ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 160 ฉันรู้ว่าแกมันก็แค่เศษเดน

บทที่ 160 ฉันรู้ว่าแกมันก็แค่เศษเดน

บทที่ 160 ฉันรู้ว่าแกมันก็แค่เศษเดน

“ทำไม? พวกคุณยังไม่พอใจรึไงคะ?” กงซุนชิวอวี่พูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์

“ไม่ใช่นะครับ คุณหนูกงซุน นะ นี่มันไม่บังคับกันเกินไปหน่อยเหรอครับ?” เจิ้งทงสีหน้าดุไม่ดีเลย

“จริงครับ คุณหนูกงซุน ทำไมคุณถึงไปเข้าข้างหมอที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าแบบนี้ล่ะครับ? นี่มันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งพูดขึ้นมาอย่างระมัดระวัง

“ฉันจะพูดเป็นรอบสุดท้าย พวกคุณขอโทษอาจารย์หลินเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้น ก็รับผลที่จะตามมาเอง!” กงซุนชิวอวี่พูดด้วยความโมโห

คนพวกนี้ช่างไม่เข้าใจสถานการณ์เอาซะเลย การที่เธอออกหน้าให้พวกเขาขอโทษนั้นก็เพื่อเหลือทางรอดให้ตระกูลเจิ้งไว้

ถ้าเกิดไปทำให้พี่ชายโกรธเข้าจริงๆ เรื่องมันจะไม่จบแค่คำขอโทษคำเดียวหรอกนะ!

“แต่……”

คนตระกูลเจิ้งที่อยู่ตรงนั้นต่างพากันหน้าแดง สีหน้าของทุกคนนั้นเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจและลำบากใจ

จะให้พวกเขาขอโทษไอ้บ้านนอกที่มาจากเมืองตุงไห่เหรอ? นี่มันน่าขายหน้าสิ้นดี!

ที่สำคัญ ไอ้บ้านนอกนี่ยังทำร้ายร่างกายเจิ้งหยวนเป่าต่อหน้าทุกคน แล้วยังทำร้ายเจ้าบ้านอย่างเจิ้งทงอีก นี่มันหยามหน้ากันชัดๆ

แต่ว่า น้อยครั้งที่จะเห็นกงซุนชิวอวี่โมโหกับท่าทางที่จริงจังแบบนี้

แปบเดียวก็พากันร้อนใจขึ้นมา

พวกเขาสามารถมองข้ามตัวประกอบอย่างหลินอิ่งไปได้ แต่การที่ทำให้คุณหนูกงซุนต้องมาโมโหแบบนี้ แล้วไม่ยอมทำตามที่เธอบอก ผลลัพธ์ที่ตามมามันอยากที่จะรับไหว

“ขอโทษครับ อาจารย์หลิน เรื่องในครั้งนี้พวกเราเป็นฝ่ายเสียมารยาทเอง” เจิ้งทงพูดออกมาอย่างไม่มีความเต็มใจเลย

หลินอิ่งขำออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็หันไปมองเจิ้งหยวนเป่า “แล้วคุณล่ะ?”

“ฉัน กะ แก!” เจิ้งหยวนเป่าสีหน้าแดงฉาน พูดจาสะเปะสะปะ ฟังไม่รู้เรื่อง

“ผม ขอโทษครับ อาจารย์หลิน ผมเป็นคนไปล่วงเกินคุณเอง” เจิ้งหยวนเป่าหันไปมองหน้ากงซุนชิวอวี่ที่กำลังโมโหอยู่เขาจึงจำใจต้องก้มหน้าลงเพื่อขอโทษ แต่ไฟแห่งความแค้นกำลังลุกโชนขึ้นในใจ

เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไม? เขาที่เป็นถึงคุณชายใหญ่ของตระกูลเจิ้ง ทำไมถึงแพ้ให้กับไอ้นักต้มตุ๋นแบบนี้? หลินอิ่งมันมีเสน่ห์ตรงไหนถึงได้ทำให้กงซุนชิวอวี่สนับสนุนมันถึงขนาดนี้?

“ต่อไปก็ระวังหน่อยแล้วกัน” หลินอิ่งพูดออกมาอย่างเรียบเฉย แล้วเดินออกไปจากวิลล่าพร้อมกับกงซุนชิวิวี่โดยไม่หันมาสนใจคนอื่นอีก

คนตระกูลเจิ้งที่อยู่ตรงนั้นทุกคนมีสีหน้าที่ซีดเซียว มองตามผ่านหลังของหลินอิ่งไปด้วยความรู้สึกที่ไม่พอใจมากๆ

“พวกแกไปตรวจสอบให้แน่ชัดว่าหลินอิ่งคนนี้มันมีที่มาที่ไปยังไงจากเมืองตุงไห่กันแน่?” เจิ้งทงกัดฟันแน่น “ฉันไม่เชื่อหรอกว่าคุณหนูกงซุนจะสามารถปกป้องมันได้ตลอดไป ถ้ามันไม่สามารถรักษานายท่านกงซุนให้หายได้ มันก็ต้องตายสถานเดียว!”

