฉันเองค่ะ”
“โง่เง่าซะจริง” หลินอิ่งสบถออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ก็ไม่พูดอะไรต่อ เขาหันหลังแล้วกลับเข้าไปนั่งในรถ
คนแซ่โจสองคนนั้นกำลังรนหาที่ตายชัดๆ คราวก่อนที่จัดการโจปินของตระกูลโจไป เหมือนจะยังไม่หลาบจำสินะ
กงซุนชิวอวี่มองหวางหงหลิงด้วยความท้าทายไปทีหนึ่ง ก่อนจะเดินขึ้นไปนั่งบนรถ จากนั้นคนขับก็ขับรถออกไปทันที
หวางหงหลิงกำหมัดแน่น เธอจ้องเขม็งตามแผ่นหลังที่ค่อยจากไปของหลินอิ่ง ความรู้สึกมากมายที่อยู่ในใจ เธอรู้ดีว่าคนแซ่โจทั้งสองกำลังหลอกใช้เธออยู่ แต่เธอก็ยังไม่สามารถอารมณ์ของตัวเองได้
เธอหลับตาลงแล้วใช้ความคิด เธอควรใช้วิธีอะไรดีจึงจะสามารถเอาหลินอิ่งมาเป็นของตัวเองได้?
หลังจากกลับเข้ามานั่งในรถ หลินอิ่งก็ต่อสายออกไป คนที่เขาโทรหาคือเสิ่นซาน เขาสั่งให้เสิ่นซานไปจัดการกับตระกูลโจให้ที คอยจับตาดูโจยู่ถานกับโจตงไว้ให้ดี เพื่อกันไม่ให้สองคนนั้นแอบก่อเรื่องอะไรลับหลังอีก
“พีคะ หวางหงหลิงคนนี้เป็นใครเหรอคะ? ฉันได้ยินมาว่าพี่สะใภ้เธอแซ่จางนี่” กงซุนชิวอวี่ถามออกมาด้วยความสงสัยพร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
“เราจะไปมณฑลเกาหยางวันนี้เลย” หลินอิ่งพูดขึ้นมาอย่างเรียบเฉย
การที่กงซุนชิวอวี่อยู่ที่เมืองชิงหยูนนี้มันดูจะวุ่นวายเกินไปแล้ว
เหมือนกงซุนชิวอวี่จะอยากพูดอะไร แต่เธอก็เงียบไป
ในเวลาเดียวกัน ณ อาคารเป่าติ่งของบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ
ที่หน้าตึกได้มีรถที่เต็มไปด้วยบรรยากาศของนักธุรกิจจอดอยู่หลายคัน
จางฉีโม่อยู่ในชุดสูทที่ดูรัดกุม เดินเข้ามาในอาคารด้วยสีหน้าที่ดูจริงจัง ออร่าของท่านประธานหญิงเฉิดฉายออกมาด้านหลังยังมีกลุ่มทนายความที่ใส่สูทรองเท้าหนังเดินตามเธอมาด้วย
เจียงฉีเองก็ลงมาจากรถ เขายืนอย่างนอบน้อมอยู่ข้างๆ
จางฉีโม่ในตอนนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น เธอไม่รู้ว่าทำไมหลินอิ่งถึงได้มีบารมีขนาดนี้ หลินอิ่งถึงขั้นมีเพื่อนเป็นมหาเศรษฐีที่มีชื่อเสียงของเมืองตุงไห่อย่างเจียงฉีได้ เขาตกลงที่จะควักเงินห้าพันล้านออกมาอย่างง่ายดาย ถ้าไม่พอยังเพิ่มได้อีก!
ช่างเป็นคนที่สปอร์ตจริงๆ ในเวลาอันสั่นก็สามารถมีเงินทุนมากมายมาอยู่ในมือแบบนี้ มันก็ทำให้เธอมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่าจะสามารถทวงคืนจางซื่อกรุ๊ปให้กลับมาได้ แล้วบริหารกิจการนี้ของคุณปู่ให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ทำให้ชื่อเสียงของจางซื่อกรุ๊ปกว้างไกลไปกว่าเดิม
ไม่นาน จางฉีโม่ก็มาที่ออฟฟิศระดับสูงของจางซื่อกรุ๊ป
ในตอนนั้น จางหงซวน จางหงจูนกำลังทำการอบรมสั่งสอนกันอยู่ในห้องทำงานของประธาน แม้แต่จางเถียนไห่ยังกลับมาที่บริษัทแล้ว แถมยังได้เลื่อนขั้นเป็นรองประธานของบริษัทด้วย วันๆ เอาแต่วางท่าได้ใจ
“หือ? จางฉีโม่เหรอ? เธอยังกล้ากลับมาที่อาคารเป่าติ่งนี่อีกเหรอ?” ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ใส่แว่นดำกับชุดสูทสีลายตาคนหนึ่ง มองดูจางฉีโม่ที่เดินเข้ามาด้วยท่าทางที่ออกนอกหน้ามาก
“จางฉีโม่ เธอถูกเลิกจ้างไปตั้งนานแล้ว ยังจะกลับมาทำไมอีก? เธอคงไม่คิดเอาชื่อเสียงของตระกูลจางมาขอเงินกับเบี้ยวกันหรอกนะ?” จางเถียนไห่ล้อเรียนเธอด้วยท่าทางที่ดูถูก “ใครอนุญาตให้เธอเข้ามาในจางซื่อกรุ๊ปมิทราบ?