ระหว่างที่พูด คนพวกนั้นก็เดินเข้าไปพยุงเจิ้งหยวนเป่าให้ลุกขึ้น จากนั้นก็โทรศัพท์ออกไปไม่หยุด เริ่มสั่งให้คนไปสืบหาข้อมูล

หลินอิ่งกับกงซุนชิวอวี่เดินออกจากสวนดอกไม้ของวิลล่า เดินตรงไปยังใจกลางของวิลล่าฉงหลง

“พี่คะ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ที่ทำให้พี่ต้องลำบาก” กงซุนชิวอหยิ่งยโสพูดออกมาอย่างไม่สบายใจ

“ไม่เป็นไร” หลินอิ่งพูดออกมาอย่างเรียบเฉย

ก็แค่พวกไก่กา ไม่ได้ทำให้เขากลัวเลยสักนิด ทำตัวดีๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้วแท้ๆ แต่ดันรนหาที่มาแบบนี้ก็อย่ามาโทษเขาก็แล้วกัน

อย่าตัดสินคนแค่ภายนอก คำพูดนี้ถูกพูดต่อกันมาในประเทศหลุงมาเป็นร้อยเป็นพันปีแล้ว แต่ก็ยังมีหมาหน้าโง่ที่ยังไม่เข้าใจ เอาแต่ดูถูกคนอื่นอยู่อย่างนั้น

“พี่คะ คืนนี้พี่ไปพักที่วิลล่าส่วนตัวก่อนนะคะ” กงซุนชิวอวี่พูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง “ส่วนเรื่องของนายท่านฉันได้พูดคุยกับคนในตระกูลแล้วค่ะ พรุ่งนี้ฉันค่อยพาพี่ไปที่วิลล่าของนายท่านนะคะ”

หลินอิ่งพยักหน้าเบาๆ เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่

หลังจากที่นายท่านกงซุนล้มป่วยลง วิลล่าของเขาก็มีการรักษาความปลอดภัยที่มากขึ้น การที่เขาจะพักคนเดียวแบบนี้คืนเดียวคงไม่เป็นไรหรอก

“ชิวอวี่ อาการป่วยของปู่เธอมันเป็นยังไง? ท่านเริ่มมีอาการตั้งแต่เมื่อไหร่?” หลินอิ่งถามขึ้น

กงซุนชิวอวี่ตอบ “ประมาณหนึ่งเดือนก่อน จู่ๆ คุณปู่ก็เริ่มรู้สึกไม่ค่อยสบาย จากนั้นอาการก็หนักขึ้นทุกวัน แล้วประมาณครึ่งเดือนก่อนท่านก็หมดสติไปแล้วไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลยค่ะ ไม่ว่าจะเชิญหมอคนไหนมาก็ตรวจหาสาเหตุไม่ได้เลยค่ะ” กงซุนชิวอวี่เล่ามาด้วยความปวดใจ “ไม่ว่าจะตรวจหายังไงก็ไม่สามารถตรวจหาสาเหตุที่แท้จริงได้ พวกเขาคิดว่าอาจจะเกิดจากร่างกายที่ชราภาพของท่านก็ได้ แต่ ฉันคิดว่ามันไม่ใช่ค่ะ”

หลินอิ่งพยักหน้าเบาๆ ไม่ได้พูดอะไร แต่ก็พอจะเข้าใจสถานการณ์แล้ว

จากนั้น กงซุนชิวอวี่ก็ได้จัดให้หลินอิ่งไปอยู่ที่วิลล่าที่ค่อนข้างมีสไตล์หลังหนึ่ง แล้วเธอก็กลับไปที่นายท่าน

หลินอิ่งนั่งอยู่ข้างๆ โต๊ะกลม ชงชาแดง ดื่มด่ำกับความหมอของชา ความคิดมากมายกำลังแล่นอยู่ในหัว

เรื่องอาการของกงซุนฉงหลงกลับตรวจหาความผิดปกติของร่างกายไม่ได้เลย มันก็ยืนยันได้แล้วว่าต้องไม่ใช้การชราภาพของร่างกายแน่นอน

การที่ไม่ผิดปกตินี่แหละผิดปกติที่สุด

บางที คนที่คิดร้ายกับกงซุนฉงหลงอยู่อาจจะเก่งที่ตัวเองคาดไว้ก็ได้

คิดไป หลินอิ่งก็หลับตาลงแล้วพักผ่อนอยู่บนโซฟา

ครึ่งชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

เสียงดังปั๊ง!

ประตูของวิลล่าถูกใครบางคนถีบออกอย่างแรง ชายหนุ่มสูทดำยี่สิบสามสิบคนเดินเข้ามาตั้งเป็นสองแถว จากนั้นก็ยืนเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ

จัดเตรียมสถานที่ได้อย่างเพียบพร้อม!

ชายหนุ่มแว่นดำที่วางท่าใหญ่โตคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างได้ใจ ส่วนด้านหลังก็มีเจิ้งหยวนเป่าที่เดินตามมาอย่างโซซัดโซเซ

“พี่สือ! ไอ้หลินอิ่งคนนี่แหละ มันเป็นนักต้มตุ๋น ไม่รู้มันใช้วิธีอะไรถึงไปล่อลวงชิวอวี่ให้เชื่อได้!” เจิ้งหยวนเป่าทำท่าเหมือนหาที่พึ่งอันใหญ่ได้แล้ว ทั้งได้ใจทั้งปากดี

“หลินอิ่ง นี่คือกงซุนสือ คุณชายใหญ่แห่งกงซุน และเป็นลูกพี่ลูกน้องของชิวอวี่ด้วย ยังไม่รีบลุกขึ้นมากล่าวทักทายอีก?” เจิ้งหยวนเป่าทำตัวเหมือนหมาที่กำลังเลียขาให้เจ้านายเลย

“โอะโอ๋? ท่าทางที่แสดงเป็นหมอถือว่าเหมือนใช้ได้เลยไม่รึไง? แถมยังนั่งทำสมาธิด้วย” กงซุนสือถอดแว่นออก มองหน้าหลินอิ่งด้วยสีหน้าที่สนุกสนาน ทำท่าประหลาดๆ “อาจารย์หลินของผม คุณช่วยเลิกแสดงสักทีได้มั้ยครับ? คุณมีที่มาที่ไปยังไง มีฐานะแบบไหน ผมรู้เรื่องหมดแล้วครับ”

หลินอิ่งค่อยๆ ลืมตาขึ้น สายตาเป็นประกาย จากนั้นก็มองไปที่เจิ้งหยวนเป่ากับกงซุนสืออย่างไม่ค่อยชอบใจ

“แกชื่อหลินอิ่งใช่มั้ย?” กงซุนสือยิ้มอย่างไม่สบอารมณ์ สีหน้าเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส “ได้ยินว่าแกให้ชิวอวี่ออกหน้าแทนอย่างนั้นเหรอ? พลิกแพลงเก่งดีนี่? ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง เก่งแต่หลอกน้องสาวที่ไร้เดียงสาของฉันก็เท่านั้น?”

“พ่อชื่อกงซุนสือ เคยได้ยินชื่อนี้มั้ย? ใต้หล้าที่ตี้จิงเรียกฉันว่าเฮียสือ!”

หลินอิ่งส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มอย่างไม่ชอบใจ เฮียสือเหรอ? รู้ตัวตนของตัวเองแล้วสินะ?

“หลินอิ่ง ฉันรู้ว่าแกมันก็แค่ไอ้เศษเดน ฉันได้ข้อมูลมาจากเพื่อนนักธุรกิจในเมืองตุงไห่คนหนึ่ง ได้ยินว่าแกเป็นคนมีชื่อเสียงคนหนึ่งที่ของเมืองตุงไห่ในเมืองตุงไห่สินะ!” กงซุนสือพูดด้วยสีหน้าที่เยอะเย้ย “เป็นลูกเขยไร้ค่าที่มีชื่อเสียงของเมืองชิงหยูน? คอยแต่จะไปเกาะผู้หญิงกิน? ฮาฮา สมแล้วที่เป็นคนไร้ค่า ทำไม? ไม่รู้จะส่องกระจกดูเงาตัวเองรึไงว่าสาระรูปของตัวเองมันเป็นยังไง ยังคิดจะหวังสูงเด็ดดอกฟ้าอีกนะ? อยากเข้ามาเกาะน้องฉันกงซุนชิวอวี่ให้ได้ใช่มั้ย?”

“หึ เป็นแค่ลูกเขยไร้ค่า รู้วิชาการต่อสู้อีกนิดหน่อย เอาชื่อเสียงของชิวอวี่มาอ้างแค่นี้ก็กล้ามาทำร้ายฉัน แกนี่มันช่างรนหาที่ตายจริงๆ!” เจิ้งหยวนเป่าพูดออกมาอย่างไม่ชอบใจ

พอได้รู้ฐานะที่หลินอิ่งมีในเมืองชิงหยูนแล้ว มันก็ทำให้เขารู้สึกอับอายมากที่ถูกคนแบบนี้กระทืบเหมือนหมา ในเวลาเดียวกัน ก็เห็นถึงโอกาส ที่แท้หลินอิ่งก็ไม่ได้มีคนอะไรหนุนหลัง แค่อาศัยบารมีของกงซุนชิวอวี่เท่านั้น มันจึงทำให้เขานึกถึงการให้กงซุนสือมาช่วยจัดการหลินอิ่งทันที

ถึงกงซุนชิวอวี่จะใหญ่ขนาดไหน ก็คงไม่ถึงขั้นแตกหักกับพี่ชายเพื่อหลินอิ่งหรอกมั้ง?

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท